ReadyPlanet.com


พระกราบโยมมารดา ผิดไหม? หากผิดวินัย โทษหนักไหม?


พระกราบโยมมารดา ผิดไหม? หากผิดวินัย โทษหนักไหม?



ผู้ตั้งกระทู้ เจริญ :: วันที่ลงประกาศ 2015-08-16 22:42:23


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3024517)

คำตอบ : ถ้าว่าตามพระวินัย มันก็ผิดเต็มๆ เพราะพระถือว่าเป็นผู้บวชในธรรมวินัยนี้ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ต้องถือปฏิบัติตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้โดยเคร่งครัด เว้นข้อที่ทรงห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาต ไม่ใช่นึกอยากจะทำอะไร ก็ทำไปเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ ไม่ตรวจตรองดูว่า พระวินัยท่านว่าไว้อย่างไร ห้ามทำ หรือ อนุญาตให้ทำได้ นี่เป็นประการที่หนึ่ง


ประการที่สอง พระเมื่อบวชมาในศาสนาแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นสมมติสงฆ์ ย่อมมีหน้าที่รักษาศีล ๒๒๗ ให้บริสุทธิ์ และ ประพฤติวัตรปฏิบัติอันควรอื่นๆอีกมากมาย สำหรับผู้ที่หวังความเจริญในธรรม ต้องหลีกเลี่ยงความประพฤติที่เป็นโลกวัชชะ อันเป็นเหตุให้โลกตำหนิติเตียนได้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดคำครหานินทา อันจักเป็นเหตุทำให้เสื่อมเสียแก่การพระศาสนา


ประการที่สาม การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา สำหรับพระแล้ว ต้องปฏิบัติให้เหมาะสมกับฐานะของความเป็นพระ จะเอาความกตัญญูมาเป็นข้ออ้าง แล้วเหยียบย่ำทำลายพระธรรมวินัยจนแหลกเละ หาได้ไม่ การจะแสดงความกตัญญู หรือ จะทำอะไรก็ตาม ต้องไม่ผิดธรรมผิดวินัย จึงถือว่าถูกต้อง และไม่เป็นโทษ


ข้อนี้พระวินัยมิได้ปรับอาบัติไว้โดยตรง เป็นแต่เพียงกล่าวห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่ถ้าขืนทำโดยมากท่านปรับเป็นอาบัติทุกกฏ พระเป็นผู้มีศีลสูงกว่าฆราวาส จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะไปกราบไหว้ฆราวาส ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ที่พระทำอย่างนั้น ก็ด้วยเพราะความไม่รู้ ความไม่ศึกษาในพระธรรมวินัย เลยลืมไปว่า ธรรมวินัยคือองค์แทนพระศาสดา การก้าวล่วงพระวินัย ก็คือการทำร้ายพระศาสดา และย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง


มีคำถามอีกว่า "แล้วพระปรนนิบัติ โยมแม่ที่พิการช่วยตัวเองไม่ได้ พระเลยต้องอาบน้ำให้ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ อุ้มแม่ไปนอนบนเตียง กอดแม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำให้แม่" ผิดไหม?

คำตอบ : ถ้าว่าตามพระวินัย ก็ถือว่าผิด แต่จะผิดมากผิดน้อยแค่ไหน อยู่ที่ใจของพระ ในสิกขาบทที่ ๒ แห่งอาบัติสังฆาทิเสส บัญญัติไว้ว่า


" อนึ่ง ภิกษุใด กำหนัดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม (ผู้หญิง) จับมือก็ตาม จับช้องผมก็ตาม ลูบคลำอวัยวะอันใดอันหนึ่งก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส"


