พระทุศีล vs พระบิดเบือนพระธรรมวินัย
.
เราว่า พระทุศีลยังเลวน้อยกว่าพระที่บิดเบือนพระธรรมวินัย เพราะพระทุศีล อย่างมากก็ทำร้ายตัวเองให้ขาดจากความเป็นพระเท่านั้น ไม่ได้ทำลายพระพุทธศาสนา
.
แต่พระที่บิดเบือนพระธรรมวินัยนั้น ทั้งทำร้ายตัวเองด้วย และบ่อนทำลายพระธรรมวินัยซึ่งเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาให้วิปลาสคลาดเคลื่อนไปด้วย เป็นเหตุทำให้ชาวพุทธเกิดความเข้าใจผิด หลงผิด ปฏิบัติผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า นี้! จึงเป็นกรรมหนักหนาสาหัสสากรรจ์เลยทีเดียว
.
เราไม่เคยคิดรังเกียจคำบริกรรม “พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ” เลยสักนิด เพราะเป็นคำพูดที่โบราณาจารย์เคยสอนสืบ ๆ กันมา ให้ใช้ระลึกในเวลากราบไหว้พระพุทธรูป
.
กราบครั้งที่ ๑ ให้ระลึกว่า พุทโธ เมนาโถ กราบครั้งที่ ๒ ให้ระลึกว่า ธัมโม เมนาโถ กราบครั้งที่ ๓ ให้ระลึกว่า สังโฆ เมนาโถ
.
ซึ่งไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอันใด แต่พิษภัยมันอยู่ที่ผู้เอาไปใช้สอนให้คนหลงผิดต่างหาก แต่ชาวพุทธเรา ส่วนใหญ่ชอบที่จะระลึกเพียง พุทโธ กราบครั้งที่ ๑, ธัมโม กราบครั้งที่ ๒, สังโฆ กราบครั้งที่ ๓ โดยไม่ต้องว่า “เมนาโถ” เพราะนิสัยคนไทยชอบพูดอะไร สั้น ๆ อยู่แล้ว
.
อีกอย่างหนึ่ง การบริกรรม “พุทโธ” มีคุณลักษณะพิเศษกว่าอย่างอื่น คือ พุทโธ เป็นพระรัตนตรัยด้วย เป็นพระคุณนามของพระพุทธเจ้าด้วย เป็นคำบริกรรมทำให้จิตสงบได้ด้วย
.
แท้จริง คำว่า พุทโธ ตัวเดียวนี้ ก็หมายรวมเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าไว้ด้วยกัน เพราะ พุทโธ ย่อมอุบัติขึ้นในพระพุทธเจ้าก่อน
.
พระจิตที่บริสุทธิ์นั้น คือ พุทโธปรากฏ
ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ คือ ธัมโมปรากฏ
และทรงสำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ สังโฆปรากฏ
.
ทั้ง ๓ นี้ ได้อุบัติขึ้นแล้ว ในวันวิสาขบูชา เพียงแต่ยังไม่ปรากฏให้โลกได้รู้เห็นเท่านั้นเอง
.
เมื่อท้าวมหาพรหมมาอาราธนาธรรม จึงเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ และทรงแสดงปฐมเทศนาในวันอาสาฬหบูชาจึงมี ธัมโม ปรากฏขึ้นเป็นแสงสว่างแก่โลก
.
เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุพระโสดาบัน จึงมี สังโฆ ปรากฏขึ้น เป็นสักขีพยานให้โลกได้รับรู้การตรัสรู้อริยสัจ ๔ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
.
พุทโธ จึงเป็นพระคุณนามของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธคุณ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
.
พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ หมายถึง พระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ โดยไม่มีใครเป็นครูอาจารย์สั่งสอน
.
พุทโธ แปลว่า ผู้ตื่น หมายถึง พระบริสุทธิคุณ ทรงตื่นจากกิเลสทั้งปวง เป็นพระอรหันต์ผู้ไกลจากกิเลส
.
พุทโธ แปลว่า ผู้เบิกบาน หมายถึง พระมหากรุณาคุณ ที่ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ให้ออกจากทุกข์ได้ ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ๕ ประการ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ จนวาระสุดท้ายก่อนปรินิพพาน สมดังที่พระองค์ได้ตั้งความปรารถนาที่จะช่วยรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์มาตลอดกาลยาวนาน ๒๐ อสงไขยกำไรเศษแสนมหากัปป์
.
