พระพุทธรูป นั้น นักปราชญ์โบราณาจารย์ท่านสร้างขึ้นเพื่อเป็นรูปเหมือนแทนพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ควรที่ใคร ๆ จะมาจินตนาการปั้นแต่งเอาเองตามใจชอบ ไม่ว่าใครจะเป็นคนออกแบบ จะปั้นให้สวยงามเพียงใดก็ตาม แต่ถ้ามาปั้นให้เหมือนคนธรรมดาสามัญ ไร้ซึ่งมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ กับอสีตยานุพยัญชนะ ๘๐ เสียแล้ว มันคือการด้อยค่าพระพุทธลักษณะดี ๆ นี่เอง ระวัง!! ตายแล้วจะไปเกิดเป็นคนรูปร่างหน้าตาทุเรศอัปลักษณ์ ๕๐๐ ชาติ
.
พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาอย่างต่ำ ๒๐ อสงไขยเศษแสนมหากัปป์ เป็นมหาบุรุษสุดประเสริฐหนึ่งเดียวในโลก จะให้มีรูปลักษณะเหมือนคนธรรมดาสามัญได้อย่างไร แค่คิดก็ผิดแล้ว เล่นกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า อย่าคิดนึกเอาเองตามความเห็นของตัวเอง จะกลายเป็นการหาความฉิบหายใส่ตัว
.
ถ้าหากเจ้าชายสิทธัตถะไม่มีมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ กับอสีตยานุพยัญชนะ ๘๐ ไหนเลยพราหมณ์โกณฑัญญะจะพยากรณ์ได้ว่า พระราชกุมารจะเสด็จออกทรงผนวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน และก็เป็นจริงตามนั้น
.
ในอรรถกถานิทานธรรมบท เคยมีนายช่างก่อสร้างไปลดความสูงของเจดีย์ที่มหาชนจะสร้างถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังเป็นกรรมทำให้ตายแล้วไปเกิดเป็นคนแคระถึง ๕๐๐ ชาติ อันนี้มาด้อยค่าพระพุทธลักษณะที่เต็มเปี่ยมด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ กับอสีตยานุพยัญชนะ ๘๐ ให้เป็นเหมือนบุคคลธรรมดาสามัญ
.
อย่าคิดว่าเป็นช่างปั้นที่เก่งกาจแล้วนึกจะทำอะไรก็ได้ ถึงแม้จะปั้นออกมาสวยดูดีก็ตาม แต่ถ้าตั้งใจทำให้เป็นเหมือนคนธรรมดาสามัญจริง ก็คงหนีไม่พ้นกรรม ถ้าสำนึกตัวกลัวบาป ก็ไปกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วทำใหม่ให้ถูกต้อง ก็พอจะพ้นกรรมไปได้
.
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้พระธรรมวินัยเป็นองค์แทนพระศาสดา ในกาลที่พระองค์ล่วงลับไป ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่า เห็นเราตถาคต ซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง และเป็นนามธรรมที่มองไม่เห็น ผู้ที่จะเห็นได้ต้องเป็นผู้มีความเพียรในศีล สมาธิ ปัญญา อย่างยิ่งยวด จนสามารถชำระกิเลสให้หมดจดจากใจ ทำใจให้บริสุทธิ์ได้ จึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้เห็นธรรม เห็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นการยากนักหนา
.
เหตุนั้น โบราณาจารย์จึงสร้างพระพุทธรูปเป็นองค์แทนพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าให้เป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้ สัมผัสได้ มองเห็นได้ เพื่อให้เป็นสักขีพยานทางตาว่า พระพุทธเจ้าองค์จริงมีพระรูปพระโฉมงดงามอย่างไร และควรต้องกระทำสามีจิกรรมแสดงความเคารพอย่างไรจึงเป็นการเหมาะการควร
.
การสร้างพระพุทธรูปเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เท่าที่สร้างกันมา มักสร้างพระพุทธรูปให้เป็นไปตามตำรามหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ กับอสีตยานุพยัญชนะ ๘๐ เพราะกาลเวลาล่วงเลยมานานจึงไม่มีใครได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
.