สิกขาบทนี้ ท่านกำหนดว่า จิตเกิดความกำหนัด แล้วจับต้องกายหญิง หรือ จับต้องกายหญิง แล้วจิตเกิดความกำหนัด ก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส และ ท่านไม่ได้ยกเว้นไว้ว่า ถ้าเป็นแม่ จับต้องได้ไม่เป็นไร คือ ถ้าจับต้องแล้ว เกิดความกำหนัด ก็หนีไม่พ้นต้องเป็นอาบัติสังฆาทิเสสทันที ดังนั้น พระที่ท่านรักษาพระวินัยเคร่งครัด แม้ยามเจ็บป่วยไปหาหมอ หากเป็นหมอผู้หญิง ท่านก็ไม่ยอมให้จับต้องร่างกายท่าน เพราะถ้าจับแล้ว ท่านเกิดกำหนัดขึ้นมา ก็เป็นอาบัติทันที


มีแต่พระอนาคามี กับ พระอรหันต์เท่านั้น ที่ประหารกามราคะขาดจากใจแล้ว หมดความกำหนัดโดยสิ้นเชิง แม้กระนั้น ท่านก็ไม่จับต้องกายหญิง หรือให้หญิงมาจับต้องกายท่าน เพื่อรักษาพระวินัยเอาไว้ มิให้พระหนุ่มเณรน้อยถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เฉพาะกรณีพิเศษจริงๆ ที่ท่านอาจยกเว้นให้ ดังเช่น พระพุทธองค์ทรงยอมให้พระนางพิมพา มาลูบคลำพระบาท


สำหรับการปรนนิบัติ บิดามารดานั้น พระวินัยท่านผ่อนผันให้มากมายหลายอย่าง ทรงอนุญาตให้พระบิณฑบาตเลี้ยงบิดามารดาได้ เอาอาหารที่ตนเองบิณฑบาตมาได้ ให้พ่อแม่รับประทานก่อนได้ การแสดงความกตัญญูด้วยการปรนนิบัติพ่อแม่ การเลี้ยงดูบิดามารดา สามารถกระทำได้ แต้ต้องมีขอบเขต ไม่ก้าวล่วงพระวินัย พระวินัยคือคำสั่ง สั่งอย่างไร ต้องทำอย่างนั้น จะไปคิดเอาเองว่า ไม่เป็นไร หรือ จะคิดว่า เป็นพ่อแม่ยกเว้น ถ้าอย่างนั้น พระวินัยก็ไม่มีความหมาย


อย่างที่บอกไว้ตอนแรก จะเอาความกตัญญูมาเหยียบย่ำทำลายพระวินัยไม่ได้ หรือจะคิดว่า แม่แก่แล้วแถมยังพิการ จับต้องกายแม่ คงไม่กำหนัดอะไรหรอก หากบอกว่า ไม่เป็นไร แล้วถ้าเกิดเป็นแม่พิการที่ยังสาวอยู่ แล้วพระลูกชายยังหนุ่มๆอยู่ ก็จับต้องลูบคลำกันได้ ไม่เป็นไรอย่างนั้นสิ ก็เพราะพระไม่รักษาพระวินัยนี่แล!! มันจึงมีแต่ข่าวแย่ๆ ปรากฏออกมาให้โลกประณามอยู่เป็นประจำ


หากพ่อแม่เจ็บป่วยพิกลพิการ พระจะปรนนิบัติพ่อแม่ได้ เท่าที่ฐานะของพระจะพึงทำได้ คือต้องไม่ก้าวล่วงพระวินัย นี่คือ ข้อสำคัญ ถ้าแม่พิการช่วยตัวเองไม่ได้ พระก็ให้ไวยาวัจกร ว่าจ้างคนมาปรนนิบัติแทนได้ โดยพระเฝ้าดูอยู่ก็ได้ พระอาจบิณฑบาตอาหารมาเลี้ยงพ่อแม่ได้ หรือให้ค่ารักษาพยาบาลได้ แต่มิใช่ไปจับต้องลูบคลำกายแม่ด้วยตัวเอง นั่นมันไม่ใช่ฐานะที่พระควรกระทำ หากว่า มันไม่มีใครดูแลแม่จริงๆ พระจำเป็นต้องดูแลแม่ ปรนนิบัติแม่ด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิดเห็นปานนั้น ก็จงเห็นแก่พระศาสนา นิมนต์ลาสิกขาไปปรนนิบัติแม่เสียก่อนเถอะ นั่นแหละ คือการแสดงความกตัญญูที่แท้จริง ไม่ต้องมาประพฤติผิดธรรมผิดวินัย จะอุ้ม จะกอด จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จะอาบน้ำ ปะแป้ง ทาหน้า ทาปาก อย่างไร ก็ทำไปเถอะ แต่ไม่ใช่มาทำอยู่ในฐานะของความเป็นพระ


