ReadyPlanet.com


ผีมีอยู่จริงหรือไม่ในพุทธศาสนา


          หลักไตรลักษณ์ในพระพุทธศาสนาอันเป็นหลักสัจธรรมของทุกสิ่งมีใจความว่าสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน คือ มีการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และการดับสูญ เมื่อพิจารณาร่วมกับขันธ์ 5 ขยายความได้ว่าหนึ่งชีวิตประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เกิดขึ้นมาแล้วตั้งอยู่อย่างไม่เที่ยงแปรปรวนไปมาจนดับไปในที่สุด ดังนั้นเมื่อดับหรือตายไปแล้วเท่ากับว่าไม่มีรูป(ร่างกาย) ไม่มีเวทนา(ความสุขทุกข์) ไม่มีสัญญา(การรับรู้และความจำ) ไม่มีสังขาร(การปรุงแต่งของจิต) และไม่มีวิญญาณ(การรู้แจ้งอารมณ์หรือประสาทสัมผัส) คนเราเมื่อตายไปแล้วย่อมไม่มีความจำหลงเหลืออยู่ รับรู้สิ่งรอบตัวและมีความรู้สึกต่างๆไม่ได้ ฉะนั้นการมีอยู่ของผีอาฆาตตามหลอกหลอน ผีเจ้ากรรมนายเวร ผีหวงสมบัติย่อมขัดแย้งกับหลักทางศาสนาใช่หรือไม่ 
          นอกจากนี้ยังมีหลักที่น่าสนใจอีกหนึ่งหลักซึ่งก็คือมรณาสันนวิถี เป็นวิถีจิตในช่วงเวลาที่กำลังจะตาย คือเมื่อมรณาสันนวิถีเกิดขึ้นแล้ว จิตนั้นจะกลายเป็นจุติจิต(จิตที่ดับสิ้นไปจากภพนั้น) และกลายเป็นปฏิสนธิจิตตามลำดับทันที ไม่มีสภาพจิตอื่นคั่นระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ เท่ากับว่าการมีอยู่ของผีเร่ร่อนรอการไปเกิดหรือผีที่ไม่ยอมไปเกิดนั้นขัดกับหลักมรณาสันนวิถีใช่หรือไม่ ฉะนั้นการมีร่างทรงให้ผีเข้ามาสิงร่างย่อมเป็นไปไม่ได้เลยตามหลักพระพุทธศาสนา 
          มีอีกหนึ่งความเป็นไปได้คือจิตนั้นดับแล้วปฏิสนธิเกิดใหม่ในทุคติภูมิ คือไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก และสัตว์เดรัจฉาน แต่เขาเหล่านั้นย่อมไม่เหลือสัญญาหรือความทรงจำในชาติที่ผ่านมาอยู่ดี เพราะทุกอย่างย่อมดับแล้วจุติใหม่เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์ทุกครั้งไปเรื่อยๆ สิ่งที่ประสบอยู่ในขณะนี้คือความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมาในสังคม และหลักคำสอนที่กำลังศึกษานั้นตีกันไปมา สิ่งที่คนในสังคมกำลังเป็นอยู่ การกราบไหว้ผี การบูชาผี ล้วนแต่เพิ่มกิเลสและความโลภในจิตใจ ไม่ใช่หนทางในการดับทุกข์ เราสามารถเปรียบว่าเป็นศาสนาผีได้หรือไม่ แล้วที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดดิฉันเข้าใจถูกต้องแล้วหรือไม่ ผิดถูกเช่นไรโปรดช่วยชี้แจง
 


ผู้ตั้งกระทู้ สุพิชญา :: วันที่ลงประกาศ 2020-06-19 17:05:47


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (4199809)

 จิตเป็นนักท่องเที่ยวไปในภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เมื่อไปเกิดในภพใด ตามเหตุปัจจัยที่ฝังจมอยู่ในจิต ก็จะไปถือกำเนิดในภพนั้น ๆ ซึ่งจิตในแต่ละภพ ก็มีอะไร ๆ ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ในมนุษย์ก็มีรูปกายอย่างหนึ่ง สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ก็จะมีรูปกายแตกต่างกันไป บ้างเป็นกายทิพย์ บ้างเป็นกายหยาบ เช่น กายมนุษย์ กายสัตว์เดรัจฉาน จิตเป็นเพียงผู้รู้ผู้ไปอาศัยอยู่ หากไปกำเนิดในสวรรค์ ๖ ชั้น ก็จะมีกายทิพย์ ในรูปพรหม ในอรูปพรหม ก็มีแตกต่างกันไป ถือเป็นเรื่องของขันธ์ จิตเป็นแต่ผู้รู้เฉย ๆ อาศัยกิเลสเป็นเหตุทำให้จิตต้องท่องเที่ยวไปในทั้งสามภพ ขึ้นอยู่กับว่า ทำกรรมอะไรไว้อย่างไร

