รวมหลายคำถามที่ยังสงสัยคะ | |
วันนี้โยมรวมคำถามหลายอย่างที่โยมสงสัยอยู่หลายเรื่องมาขอความกรุณาหลวงพ่อเมตตาช่วยให้ความกระจ่างแจ้งโยมด้วยเถิดเจ้าคะ 1-สัมมาอาชีวะ ไม่เลี้ยงชีพด้วยเดรฉานวิชชา คือ โยม ไม่ได้เป็นหมอดู แต่โยมดูดวงให้ตัวเองได้ไหมคะไม่ได้ดูให้คนอื่น โยมศึกษาโหราศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาที่บอกว่าผลของกรรมทำให้เราเกิดมาเป็นแบบนี้ในดวง ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้มันเป็นแค่ข้อมูลทางสถิติที่เก็บกันมาในอดีต และโยมเชื่อในเรื่องของกรรม ในศรัทธา4
2-คุณสมบัติของอุบาสกรัตนะ หนึ่งในนั่นคือ ไม่เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล
@๒ ผู้ถือมงคลตื่นข่าว หมายถึงบุคคลผู้ประกอบด้วย (๑) ทิฏฐมงคล (เชื่อว่ารูปเป็นมงคล) (๒) สุตมงคล @(เชื่อว่าเสียงเป็นมงคล) (๓) มุตมงคล (เชื่อว่ากลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นมงคล) กล่าวคือต่างก็มีความเชื่อที่ @แตกต่างกันไปว่า “สิ่งนี้ๆ เป็นมงคล อะไรๆ จักสำเร็จได้ด้วยสิ่งนี้ๆ” (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๕/๖๗)
และเกี่ยวกับเรื่อง มงคล 38 ข้อ 3 บูชาผู้ที่สมควรบูชา โยมสวมพระบูชาคิดว่าสิ่งที่เป็นมงคลจะเข้ามาเพราะอำนาจของพระรัตนตรัย แต่ก็คิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดสุดแล้วแต่กรรม โยมเชื่อในเรื่องกรรมคะ และถ้าช่วยโยมได้ก็คงเพราะมีกรรมต่อกันมาและโยมสร้างเหตุที่ดีด้วย
แบบนี้โยมเข้าข่ายอุบาสกรัตนะหรือปล่าวคะ
3-เกี่ยวกับเรื่องทานคะ 3.1-โยมสงสัยว่าทุกครั้งที่ทำทานคือคนคนนั้นต้องมีส่วนหนึ่งที่ละความตะหนี่แล้วใช่ไหมคะ หรือไม่ใช่คะ อย่างคนที่จะซื้อเสื้อเพราะมีความอยากได้เสื้อแต่ถ้าตะหนี่ก็ไม่ความจ่ายตังค์ คือต้องมีทั้งความอยากได้เสื้อและละความตะหนี่ทั้งสอง 3.2-การวางจิตเพื่อการให้ทานคือควรละความตะหนี่ เพราะจะได้อานิสงส์นิพพาน เป็นเหตุผลเดียวคือละความตะหนี่ใช่ไหมคะ แล้วถ้ามีหลายเหตุผลเช่นเป็นการทำความดีและทุกครั้งที่ทำทานได้น่าจะละความตะหนี่ไปด้วยอยู่แล้วนะคะ แบบนี้ควรจะวางจิตหรือปล่าวคะ หรือว่าต้องเป็นละความตะหนี่เหตุผลเดียวคะ (โยมต้องเป้าหมายคือนิพพานคะ)
4-สัมมาทิฐิสำหรับอริยะเป็นอย่างไรคะ
กราบขอโทษที่รบกวนหลวงพ่ออีกแล้วคะวันนี้โยมมีหลายคำถามด้วยโยมไม่รู้จะถามใครแล้วคะ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อล่วงหน้าเป็นอย่างสูงคะเจ้าคะ
จิราภรณ์ | |
ผู้ตั้งกระทู้ จิราภรณ์ :: วันที่ลงประกาศ 2023-01-28 22:32:35 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (4421847) | |