เมื่อหมดภาระเกี่ยวกับแม่แล้ว จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ดีกว่ามาเหยียบย่ำทำลายพระวินัย ด้วยการแสดงความกตัญญูในแบบที่ไม่ใช่ฐานะที่พระควรกระทำ


คำกล่าวที่ว่า แม่ คือ พระอรหันต์ของลูกนั้น ท่านกล่าวไว้เป็นเชิงอุปมา เพื่อยกย่องแม่ให้สูงเกียรติ มิได้หมายความว่า แม่จะเป็นพระอรหันต์จริงๆ เพราะแม่ยังเป็นคนมีกิเลสอยู่ แต่ความที่แม่ไม่เคยคิดร้ายต่อลูก แม้ลูกจะเลวทรามอย่างไรก็ตาม แม่ให้อภัยลูกได้เสมอ แม่สามารถเลี้ยงดูลูกๆได้ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆเลย แม่มีความรักอันบริสุทธิ์ มีเมตตาต่อลูกอย่างไม่มีประมาณ แม่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อลูกได้ แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูกได้ เพียงเพื่อหวังให้ลูกเป็นคนดี คุณสมบัติอย่างนี้ของแม่ท่านเปรียบเหมือน คุณสมบัติของพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เฉพาะของลูกๆ แต่ไม่ใช่พระอรหันต์จริงๆ ถึงกระนั้น ก็มิใช่ว่า แม่ทุกคนจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด จะเป็นได้ก็เฉพาะแม่ที่ดีเท่านั้น


ดังนั้น จึงอยากให้ชาวพุทธจงเข้าใจศาสนาให้ถูกต้อง อย่าหลงเชื่ออะไรแบบงมงายด้วยคิดเอาเอง ต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถ้าไม่เข้าใจก็สอบถามผู้รู้เสียก่อนยังได้ เรื่องของพระต้องถือเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ จะถือเอาตามคติโลกมาเป็นใหญ่ เหนือกว่าพระธรรมวินัยไม่ได้


ใครจะคิดว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้กับแม่ได้ไม่เป็นไร ก็เป็นเรื่องของคนคนนั้นคิดเอาเอง ถ้าผิดพระวินัย ก็คือผิดพระวินัย จะเอาความคิดของคนคนหนึ่ง มาลบล้างพระวินัยไม่ได้ หากขืนทำ ก็เท่ากับตั้งตัวเป็นศาสดาแข่งกับพระพุทธเจ้าเสียเอง


หากพระไม่ถือปฏิบัติตามพระวินัยแล้ว ก็จะต่างคนต่างทำกันไปคนละทิศคนละทาง ก็เท่ากับเป็นการเหยียบย่ำทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง เห็นทีว่าศาสนาพุทธคงจะเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ควร คงไม่อาจสืบทอดศาสนาไปจนถึงห้าพันปี ที่ศาสนายังคงตั้งมั่นอยู่ได้ ก็เพราะยังมีพระผู้เคารพในพระธรรมวินัย และถือปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่โดยเคร่งครัดนั่นเอง


ผู้เคารพในพระธรรมวินัย ก็คือผู้เคารพในพระศาสดา ย่อมก้าวตามรอยเสด็จของพระพุทธองค์ สู่แดนอมตะมหาพระนิพพาน และผู้เช่นนี้ คือ ผู้จะสืบทอดพระพุทธศาสนา ไม่ใช่พระประเภทเลอะเทอะปฏิบัติอยู่นอกธรรมนอกวินัย


ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๑๐ จำพวกนี้ อันภิกษุไม่ควรไหว้คือ


(๑) อันภิกษุผู้อุปสมบทก่อนไม่ควรไหว้ภิกษุผู้อุปสมบทภายหลัง

(๒) ไม่ควรไหว้อนุปสัมบัน (ผู้ที่ไม่ได้อุปสมบท)

(๓) ไม่ควรไหว้ภิกษุนานาสังวาสผู้แก่กว่า แต่ไม่ใช่ธรรมวาที

(๔) ไม่ควรไหว้มาตุคาม (ผู้หญิง)

(๕) ไม่ควรไหว้บัณเฑาะก์ (กะเทย)

(๖) ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้อยู่ปริวาส (ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแต่ปกปิดไว้ กำลังถูกลงโทษให้ประจานตัวเองตามจำนวนวันที่ปกปิด ถือเป็นภิกษุไม่ปกติ ไอ้ที่นิยมจัดงานอยู่ปริวาสกรรม โดยบอกว่า เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ นั่นคือการหลอกชาวบ้านเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าดีๆนี่เอง)

(๗) ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม (ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสซ้ำซาก แม้อยู่ในระหว่างถูกลงโทษ)

(๘) ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ควรมานัต (ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแต่ไม่ได้ปกปิดไว้ หรือ ภิกษุผู้อยู่ปริวาสครบแล้ว กำลังรอการลงโทษ)

(๙) ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ประพฤติมานัต (ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแต่ไม่ได้ปกปิดไว้ หรือ ภิกษุผู้อยู่ปริวาสครบแล้ว กำลังถูกลงโทษให้ต้องประจานตัวเอง ถือเป็นภิกษุไม่ปกติ)

(๑๐) ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ควรอัพภาน (ภิกษุผู้อยู่ปริวาสและ/หรือประพฤติมานัตครบถ้วนแล้ว รอให้สงฆ์ ๒๐ สวดถอนให้พ้นจากอาบัติสังฆาทิเสส)


บุคคล ๑๐ จำพวกนี้แล อันภิกษุไม่ควรไหว้ ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้ ภิกษุควรไหว้ คือ


(๑) ภิกษุผู้อุปสมบทภายหลัง ควรไหว้ภิกษุผู้อุปสมบทก่อน

(๒) ควรไหว้ภิกษุนานาสังวาสผู้แก่กว่า แต่เป็นธรรมวาที

(๓) ควรไหว้ตถาคตผู้อรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ในโลกทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์


บุคคล ๓ จำพวกนี้แล ภิกษุควรไหว้ ฯ

ที่มา : พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๗

ผู้แสดงความคิดเห็น webmaster (webmaster-at-doisaengdham-dot-org)ตอบโดยเว็บมาสเตอร์วันที่ตอบ 2015-08-16 22:47:29


ความคิดเห็นที่ 2 (4186804)

 ผิดครับ เพราะผู้ประเสริฐอย่าง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้ ความกตัญญูดีชั่ว บางอย่างก็ต้องอยู่ที่ใจ ไม่เห็นต้องแสดงออก เพียงบวชให้พ่อแม่ นี่ก็ถือว่าแสดงความดีถึงที่สุดแล้ว ตำนานกล่าวว่า ถ้าพระศาสดา กราบไหว้ผู้ใด พระธรรมบท ยังกว่าว่าศีรษะผู้นั้นจะแตกถึง7เสี่ยง พระวินัยก็ยังกล่าวไว้ ไม่ให้ไห้ผู้ใด นอกจากพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ผู้มีศีลเสมอกันครับ ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ อยู่ที่ใจ จิตดี ใจดี วาจาดี บางอย่างไม่ต้องแสดงออกก็ได้ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น สาธุ วันที่ตอบ 2019-10-31 12:18:23



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล