มาฆบูชารำลึก ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
..
ในวาระที่ วันมาฆบูชามหามงคล เวียนมาบรรจบครบ ซึ่งปีนี้ตรงกับ วันพุธ ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเส็ง งูเล็ก เป็นวันพระใหญ่ ปักข์ถ้วน มีสวดปาติโมกข์ เป็นอุโบสถที่ ๖ ซึ่งผ่านมาแล้ว ๕ ยังเหลืออีก ๒ อุโบสถ จะสิ้นสุดฤดูหนาว
..
ความสำคัญในวันนี้ เป็นวันประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ ที่เรียกว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" อันประกอบด้วย
..
๑. เป็นวันเพ็ญเดือน ๓ เดือนมาฆะ (เดือน ๔ ในปีอธิกมาส) จึงเรียกว่า วันมาฆปูรณมีบูชา ถือเป็นวันกตัญญูแห่งชาติ เป็นวันแห่งความรักอันบริสุทธิ์
..
๒. พระอรหันตสาวกเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ด้วยเพราะในวันนี้ต่างก็มีใจรำลึกนึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความรักและเคารพ อันกตัญญูกตเวทิตาธรรมตักเตือน จึงพร้อมใจกันมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
..
๓. พระอรหันต์เหล่านั้นล้วนเป็น เอหิ ภิกขุ อุปสัมปทา คือเป็นพุทธเวไนย ผู้ที่อันพระพุทธเจ้าเท่านั้น จักพึงบวชให้ได้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ" แปลว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด (ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ปรากฏโดยชอบเถิด -หากผู้นั้นยังไม่สำเร็จพระอรหันต์)
..
การที่พระพุทธองค์จะทรงประทาน "เอหิ ภิกขุ" แก่ผู้ใด ผู้นั้นจักต้องสร้างบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว และเคยให้ทานผ้าจีวรในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสประทาน “เอหิ ภิกขุ” จึงมีจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์มาสวมกายในทันที สำเร็จเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แม้บวชใหม่ แต่มีศีลาจารวัตรอันหมดจดงดงาม มีสติสำรวมปานพระเถระมีพรรษาตั้ง ๑๐๐
..
๔. พระอรหันต์เหล่านั้นล้วนทรงอภิญญา ๖ อันเป็นคุณธรรมอันยิ่งที่สำเร็จได้ด้วยยาก ประกอบด้วย
..
๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบนได้
๒. ทิพพโสต มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
..
และมีเหตุการณ์พิเศษอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในวันนี้ ครั้งนั้นทีฆนขปริพพาชก ผู้เป็นหลานของพระสารีบุตร เที่ยวเดินตามหาพระสารีบุตรผู้เป็นลุงของตนอยู่ มาพบพระสารีบุตร กำลังถวายงานพัดอยู่เบื้องหลังพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ จึงรู้สึกไม่พอใจนัก จึงกล่าวในเชิงกระทบกระเทียบว่า “พระโคดม ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่พอใจทั้งหมด”
..
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบโต้ด้วยคำพูดที่แทงใจดำของทีฆนขปริพพาชก จนไม่อาจหาเหตุผลมาโต้แย้งว่า “ถ้าเช่นนั้น เธอก็ควรไม่พอใจความเห็นอันนั้นของเธอเสียด้วย” พร้อมทั้งทรงแสดงธรรมอื่น ๆ อีกเป็นอเนกปริยาย พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่ ฟังไปพิจารณาไปก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนทีฆขปริพพาชกก็ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุพระโสดาบัน
..
วันมาฆบูชานี้ จึงเป็นวันถือกำเนิดแห่งพระธรรมเสนาบดี ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้านปัญญา ผู้เป็นพลังสำคัญแห่งกองทัพธรรมในการขับเคลื่อนกงล้อแห่งธรรมจักรของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้หมุนไปในไตรโลกธาตุ
..
เมื่อพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ต่างเดินทางมาถึงพระเวฬุวันมหาวิหารในเวลาตะวันบ่าย ก็เข้าสู่ในที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาต นั่งสงบนิ่งเงียบอย่างสำรวม มิได้มีเสียงพูดคุยสนทนาปราศรัยใด ๆ เป็นสังฆโสภณา คือความงดงามพร้อมพรั่งแห่งสงฆ์
..
