วันนี้ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เป็นวันวิสาขบูชา ตรงกับ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล เป็นวันพระใหญ่ ปักข์ถ้วน มีสวดปาติโมกข์ นับเป็นอุโบสถที่ ๔ ผ่านไปแล้ว ๓ อุโบสถ ยังเหลืออีก ๔ อุโบสถ ก็จะสิ้นสุดฤดูร้อนคิมหันตฤดู เพื่อเป็นการน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ก็จักหยิบยกเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ มาบรรยายให้ท่านทั้งหลายได้สดับ พอเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ ให้เกิดความอาจหาญ ให้ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติ อันเป็นหนทางนำออกจากทุกข์ได้ต่อไป
.
พระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ย่อมมีเป็นอเนกอนันต์สุดจะประมาณได้ แม้หากพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว จักนั่งพรรณนาพระพุทธคุณไปจนถึงวันปรินิพพาน พระพุทธคุณนั้น ก็ยังมิอาจพรรณนาให้จบสิ้นได้ เห็นทีพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปเสียก่อนเป็นแน่แท้
.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จำเดิมแต่เมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้านั้น กว่าจะสร้างบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมไพบูลย์ได้ ท่านอุปมาไว้ดังนี้ :-
.
“หากมีบุรุษใดที่จักอาจกล้าหาญเหยียบย่ำลงไปบนแผ่นดินที่ปูลาดด้วยถ่านเผาไฟแดง ๆ ด้วยเท้าอันเปล่าเปลือย เป็นระยะทางอันสุดแสนไกลที่บั้นปลายไม่ปรากฏ ด้วยดวงจิตอันเด็ดเดี่ยวหนักแน่น ไม่ย่อท้อต่อความทุกข์ยากลำบาก ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อความตาย แม้จะตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ภพกี่ชาติ จนแม้กระดูกจะกองเท่าภูเขา ก็จะขอเดินเหยียบย่ำลงไปบนถ่านเผาไฟแดง ๆ อย่างนี้ ด้วยใจที่ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ผู้เช่นนั้นแล!! จึงจักสามารถสร้างบารมีปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าได้สำเร็จ"
.
ลองคิดดูเองเถิด ยกพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะเป็นเหตุ กาลอันเป็นส่วนมโนปณิธาน เพียงลำพังแค่คิดอยู่ภายในใจ ว่า "ขอปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้าโน้น" ทำความปรารถนาไว้ในใจเช่นนี้ ก็ยังต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร อยู่ถึง ๗ อสงไขยกัปป์ (กัปป์นับไม่ได้ ๗ ครั้ง) เพื่อสร้างบารมีชั้นต้นให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์
.
จากนั้น เข้าสู่กาลอันเป็นส่วนวจีปณิธาน เปล่งวาจา ว่า "จะขอเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้า" แล้วท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดไปอีก ๙ อสงไขยกัปป์ เพื่อสร้างบารมีชั้นกลางให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ถ้ายังไม่ท้อถอยความเพียร หรือ ลาพุทธภูมิไปเสียก่อน ก็จักได้รับพุทธพยากรณ์ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
.
เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จักมีบารมีแก่กล้าเข้าสู่ขั้นปรมัตถบารมี อันเป็นบารมีขั้นอุกฤษฏ์ เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องทำความเพียรต่อสู้กับกิเลสอย่างอุกฤษฎ์ คือ ยอมสละบุตร ภรรยา แม้เลือด เนื้อ และ ชีวิต เพื่อทำความปรารถนาพระโพธิญาณอย่างเดียวเท่านั้น แม้กระนั้นแล้ว ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างสมพระบารมีท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสารอีก ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปป์ บารมีจึงเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
.
รวมเบ็ดเสร็จพระปัญญาธิกะ ต้องสร้างบารมีทั้งสิ้น ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปป์ พระศรัทธาธิกะ ต้องสร้างบารมีทั้งสิ้น ๔๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปป์ และ พระวิริยาธิกะ ต้องสร้างบารมีทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปป์ นับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกินกว่าที่แต่ละพระองค์จะทรงสร้างบารมีสำเร็จจนเต็มเปี่ยม
.
ควรที่จะมาอุบัติตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาเอกของโลก มาประกาศธรรมสอนโลก ให้พวกเราท่านทั้งหลาย ได้สดับพระธรรมเทศนา อันเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นทางสายกลาง ประกอบด้วยมรรค มีองค์ ๘ ที่ย่นย่อลงแล้วก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
.
พวกเราที่เป็นภูมิสาวก เพียงสร้างบารมีแค่เศษเสี้ยวของพระพุทธองค์ คือ หนึ่งแสนมหากัปป์เท่านั้น ก็สามารถบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันตสาวกเข้าสู่พระนิพพานได้แล้ว แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น เพราะการที่พระองค์ ทรงทำความปรารถนาจะรื้อขนสัตว์ ให้ก้าวพ้นจากทุกข์ไปด้วยกัน พระองค์ต้องยอมอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก เพื่อสร้างสมพระบารมีให้เต็มเปี่ยม ต้องทนทุกข์ทรมานในการเวียนว่ายตายเกิดไปอีก ๒๐ อสงไขยกัปป์ มากกว่าพวกเราอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
.
แล้วจะมีผู้ใดใครเล่า จะสามารถพรรณนาคุณงามความดีของพระองค์ที่เรียกว่า พุทธคุณ ที่ทรงบำเพ็ญเพียรมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ๒๐ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัปป์นั้น มาตีแผ่ให้พวกเราได้เรียนรู้จนหมดสิ้นได้ทุกอย่างในระยะเวลาเพียงชั่วอายุคนคือ อย่างมากไม่เกิน ๑๒๐ ปี แม้พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาอุบัติตรัสรู้ต่อ ๆ กันไป แล้วนั่งพรรณนาพระพุทธคุณไปเรื่อย ๆ ก็ยังพรรณนาพุทธคุณได้ไม่จบไม่สิ้น ด้วยเหตุสุดวิสัยว่า อายุขัยจักพลันหมดสิ้นลงไปเสียก่อนนั่นเอง
.
ดังนั้น ในวาระอันเป็นมหามงคลที่วันวิสาขบูชาเวียนมาบรรจบครบอีกครั้งในปีนี้ จึงควรที่พวกเราชาวพุทธ จักได้น้อมรำลึกนึกถึง พระคุณอันประเสริฐ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ด้วยการน้อมนำเอาพระธรรมคำสอนมาประพฤติปฏิบัติ ดัดแปลงกาย วาจา ใจ ของตน ให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ในองค์มรรคทั้ง ๘ ให้ได้ ด้วยการเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ถวายเป็นปฏิบัติบูชาตามควรแก่กำลังความสามารถของตน
.
ก็วันวิสาขบูชา นี้ เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ผู้ทรงเป็นพระมหาบุรุษสุดประเสริฐ ผู้ดำรงในพระคุณอันล้ำเลิศ ๓ ประการ มีพระปัญญาคุณอันยอดเยี่ยม พระบริสุทธิคุณอันหมดจดงดงาม พระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาล
.
เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ก็มิได้ทรงประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ตามลำพังพระองค์เอง อาศัยความกรุณาเอ็นดูในหมู่สัตว์ ทรงเสด็จจาริกไปในคามนิคมน้อยใหญ่ เพื่อทรงแสดงธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ได้ฟังธรรมและปฏิบัติตาม ทั้งไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง และไพเราะในบั้นปลาย เป็นเหตุให้พวกเราได้มีข้อปฏิบัติดำเนินไปตาม ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ก็จะสามารถละความเห็นผิดอันเป็นโทษทุจริต ให้สถิตตั้งมั่นในความเห็นชอบ อันเป็นคุณความดีงามที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ได้
.
วันวิสาขบูชา จึงถือเป็นวันสำคัญอันยิ่งใหญ่ของโลก ไม่มีวันสำคัญอื่นใดจะยิ่งไปกว่า เพราะวิสาขบูชา เป็นวันเดียวที่รวมเอาเหตุการณ์สำคัญของโลกถึงสามประการไว้ด้วยกัน อันยากยิ่งที่จะอุบัติบังเกิดกับมนุษย์ปุถุชนคนใดในโลก กล่าวคือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น และเป็นการประสานรวมธรรมขั้นสุดยอด ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พระพรรษา สรุปรวมลงในพระไตรลักษณ์ คือ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" อันเป็นธรรมขั้นสุดยอดที่ใช้ปราบกิเลสให้หมดสิ้นจากใจได้อย่างหมดจดงดงาม
.
โดยมีนัยดังนี้ คือ อนิจจัง ได้แก่ ความเกิดปรากฏเป็นเบื้องต้น คือการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ทุกขัง คือ ความเสื่อมสิ้นพิบัติแปรปรวนตั้งอยู่ในท่ามกลาง คือ นับจากวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๔๕ พระพรรษา ที่ทรงประกาศธรรมสอนโลก และจบลงด้วย อนัตตาธรรม คือ การที่พระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพาน ได้แสดงให้เห็นถึงความที่ไม่มีตัวตน แม้สรีระสังขารของพระองค์เอง ก็ไม่อยู่นอกเหนือจากธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วได้
.
ดังนั้น วันวิสาขบูชา นี้ จึงเป็นเหมือนการประมวลธรรมทั้งปวงที่พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมสั่งสอนไวไนยสัตว์ ให้เป็นนิมิตหมายแสดงให้เห็นถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของทุกสรรพสิ่ง ไม่มียกเว้นแม้กระทั่งพระองค์เอง ที่ได้ประสูติในเบื้องต้น ตรัสรู้ในท่ามกลาง และปรินิพพานในบั้นปลาย ทั้งสามวาระมาปรากฏรวมอยู่ในวันวิสาขบูชา วันเดียวนี้ นับเป็นกาลอัศจรรย์ที่จักมีปรากฏในสามโลกธาตุเพียงครั้งเดียวเมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสรู้เท่านั้น
.
ก็ไตรลักษณ์อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ ย่อมถือเป็นธรรมชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา ที่บุคคลใดหากบังเกิดดวงตาเห็นธรรม ผู้นั้นต้องเห็นไตรลักษณ์ จึงสามารถก้าวข้ามโคตรแห่งปุถุชนกลายเป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ได้ชื่อว่า มีดวงตาเห็นธรรม และจักสิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง ผู้ใดเห็นไตรลักษณ์ ผู้นั้น ก็ต้องได้เห็นพระนิพพาน อย่างไม่มีวันจะผันแปรเป็นอื่น มีคำถามสอดเข้ามาว่า แล้วทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงต้องมาประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเดียวกันนี้ด้วยเล่า เป็นเพราะเหตุดังฤา?
.
คำตอบก็คือ ก็ด้วยพระพุทธบารมีอันยิ่งใหญ่ ที่ทรงบำเพ็ญมาแล้วอย่างเต็มเปี่ยมไพบูลย์ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัปป์นั่นแล จึงบันดาลให้เกิดปรากฎการณ์ อันเป็นคุณลักษณะเฉพาะของท่านผู้เป็นมหาบุรุษสุดประเสริฐ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้ เท่านั้น มิได้ปรากฏสาธารณะ แก่สัตว์อื่น บุคคลอื่นใดไม่ ตลอดทั่วแดนไตรโลกธาตุ
.
วิสาขบูชา นี้ จึงเป็นนิมิตหมายแห่งธรรมทั้งปวง ที่พระพุทธองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอด ๔๕ พระพรรษา ว่า "สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา" ทรงอาศัยพระพุทธสรีระนี้ เป็นเครื่องยืนยันอย่างหนักแน่น ในธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้น ว่า "แม้พระองค์เอง ถึงจะทรงไว้ซึ่งบุญญาบารมีที่สั่งสมมาแล้วอย่างยาวนาน แม้จะมากมายสักเพียงไหน พระองค์ก็ไม่ได้รับการยกเว้น ให้อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์แห่งไตรลักษณ์ ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วนี้ได้เลย" นั่นคือ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ต้องดับไปเท่านั้น ไม่มีเว้นแม้แต่พระสรีระของพระองค์เอง
.
เมื่อพระองค์ทรงประสูติ นั่นคือ กาลอันเป็นที่เกิดขึ้นแห่งพระพุทธสรีระ เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ คือ กาลอันเป็นที่อุบัติแห่งพระตถาคตเจ้า พร้อมทั้งการดับสิ้นไปของกิเลสกองทุกข์ทั้งปวง ที่เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพพาน" และเมื่อพระองค์ทรงปรินิพพาน คือ กาลอันเป็นที่ดับไปของพระตถาคตเจ้า เป็นการดับทั้งรูปขันธ์ คือ พระพุทธสรีระ และการดับนามขันธ์ทั้งปวง อันได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นการดับอย่างไม่เหลือเชื้อ ที่เรียกว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" อันสามโลกธาตุต้องสะเทือนสะท้านหวั่นไหว ในพระคุณอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ แห่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ที่ได้ทรงดับขันธปรินิพพานจากโลกสมมตินี้ไปเป็นตลอดอนันตกาล
.
ดังนั้น ในวาระที่วันวิสาขบูชาเวียนมาบรรจบครบ ปวงเราท่านทั้งหลายที่ยังระลึกถึงการมาเยือนแห่งวันวิสาขบูชา นั้น ก็จงอย่าได้ปล่อยให้วันวิสาขบูชาล่วงเลยไปเปล่า ๆ จงตั้งจิตสำรวมใจ น้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ที่ได้ทรงประทานธรรมโอวาทอันล้ำเลิศนี้ไว้แล้วแก่พวกเราชาวพุทธทุกคน
.
จงน้อมนำเอาธรรมโอวาทนั้นมาปฏิบัติ เพื่อถวายเป็นปฏิบัติบูชา นอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ในวันอันเป็นมหาอุดมมงคลอย่างยิ่งนี้ จงอย่าได้ทำให้พระองค์ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีลำบากพระวรกายไปเปล่า ๆ ด้วยการแสวงหาธรรมวิเศษมาสั่งสอนพวกเรา แต่กลับไม่มีใครนำธรรมที่พระองค์ทรงประทานให้ไว้แล้วนั้น มาประพฤติปฏิบัติให้เกิดสติปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งปวง ตามรอยเสด็จของพระพุทธองค์ เข้าสู่แดนอมตะมหานิพพานได้เลย
.
ธรรมทั้งปวงนั้น แม้จะทรงคุณค่ามากมายสักเพียงไหนก็ตาม แต่จะต้องกลายเป็นเสมือนดังไร้ค่า หากไม่มีผู้ใดสนใจนำธรรมนั้นมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความดับทุกข์ได้จริง และเป็นสักขีพยาน ว่า ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น ย่อมให้ผลจริงแก่ผู้ปฏิบัติตามสมควรแก่ความปฏิบัติตลอดกาล เป็นอกาลิโกไม่มีกาลเวลา และผู้ปฏิบัติจักพึงรู้เองเห็นเองด้วยสันทิฏฐิโก ที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ให้แล้ว คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
.
ดังนั้น จึงควรที่พวกเราชาวพุทธต้องตระหนักให้มากว่า ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนมีคุณค่ายิ่งนัก จงอย่าปล่อยให้ลมหายใจดับสลายไปก่อน โดยที่ไม่มีโอกาสได้ ปฏิบัติธรรม รู้ธรรม และเห็นธรรมใด ๆ เลย