ReadyPlanet.com


ไตยลักษณ์


 "..คนที่ว่า ตนเองดวงไม่ดี

นอกจากขาดความเชื่อมั่น

ในตนเองแล้ว...

ยังเท่ากับแช่งตัวเองอีกด้วย

...ควรคิดอยู่เสมอว่า

"ดวงดี ดวงดี ดวงดี"

เพราะได้ คิดดี พูดดี ทำดีแล้ว..."

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

 

เราควรมองทุกอย่างตามกฏของไตยลักษณ์ มันไม่เที่ยง 

 

ในอดีตเวลาโยมเล่นเกมมักจะบอกตัวเองหลายๆทีก่อนเล่นต้องชนะต้องชนะพอเล่นทีไรก็ชนะทุกที

 

และถ้าโยมคิดว่ามันไม่แน่จะชนะและอาจแพ้ได้โยมคิดว่าโยมคงแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเล่นนะคะ

 

โยมสงสัยว่า

1-โยมควรจะปรับความคิดให้เป็นเช่นไรให้มันได้ทั้งสองข้อคือคิดดี และเป็นไตยลักษณ์(ไม่แน่)  หรือว่าโยมควรจะคิดแบบไหนถึงจะดีคะ

 

2-ในบทสวดโพชฌงค์7 โยมสงสัยว่าที่สวดหรือฟังแล้วโรคภัยไข้เจ็บหายไปเพราะอะไรคะ มันเกี่ยวกับ

2-1สวดหรือฟังแล้วเกิดปิติความเจ็บปวดจึงหายไปหรือปล่าวคะ

2-2หรือเพราะว่าปราศจากกิเลส โลภะ โทษะ โมหะ โรคภัยไข้เจ็บจึงหายไปคะ

 

3.จากคำถามข้อหนึ่ง หรือว่าโยมควรจะคิดแบบให้ปราศจากกิเลส โลภะ โทษะ โมหะ โยมถึงจะได้สิ่งดีๆเข้ามาคะ

 

กราบขอบคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงล่วงหน้าคะ

 

จิราภรณ์



ผู้ตั้งกระทู้ จิราภรณ์ :: วันที่ลงประกาศ 2022-12-11 20:55:49


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (4403537)

 ๑. เราจะทำอะไรก็คิดว่า จะทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด เตรียมตัวให้พร้อมที่จะทำดีที่สุด ส่วนมันจะแพ้หรือชนะ ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องในขณะที่ทำด้วย ไม่ต้องไปคาดผลว่า จะแพ้หรือชนะ ให้คิดว่า เมื่อทำดีที่สุดแล้ว ผลออกมาจะแพ้หรือชนะ ก็ยอมรับตามนั้น แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้ จะชนะก็ยอมรับว่าชนะ ไม่ไปยินดียินร้ายกับมัน ถือว่า ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นตามเหตุที่ทำ เมื่อเราทำเหตุดีแล้ว ผลย่อมออกมาดีเอง ดีใจเสียใจเป็นเรื่องของกิเลส การคิดไว้ก่อนว่า จะแพ้หรือชนะ เป็นการคิดคาดหมายอนาคต จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน ให้รู้ว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ ไม่ใช่คิดว่าจะชนะแล้ว มันจะชนะเพราะเราคิด มันชนะเพราะเราทำเหตุดีต่างหาก

๒. สวดโพชฌงค์ สามารถรักษาโรคทางใจได้ ส่วนโรคทางกายบางอย่างต้องอาศัยยารักษาโรค แต่บางอย่างก็หายเองได้ ยิ่งถ้าจิตใจดีมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ก็อาจช่วยกระตุ้นให้โรคหายได้ด้วยอำนาจจิต แต่ต้องเป็นโรคที่จะรักษาให้หายได้ โรคบางอย่างรักษาไม่หายก็มี คนเราถึงต้องตาย พระพุทธเจ้าก็ยังต้องปรินิพพาน ถ้ากรรมตายมาถึง จะสวดอะไรก็ตายทั้งนั้น สวดมนต์ก็เพื่อให้ใจสงบ ไม่ใช่สวดเพื่อให้ได้โน่นได้นั่น ถ้ามันจะได้อะไร ก็ต้องมีเหตุชักนำให้ได้ ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ต้องทำเหตุ

๓.ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ความคิดก็ต้องมีกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลง เจือปนอยู่วันยังค่ำ อาจคิดผิดก็ได้ อย่าไปเชื่อความคิดมากนัก ให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ด้วยใจจริง เจริญสมาธิให้จิตสงบตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน อบรมปัญญาให้เห็นชอบตามความเป็นจริง เห็นชอบตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน น้อมจิตหยั่งลงสู่ไตรลักษณ์ พิจารณาให้เห็นชัดประจักษ์ใจตนเองว่า ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้วต้องดับทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดให้เรายึดถือเป็นตัวเป็นตน เป็นของเราได้ ร่างกายก็ต้องแตกต้องพัง มีแต่ใจที่ไม่แตกไม่พังไปด้วย ดังนั้น จึงต้องทำใจให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ให้มั่นคงได้มากที่สุด ก็ถือว่า ดีที่สุดแล้ว ทำได้แค่ไหนก็ตั้งใจทำไป ทำให้เต็มกำลังความสามารถ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ยังมีโอกาสทำได้ เมื่อทำได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น อย่าโลภมากอยากได้ดีโดยไม่คิดทำเหตุให้ดี ถ้าชาตินี้ตายก่อนยังไม่ถึงพระนิพพาน ไว้ชาติหน้าก็มาทำต่อไป ถ้ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาฝังอยู่ภายในใจ การมาเกิดก็คือการมาสร้างบารมีให้แก่กล้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าไม่ตายก็จะไม่ได้มาเกิดเพื่อสร้างบารมี ดังนั้น ถ้ากรรมตายมาถึงก็ไม่ต้องกลัวตาย ถ้ายังไม่ตายก็จงทำดีไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็จะพ้นทุกข์ได้เอง ด้วยกำลังแห่งความดีที่ทำมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดไม่ถอย ทำความเพียรให้มาก ๆ อย่ามัวแต่คิดสงสัยโน่น นี่ นั่น ถึงกาลอันควรจะรู้ มันหากรู้ได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว

ผู้แสดงความคิดเห็น พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช วันที่ตอบ 2022-12-13 02:16:51


ความคิดเห็นที่ 2 (4403750)

 กราบขอบคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงเจ้าคะ

 

จิราภรณ์

ผู้แสดงความคิดเห็น จิราภรณ์ (crytala-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2022-12-13 13:30:51



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล