ถ้ามีพระองค์ไหนออกมาโฆษณายกยอกันเองว่า องค์นั้นเป็นพระอรหันต์ องค์โน้นเป็นพระอนาคา เป็นพระสกทาคา เป็นพระโสดาบัน องค์นั้นมีฤทธิ์มีเดช องค์นั้นเกศาเป็นพระธาตุ องค์นั้นเล็บเป็นพระธาตุ องค์นั้นขี้เยี่ยวเป็นพระธาตุ องค์นั้นได้ฌานได้สมาบัติ ต่างยอกันไปยอกันมา เอ็งยอข้า ข้าก็ยอเอ็ง อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน พระภิกษุเหล่านั้นก็เป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุทันทีที่มีคนอื่นฟังเข้าใจ
.
พระจริงพระแท้ท่านจะไม่เอาคุณธรรมภายในของท่านมาพูดพล่ามอวดกันโดยไม่มีเหตุอันควร หากจะพูดก็จะพูดเฉพาะกับบุคคลที่ควรพูดในกรณีที่สนทนาธรรมภาคปฏิบัติเป็นธรรมสากัจฉาต่อกันเท่านั้น เพราะพระวินัยบัญญัติไว้ด้วยว่า ถ้าพูดเพื่ออวดคุณวิเศษที่มีจริงก็ปรับอาบัติปาจิตตีย์
.
ถ้าเป็นพระอรหันต์จริงแท้ ท่านย่อมรู้จักประมาณในการพูด รู้จักกาลอันควรที่จะพูด และพูดด้วยความเคารพในธรรม พูดธรรมสมควรแก่ธรรม พูดเพื่อประโยชน์ในความปฏิบัติดีของผู้ฟังเท่านั้น จะไม่พูดพล่ามเพ้อเจ้อเหลวไหลเพื่ออวดคุณธรรมโดยไม่มีเหตุอันควรพูด
.
พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีอยู่จริงก็ปรับปาราชิก
พูดอวดคุณวิเศษที่มีอยู่จริงก็ปรับปาจิตตีย์
.
ชาวพุทธจงอย่าหลงงมงาย พระองค์ไหนก็ตามถ้ามาพูดอวดคุณวิเศษจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แล้วก็บอกเลขบัญชีเพื่อรับบริจาค หาเงินเข้าบัญชี ล้วนเป็นพระอลัชชีหน้าด้านทั้งนั้น อย่าไปเข้าใจทีเดียวว่าเป็นพระอริยเจ้า จะเป็นบาปหนัก เพราะเท่ากับเอาขี้ไปป้ายใส่พระอริยเจ้า
.
เพราะพระวินัยบัญญัติไว้ด้วยอีกว่า ห้ามมิให้พระภิกษุขอปัจจัยสี่ จากบุคคลผู้ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ขอตรง ๆ ปรับอาบัติปาจิตตีย์ ขออ้อม ๆ แสดงกิริยาทางกายเรียกกายวิญญัติ หรือเลียบเคียงขอด้วยวาจา เรียกวจีวิญญัติ ปรับอาบัติทุกกฏ เว้นไว้แต่ภิกษุไข้จึงขอได้เท่าที่จำเป็น
.
แม้เป็นญาติก็ขอได้เฉพาะที่เป็นสายโลหิตเดียวกัน แม้เขาปวารณาไว้ก็ขอได้ไม่เกิน 4 เดือน เว้นไว้แต่เขาปวารณาซ้ำ หรือปวารณาเป็นนิตย์ก็ขอได้ตลอดไป ถ้าขอเกินจาก 4 เดือนก็ปรับอาบัติปาจิตตีย์
.
การที่พระวินัยบังคับไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน ก็มุ่งหวังให้พระภิกษุถือสันโดษพอใจในของที่ตนมีตนได้ ไม่ทะเยอทะยานมักมากในปัจจัย 4 อันจะเป็นเหตุให้เกิดความโลภทับถมใจนั่นเอง ซึ่งจะกลายเป็นการไปเบียดเบียนญาติโยมให้มากเกินไปโดยไม่จำเป็น
.