การกราบไหว้พระพุทธรูปนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะกราบปูน กราบโลหะ ที่เอามาทำพระพุทธรูป แต่กราบเพื่ออาศัยพระพุทธรูปนั้น เป็นนิมิตเครื่องหมายให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระคุณของพระธรรม พระคุณของพระสงฆ์ ที่ประชุมรวมกันเป็นองค์แทนพระบรมศาสดาต่างหาก เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ
.
กราบครั้งที่ ๑ ระลึกว่า “พุทโธ”
กราบครั้งที่ ๒ ระลึกว่า “ธัมโม”
กราบครั้งที่ ๓ ระลึกว่า “สังโฆ”
.
กราบแบบนี้ ยิ่งกราบได้บ่อยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ควรหรือจะไปสอนคนให้ไม่ต้องกราบไหว้พระพุทธรูป เพราะไม่ต้องการให้ยึดติดในรูปวัตถุ เพราะไปเข้าใจพระพุทธพจน์ผิดด้วยมิจฉาทิฏฐิของตัวเองว่า พระธรรมวินัยเป็นองค์แทนพระศาสดา จะไปเอารูปเหมือน รูปเคารพ มาเป็นองค์แทนพระศาสดาไม่ได้ คือ โง่แล้วมาอวดฉลาด ทำให้คนโง่ หลงโง่หนักเข้าไปอีก
.
การยึดติดพระพุทธรูปไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอันใด เหมือนกับการยึดติดรูปบุคคลหญิงชาย การกราบไหว้พระพุทธรูปจะว่า เป็นการยึดรูปวัตถุก็ใช่ ยึดเพื่อสร้างความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป การยึดความดีต้องยึดเอาไว้ก่อน มิฉะนั้น จิตมันจะไปยึดความชั่วแทน
.
เบื้องต้นให้ยึดความดีขั้นหยาบเอาไว้ก่อน แล้วปล่อยความดีขั้นหยาบไปยึดความดีขั้นกลาง ปล่อยความดีขั้นกลางไปยึดความดีขั้นละเอียด เมื่อถึงที่สุดแห่งความดีแล้ว จิตมันหากปล่อยความดีเอง ขั้นที่ความดีมันพอตัวแล้ว ไม่ต้องให้ใครบอก จิตมันปล่อยเอง
.
อุปมาเหมือนพายเรือเข้าหาฝั่งได้แล้ว ก็ลงจากเรือทิ้งเรือเดินขึ้นฝั่งไปเท่านั้นเอง ใครจะเป็นบ้าไปแบกเรือขึ้นฝั่งไปด้วยกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ความดีก็เป็นเหมือนเรือ อาศัยความดีหนุนส่งไปจนถึงพระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานแล้ว จึงปล่อยความดี อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือดี เหนือชั่ว ด้วยประการทั้งปวง
.
พวกภาวนาจิตยังไม่ทันเป็นอะไร ทำท่าจะเก่ง แต่ยังไม่เก่ง จิตยังอยู่ชั้นหยาบ ๆ ก็สอนให้อย่าไปยึดติดความดี ถ้าไม่ยึดติดความดี ระวัง!! จิตมันจะไปคว้าเอาความชั่วมายึดแทน เดี๋ยวจะถูกวัวเขาอ่อนขวิดตายคาที่ อย่าหาว่าไม่บอก
.
คนมีกิเลสมันต้องยึดดีไว้ก่อน ไม่ยึดดีไม่ได้ จิตมันจะไปยึดชั่วแทน เพียงแต่คอยระวัง อย่ายึดดีให้มันเกิดโทษด้วยการไปยกตนข่มผู้อื่น
.
นักปราชญ์โบราณาจารย์ท่านพากราบไหว้พระพุทธรูปมานานแสนนานทุกยุคทุกสมัย แม้คนทั่วไปเขายังรู้จักกราบไหว้รูปเหมือนบรรพุรุษเพื่อระลึกนึกถึงพระคุณของท่านเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที บางคนเป็นบุคคลสำคัญมีคุณูปการต่อบ้านเมืองเขาก็สร้างอนุสาวรีย์เพื่อเชิดชูเกียรติคุณให้เป็นตัวอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง
.
อันนี้เพิ่งบวชมาได้ไม่กี่วัน กล้ามาเทศน์สอนคนให้ไม่ต้องกราบไหว้พระพุทธรูป ไม่ดูเงาหัวตัวเองบ้างเลยหรือ หัวจะหลุดจากคอเมื่อไหร่ ประคองหัวตัวเองเอาไว้ให้ดี ๆ ได้ก็เก่งแล้ว
.
ครูบาอาจารย์ผู้ทรงญาณชั้นสูง ท่านก็มีนิมิตปรากฏเห็นพระพุทธเจ้ามาสนทนาธรรมกับท่านเสมอ ก็มิได้มีองค์ใดปฏิเสธ หรือรังเกียจรังงอนการกราบไหว้พระพุทธรูปแม้แต่น้อย มีแต่จะหมอบกราบแบบศิโรราบด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว มีแต่พวกทิฏฐิวิปลาสนี่แหละ!! ที่สอนให้ไม่ต้องกราบไหว้พระพุทธรูป ใครเป็นลูกศิษย์คนพวกนี้ให้สำเหนียกศึกษาผู้รู้ ระวังตัวไว้บ้างก็ดี อย่าหลงเชื่อจนหัวปักหัวปำ
.
ศาสนาพุทธมีทั้งรูปธรรมและนามธรรม จึงดำรงอยู่มาจนถึงบัดนี้ เคยมีข่าวขุดเจอซากเจดีย์เก่าที่นั่น ขุดเจอพระพุทธรูปเก่าแก่ที่โน่น นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่า ศาสนาพุทธเคยเจริญรุ่งเรืองที่นั้นที่โน้นมาได้หลายยุคหลายสมัยหลายร้อยปีมาแล้ว ถ้าหากไม่มีศาสนวัตถุเป็นเครื่องยืนยันความมีอยู่ของพระพุทธศาสนา ถ้าจะเอาแต่นามธรรมที่ไม่มีใครมองเห็น ศาสนาพุทธคงหายสาปสูญไปนานแล้ว
.
แม้ศาสนาพุทธจะเสื่อมสลายจากอินเดียไปหลายร้อยปี ชาวพุทธก็ยังหลั่งไหลไปกราบไหว้สังเวชนียสถานสี่ตำบล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างไม่มีเบื่อหน่ายจืดจาง ก็เป็นเพราะความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นเอง
.
พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ การบูชามี ๒ อย่าง
๑.อามิสบูชา บูชาด้วยสิ่งของ
๒.ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติ
.
ท่านยกย่องว่า การปฏิบัติบูชาเป็นเยี่ยม แต่อินทรีย์บารมีของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ใครทำอย่างไหนได้ก็ทำไป ใครปฏิบัติบูชาได้ก็ดีมาก เมื่อทำตัวดีแล้วก็จงอย่าไปยกตนข่มผู้อื่น มันจะกลายเป็นทำเลวไป
.
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เจดีย์ที่ควรกราบไหว้มีอยู่ ๔ อย่าง คือ
๑.ธาตุเจดีย์ เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
๒.บริโภคเจดีย์ เจดีย์บรรจุบริขารของพระพุทธเจ้า เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล ต้นพระศรีมหาโพธิ์
๓.ธรรมเจดีย์ เจดีย์บรรจุพระธรรม
๔.อุทเทสิกเจดีย์ เจดีย์สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า มี พระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท เป็นต้น
.
ชาวพุทธทั้งประเทศเขากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปเพื่อรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า มีทั้ง พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ทั้งในส่วนที่เป็นรูปธรรมคือพระรูปพระโฉม และในส่วนที่เป็นนามธรรมคือพระจิตบริสุทธิ์ ถ้าใครมองไม่เห็นความสำคัญของรูปธรรม จะไม่กราบไหว้พระพุทธรูป จะเอาแต่นามธรรม ก็เป็นสิทธิ์ของพวกคุณ แต่จงอย่ามาบิดเบือนพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดาให้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
.