พวกผี ก็มักเป็นพวกสัมภเวสี คือ จิตที่ยังเที่ยวเร่ร่อนอยู่ชั่วคราว ยังไปกำเนิดในภพใดภพหนึ่งไม่ได้ ก็เที่ยวหาที่เกิดอยู่ เทวดา ก็มี รุกขเทวดา ภุมมเทวดา ก็เป็นภพย่อย ๆ ของจิตที่กรรมยังไม่ส่งผลว่าจะไปเกิดในภพไหน ในตำราพระไตรปิฎก ก็มีพูดไว้ถึงภพที่เกิดของสัตว์ต่าง ๆ ถ้าอยากรู้ก็ไปศึกษาค้นคว้าเอาได้จากพระไตรปิฎก

จิตเป็นผู้รู้ เมื่อไปเกิดในภพไหน ก็จะไปรู้เกี่ยวกับภพนั้น ๆ สัญญาที่เคยจดจำไว้ในภพอื่น ๆ ก็หลงลืมไปเป็นธรรมดา ผู้ที่จะรู้อดีตได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มี บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณหยั่งรู้ระลึกชาติได้ ไม่ใช่ความทรงจำ

ส่วนการที่จะมีวิญญาณมาเข้าทรง อย่างที่เรียกว่า ผีเข้า บางคนอาจเคยพบเคยเห็น บางทีมันก็จริง บางทีมันก็ไม่จริง เขาแกล้งทำปลอมขึ้นมาก็มี ที่จะเป็นจริงคือ วิญญาณนั้นจะต้องมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันเท่านั้น จึงจะเข้าไปในร่างของอีกคนหนึ่งได้ ไอ้ที่จะเชิญวิญญาณมาเข้าทรง เอาตามใจชอบ มักเป็นเรื่องเสกสรรปั้นแต่งขึ้นเอง เพราะคิดว่า มันเป็นเรื่องมองไม่เห็น ไม่มีใครจะจับได้ โลกคนมีกิเลส ก็หลอกกันไป แล้วแต่ใครจะโง่ ใครจะฉลาด

ศาสนาพุทธแท้ ท่านสอนให้เจริญมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นไปเพื่อความดับทุกข์เท่านั้น อย่างอื่น อย่าไปสนใจเลย มันไม่มีประโยชน์ เรียนรู้ไปก็เป็นความจำเฉย ๆ ตายแล้วก็หลงลืมหมด แต่ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นธรรมที่มีอยู่จริง ใช้ฆ่ากิเลิสได้ ไม่ใช่ความจำ แม้ตายแล้ว ก็ติดไปกับจิต ไม่ได้สูญหายไปไหน

ใครจะดี ใครจะชั่ว ใครจะหลอกกัน ก็ช่างเขาเถอะ เราไปบงการเขาไม่ได้ ไปบังคับคนในโลกก็ไม่ได้ เขาอยากทำอะไร เขาก็ทำไปตามกิเลสในใจเขา เราก็มีกิเลสอยู่ในใจเรา พยายามรักษาตัวเองอย่าให้ตกเป็นทาสของกิเลสก็พอ หมั่นรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เจริญสมาธิให้ตั้งมั่น อบรมปัญญาให้สามารถทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้มันหมดสิ้นไปจากใจเราได้ จะมากจะน้อย ก็ค่อย ๆ ทำไป จะมีประโยชน์กว่าที่จะไปสนใจอยากรู้สิ่งอื่น ๆ มันมากจนนับประมาณไม่ได้ ครั้นรู้แล้วก็ไม้พ้นจากทุกข์ได้เหมือนเดิม

อย่างอื่น ๆ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโลกเขา ใครจะโง่ ใครจะฉลาด เราคงไปช่วยอะไรเขาไม่ได้ ทำตัวเราให้ฉลาดก่อน ทำตัวเราให้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสให้ได้ แล้วมันจะรู้แจ้งโลกทั้งสามได้เอง คิดไปตอนนี้ ก็ได้แต่ด้นเดาเกาหมัดไปเฉย ๆ มันไม่เห็นความจริงในภพต่าง ๆ คิดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ จะอยู่ภพไหนมันก็กิเลสตัวเดียวกันนี่แหละ เพราะจิตก็ดวงเดียวกัน เปลี่ยนแปลงโยกย้ายที่อยู่เฉย ๆ

จงเร่งความเพียร ทำศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดให้มีเป็นสมบัติของใจตนในภพนี้อย่างสุดความสามารถ ก่อนที่จะตายจากไปอยู่ภพอื่น ๆ จะมีประโยชน์กว่าที่จะไปนั่งสงสัยว่า ผีมีจริงหรือไม่ รอเมื่อไหร่ที่เราตายไป เมื่อนั้นก็จะรู้ได้เอง ตอนนี้ยังไม่ตายยังไม่เป็นผี ก็อย่าเพิ่งไปอยากรู้มัน จะเป็นเหตุทำให้ใจไขว้เขวเปล่า ๆ ผู้ที่จะรู้ได้จริง เกี่ยวกับผี หรือวิญญาณต่าง ๆ ก็ต้องมี ทิพพจักษุ ก็ถึงจะรู้ได้ ถึงรู้แล้วก็ไม่ช่วยทำให้พ้นทุกข์ สู้รู้ศีล รู้สมาธิ รู้ปัญญา ใช้ฆ่ากิเลสได้ จะมีประโยชน์มากกว่า

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พระวิทยา วันที่ตอบ 2020-06-19 23:21:12



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล