มีปัญหาถามว่า “สมัยนี้คนหลงงมงายทำในสิ่งที่ผิดไปจากพระธรรมวินัยที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า จนเห็นการทำผิดเป็นเรื่องปกติ บางคนหลงผิดไปจนโงหัวไม่ขึ้น บางวัดก็พาทำพาปฏิบัติผิดเพี้ยนไปจากแนวคำสอนของพระพุทธศาสนา
.
มิหนำซ้ำ พระบางรูปก็ยังมาเทศน์สอนไปตามแนวทางของตนเองแบบผิดบ้างถูกบ้าง ไม่ยึดพระธรรมวินัยอันเป็นคำสอนของพระบรมศาสดา หรือตีความพระธรรมวินัยผิดไปด้วยไม่รู้ จนญาติโยมก็ไม่รู้ว่า จะฟังใคร เพราะต่างก็เทศน์สอนไปคนละทิศละทาง แบบนี้แล้วศาสนาพุทธจะเจริญรุ่งเรืองไปได้อย่างไร? จะช่วยกันแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?”
.
คำถามนี้เป็นคำถามโลกแตก มันแก้ไม่ได้ เพราะมันเป็นอยู่ที่ใจคน ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมองศาสนาไปในมุมมองทางไหน ถ้าเรามองว่า ศาสนาเป็นเรื่องภายนอกที่เกี่ยวข้องกับวัดวาอาวาส พระสงฆ์ สามเณร องค์กรศาสนาต่าง ๆ ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เราก็จะมองเห็นเรื่องที่ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าได้จนเลอะเลือน แค่อ่านคำถามก็เริ่มปวดหัวแล้ว ถ้ายิ่งไปคิดแก้ปัญหา เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกตายเสียเปล่า!!
.
เพราะปัญหาของพระพุทธศาสนา มิใช่จะแก้ได้ด้วยการนึกคิดแสดงความเห็นด่ากันไปด่ากันมา เหมือนอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโลกโซเชียลอย่างสนุกปาก เรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยการศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจหลักคำสอนของศาสนาอย่างลึกซึ้งแจ่มแจ้ง แล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้กำจัดกิเลสความชั่ว สั่งสมความดี จนถึงทำใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งไม่ใช่ของเล่นที่จะทำกันได้อย่างง่าย ๆ
.
ผู้มีหน้าที่ทำงานเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ต้องมีความสามัคคีร่วมมือกันในหลายฝ่าย ที่สำคัญคือ ทุกฝ่ายต้องมีความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ จึงจะแก้ปัญหาไปในทิศทางเดียวกันได้
.
ไล่ไปตั้งแต่องค์กรมหาเถรสมาคมเป็นผู้มีหน้าที่ปกป้องพระธรรมวินัยต้องไม่เข้าเกียร์ว่าง เจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกระดับชั้น องค์กรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ทุกหน่วยงานต้องตั้งตนอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่ละเลยที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม
.
แค่คิดเพียงเท่านี้ก็ปวดหัวแล้ว ยังไม่ทันได้ลงมือกระทำการใด ๆ เลย ถ้าลงมือกระทำการที่จะเข้าไปแก้ปัญหาอย่างจริงจัง มันก็ยิ่งจะยากเข้าไปอีก เพราะแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้น มันมีแต่เรื่องที่ไม่ค่อยจะดีทั้งนั้น และแต่ละเรื่องต้องทุ่มเทความพยายามในการแก้ปัญหาอย่างสุขุมรอบคอบ
.
การแก้ปัญหามันจึงต้องอาศัยผู้มีอำนาจที่มีความรับผิดชอบ มีความเด็ดขาด บางทีก็จำเป็นต้องใช้กฎหมาย ต้องออกกฏ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ และที่สำคัญต้องใช้พระดี คนดีเข้าไปแก้ปัญหา ถ้าให้พระชั่ว คนชั่วเข้าไปแก้ปัญหา ก็เป็นเหมือนลิงพันแห มันก็แก้ไม่ได้เท่านั้นเอง อีกทั้งพระดี คนดีที่จะเข้าไปแก้ปัญหาก็ใช่ว่า จะหาได้ง่าย ๆ
.
ดังนั้น เกี่ยวกับศาสนาทางภายนอก ก็ช่วยกันทำได้เท่าที่จะสามารถทำได้ ต่างคนต่างช่วยกันแก้ปัญหาไปตามกำลังความสามารถของตัวเอง ใครมีความสามารถที่จะช่วยทำอะไรให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองได้ ก็ทำไปเถอะ และไม่ต้องหวังผลตอบแทน แต่ข้อสำคัญคือ อย่าลืมทำตัวเองให้เป็นพระดี เป็นคนดีให้ได้ก่อนเท่านั้นแหละ ที่เหลือนอกนั้นก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรมจะทำงานเอง
.
แต่ถ้าเรามองว่า ศาสนาเป็นเรื่องของเราคนเดียว เราเคารพนับถือพระพุทธเจ้า เราต้องทำอย่างไร จึงจะทำให้ใจเราตั้งมั่นอยู่ในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เรียกว่า พระรัตนตรัย สมกับที่ได้ปฏิญาณตน ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง เราก็จะมีแก่ใจขวนขวายปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอันเป็นคำสอนคำสั่งขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาอย่างฝากเป็นฝากตาย
.
ใครอยากให้ทาน ก็จงให้ทาน ใครอยากรักษาศีล ก็จงรักษาศีล ใครอยากทำสมาธิ ก็จงทำสมาธิ ใครอยากอบรมปัญญาก็จงอบรมปัญญา ทำให้มาก เจริญให้มาก ก็จะปรากฏผลขึ้นที่ใจตนเอง เป็นเหตุทำให้ใจสามารถกำจัดกิเลสมี ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้เบาบางลงจนถึงกับทำลายมันให้หมดสิ้นไปจากใจได้
.
ถ้าเรามองศาสนาเข้ามาที่ใจของเรา ใจเรายอมรับเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติได้มากเท่าไหร่ ศาสนาพุทธก็เจริญอยู่ในใจของเรามากเท่านั้น ดูว่าใจเรามีพระพุทธศาสนาที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่กี่มากน้อย มีทาน มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาอยู่แค่ไหน นั่นแหละ เรียกว่า ศาสนาพุทธเจริญอยู่ในใจของเราเท่าที่เรามีคุณธรรมอยู่ภายในใจ
.
แต่ถ้าใจใครไม่ยอมรับเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติเลย ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา แม้สักนิดก็ไม่มี วันหนึ่ง ๆ ตั้งหน้าตั้งตาหาแต่เรื่องจะคดจะโกงคนอื่น หลอกลวงคนอื่น ศีล ๕ ไม่มีแม้สักตัว สมาธิก็ไม่เคยทำ ปัญญาก็ไม่เคยนึกถึง จิตใจไม่มีแสงสว่างแห่งธรรมปรากฏ ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีความละอายต่อบาป ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่บาป นี่ เรียกว่า ศาสนาพุทธเสื่อมจากใจผู้นั้นแล้ว
.
ไม่ต้องรอให้ถึง ๕,๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธก็เสื่อมได้ คือเสื่อมจากใจของชาวพุทธก่อน เสื่อมไป เสื่อมไปทีละคนสองคน จนเสื่อมหมดจากใจของชาวพุทธทุกคน คือใจของมนุษย์สกปรกจนไม่สามารถยอมรับธรรมมาปฏิบัติได้ กาลนั้นจะไม่มีศาสนาพุทธอยู่ในใจของสัตว์โลกรายใดอีกเลย
.
นั่นคือ ศาสนาพุทธเสื่อมจากโลกนี้ไปตลอดกาลนาน จนกว่าจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ใหม่มาอุบัติตรัสรู้ธรรมคือ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ แล้วประกาศธรรมสอนโลกใหม่ ศาสนาพุทธก็จะเจริญขึ้นมาในใจของสัตว์โลกอีกครั้งหนึ่ง
.
เราต่างเกิดมามีชีวิตอยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ก็ตายจากกันไปหมดแล้ว อย่าไปอยากให้ศาสนาพุทธไม่เสื่อมเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก ศาสนาพุทธจะอย่างไรก็ต้องเสื่อมไปจากโลกนี้อย่างแน่นอน ไม่เสื่อมตอนเราเป็น ก็ต้องเสื่อมตอนเราตาย
.
ศาสนาพุทธจะเสื่อมจากโลกนี้เมื่อไหร่ ก็ช่างเถอะ แต่อย่าให้ศาสนาพุทธเสื่อมไปจากใจเราได้ เท่านั้นก็พอ เมื่อใดที่ใจเราทรงมรรค ทรงผล ทรงนิพพาน ศาสนาพุทธก็จะไม่มีวันเสื่อมไปจากใจเราอีกเลยเป็นตลอดอนันตกาล
.