๑. ดูดวงให้ตัวเองได้ ให้ดูว่า วันนี้เราได้คิดดี ทำดี พูดดี เวลาใดบ้าง เวลานั้นดวงเราจะดีมาก ถ้าเวลาใดเราคิดไม่ดี ทำไม่ดี พูดไม่ดี ให้รู้ว่า เวลานั้นดวงของเราก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว เลี้ยงชีพชอบคือ เลี้ยงร่างกายด้วยการประกอบอาชีพสุจริต ไม่ทำการค้า ๕ อย่างที่พระพุทธเจ้าห้าม และบำรุงรักษาใจด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๒ อย่าง นี้ จัดเป็นสัมมาอาชีโว ๒. ต้องละสังโยชน์ ๓ ให้ขาดจากใจ จึงจะเป็นอุบาสกรัตนะ สำหรับผู้ยังครองเรือน การบูชาบุคคลผู้ควรบูชา ท่านสอนให้รู้จักใช้ปัญญาว่า ผู้เช่นไรเป็นผู้ควรบูชา และบูชาอย่างไร เพื่อให้เราจะได้เกิดคุณธรรมอย่างนั้น ๆ บ้าง ให้เชื่อกรรม คือเชื่อว่า เราทำดีเองก็จะได้ดีเอง เราทำชั่วเองก็จะได้ชั่วเอง คนอื่น สิ่งอื่น จะมาทำให้เราได้ดี หรือชั่ว หาได้ไม่ ดังนั้น จึงมุ่งทำดีโดยไม่หวังพึ่งสิ่งใด ตั้งใจถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่เคารพนับถือตลอดชีวิต ๓. การให้ทานก็เพื่อให้จิตเราเกิดเมตตาปรารถนาอยากช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ อยากแบ่งปันความสุขแก่ผู้อื่นบ้างจากการให้ทานของเรา ผู้ให้ทานจึงต้องตัดความตระหนี่ถี่เหนียว ตัดความโลภในทรัพย์สินเงินทอง ตัดความเห็นแก่ตัว จึงจะสามารถให้ทานได้ ถ้าให้ทานด้วยใจเสียสละจริง ๆ ก็จะเป็นเหตุทำให้ใจมีเมตตา ไม่โลภอยากได้ของคนอื่น ไม่คิดเบียดเบียนคนอื่น ไม่คิดทำร้ายผู้อื่น จัดเป็นสัมมาสังกัปโป จึงเป็นเหตุชักนำให้ใจเข้าสู่ศีล ซึ่งเป็นธรรมที่ละเอียดกว่าทาน ถ้าลำพังแต่ให้ทาน ก็ยังไปนิพพานไม่ได้ ต้องรักษาศีล เจริญสมาธิ อบรมปัญญาให้ถึงพร้อมด้วย จึงจะไปนิพพานได้ ทานเป็นเพียงกองเสบียงสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในวัฏสงสารเท่านั้น ถ้าไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็ยังไปอบายได้ ๔. คือเห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ ทำกิจในอริยสัจ ๔ ได้สำเร็จ คือ เจริญมรรคให้มาก ทำลายตัณหา ๓ ขาดจากใจ นิโรธคือ ความดับทุกข์ ก็ปรากฏขึ้นเอง ตามขั้นของจิตที่ทำลายสมุทัยได้แค่ไหน คือ ละสังโยชน์ ๓ ๕ ๑๐ ได้ ก็จึงเป็นสัมมาทิฏฐิเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช วันที่ตอบ 2023-02-06 21:22:29 |
ความคิดเห็นที่ 2 (4421883) | |
กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงเจ้าคะ
จิราภรณ์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จิราภรณ์ (crytala-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2023-02-07 02:04:09 |
[1] |