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่ที่ประชุม และทรงประทับนั่งบนพุทธอาสน์ในท่ามกลางสงฆ์แล้ว แม้จะมีภิกษุสงฆ์ประชุมกันอยู่ถึง ๑,๒๕๐ รูป แต่ในที่ประชุมนั้น นอกจากเสียงธรรมชาติแล้ว กลับมิได้มีเสียงใด ๆ ปรากฏ ยังคงสภาพสงบเงียบ ปานประหนึ่งเป็นสถานที่ว่างเปล่าปราศจากผู้คน
..
นี่คือ ความมหัศจรรย์ของการที่ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ทรงอภิญญา ๖ ล้วนเป็นเอหิ ภิกขุ อุปสัมปทา ได้มาประชุมพร้อมกันในที่เฉพาะพระพักตร์ โดยมิได้นัดหมาย ไม่มีใครอาราธนาให้มา ต่างมากันเองด้วยดวงใจรักเคารพเทิดทูนในพระผู้มีพระภาคเจ้า
..
มหาสังฆสันนิบาตอันงดงามเช่นนี้ ย่อมปรากฏมีเพียงครั้งเดียว ในสมัยของพระโคดมพุทธเจ้าของพวกเรา เนื่องจากพระองค์มาอุบัติในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัยต่ำสุด คือ ๑๐๐ ปี เพราะช่วงอายุขัยของมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติตรัสรู้ธรรมได้นั้น ต่ำสุด คือ ๑๐๐ ปี และสูงสุดไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ ปี ดังเช่น พระศรีอริยเมตไตรย มีอายุขัย ถึง ๘๐,๐๐๐ ปี มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ เช่นนี้มากกว่า ๑ ครั้ง
..
และในวาระดิถีที่ ๑๕ นี้ พระผู้มีพระภาคทรงกระทำวิสุทธอุโบสถ คือทรงแสดงพระปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ ที่ล้วนเป็นพระอรหันต์ ซึ่งจะมีได้ก็เฉพาะในมหาสังฆสันนิบาตเช่นนี้เท่านั้น และทรงตรัสโอวาทปาติโมกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
..
ในวันมาฆบูชานี้ พระสงฆ์ทั่วประเทศก็จะกระทำสังฆอุโบสถ แสดงพระปาติโมกข์ เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล เมื่อจบแล้ว ก็จะมีการสวดท้ายปาติโมกข์ด้วยคาถาโอวาทปาติโมกข์ มีใจความดังต่อไปนี้ :-
..
ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา
นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโตฯ
..
ขันติ คือความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวพระนิพพานว่า เป็นเยี่ยม
ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
..
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง
เอตัง พุทธานะสาสะนังฯ
..
การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑
การบำเพ็ญแต่ความดี ๑
การทำจิตของตนให้ผ่องใสและบริสุทธิ์ ๑
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
..
อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต
ปาติโมกเข จะ สังวะโร
มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสสะมิง
ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง
อะธิจิตเต จะ อาโยโค
เอตัง พุทธานะ สาสะนังฯ
..
การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑
ความสำรวมในปาติโมกข์ ๑
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑
ที่นั่งนอนอันสงัด ๑
ความเพียรในอธิจิต ๑
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
..
ในโอกาสอันเป็นมหามงคลสมัย วันมาฆบูชา เวียนมาบรรจบครบ บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกท่าน จงอย่าได้พลาดโอกาสอันดีงาม ต่างมีมือถือดอกไม้ธูปเทียน ของหอม และภัตตาหารหวานคาว ไปสู่อารามที่ตนเลื่อมใสศรัทธา เพื่อกระทำอามิสบูชา ทำบุญตักบาตรในยามเช้า จากนั้น ก็สมาทาน ศีล ๕, ศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถ ตามกำลังความสามารถของตน เป็นปฏิบัติบูชา
..
แล้วนั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนา เป็นปฏิบัติบูชาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตกเย็นก็มีการเดินทำประทักษิณเวียนเทียนรอบโบสถ์ วิหาร เจดีย์ มีทำวัตรค่ำ และสวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน ปิดท้ายด้วยการสวดโอวาทปาติโมกข์ พระเถระผู้ทรงพรรษายุกาล ก็จักแสดงธรรม เพื่อปลุกเร้าใจให้เกิดความอาจหาญ ให้ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติอันเป็นหนทางดับทุกข์ได้ต่อไป
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๘
.