ดังนั้น เมื่อระลึกว่า พุทโธ ก็มี ธัมโม สังโฆ อยู่ด้วยกัน คือ ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส เป็นธรรมธาตุ อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก คือ นิพพาน หนึ่ง นั่นเอง
.
เพราะเหตุนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่เปรียบเหมือนบิดาแห่งวงศ์พระกรรมฐานไทย จนถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน จึงเน้นสอนศิษย์ให้ภาวนา พุทโธ ๆๆ อย่างเดียวนี้ เท่านั้น เพราะ พุทโธ ตัวเดียวนี้ มีนัยอันละเอียดลึกซึ้งคัมภีรภาพมาก ควรค่าแก่การศึกษาปฏิบัติให้เข้าใจรู้แจ้งแทงตลอดอย่างถ่องแท้ทีเดียว
.
แต่มันน่าประหลาดใจตรงที่ คนที่ไม่กราบไหว้พระพุทธรูป ไม่เคารพรูปเหมือนของพระพุทธเจ้า กลับมาสอนชาวพุทธให้ระลึกว่า พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ ที่แปลว่า พระพุทธ เป็นที่พึ่งของเรา, พระธรรม เป็นที่พึ่งของเรา, พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา นี่สิ! มันดูพิลึกพิลั่นชอบกล จะเป็นที่พึ่งได้อย่างไร ในเมื่อตนเองไม่เคารพแม้รูปเหมือนที่สมมติแทนองค์พระศาสดา
.
การที่บุคคลใดจะระลึกว่า พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ ด้วยใจหรือด้วยวาจา ก็มิได้หมายความว่า ผู้นั้นจะถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง
.
บุคคลนั้นยังต้องมีใจเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างฝังแน่น และยังต้องมีข้อวัตรปฏิบัติที่สัมปยุตด้วยศีล สมาธิ ปัญญา อย่างหนักแน่นมั่นคงอีกด้วย จึงจะถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งได้ มิใช่แค่จินตนาการนึกคิดเอาเอง
.
ผู้มีศรัทธาเห็นปานนั้น ย่อมไม่รังเกียจในการกราบไหว้พระพุทธรูปที่สมมุติให้เป็นรูปเหมือนแทนองค์พระศาสดาอย่างแน่นอน เว้นไว้แต่เป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนากลับชาติมาเกิด อันนี้ก็สุดวิสัย
.
พระพุทธรูป จัดเป็นอุทเทสิกเจดีย์ รวมทั้งสิ่งของต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องใช้ไม้สอย จัดเป็นบริโภคเจดีย์ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงเจดีย์ ๔ ประเภท ไว้ด้วย ยังมี ธรรมเจดีย์ เจดีย์บรรจุพระธรรมคัมภีร์ต่าง ๆ ธาตุเจดีย์ เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
.
เพราะการกราบไหว้พระพุทธรูปด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ถือเป็นการแสดงความเคารพในองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า กับทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ พร้อมกับระลึกว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ภายในใจ จะมี เมนาโถ หรือไม่มี ก็ไม่เป็นปัญหา เป็นการแสดงความเคารพในพระรัตนตรัย ด้วยกาย วาจา ใจ อันเป็นบาทฐานเบื้องต้นที่จะชักนำดวงจิตให้เข้าถีงพระไตรสรณคมน์ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้
.
ผู้ที่ไม่กราบไหว้พระพุทธรูป ก็เหมือนไม่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะนี่คือ รูปเหมือนที่สมมติเป็นองค์แทนพระบรมศาสดา ที่พุทธศาสนิกชนต่างยอมรับ จะไปเถรตรงถือเอาแต่พระธรรมวินัยที่เป็นนามธรรมเป็นองค์แทนพระบรมศาสดาเพียงอย่างเดียว โดยไม่เอารูปธรรมของพระพุทธองค์เลย ที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ จิตใจก็คับแคบเกินไป
.
ผู้มีทิฏฐิดื้อรั้นเห็นปานนี้ ไฉนจึงจะไปสอนคนให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่า เป็นที่พึ่ง ด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ ได้อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ดูประหลาดมาก และย้อนแย้งกันในตัวเอง เหมือนเล่นปาหี่หลอกคน เพราะใจคิดอย่างหนึ่ง การกระทำกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง กายกับใจมันไม่ตรงกัน ธรรมท่านสอนว่า บุคคลเช่นนี้ ไม่ควรคบเลย
.
ใคร ๆ ก็รู้ว่า การกราบไหว้พระพุทธรูปนั้น ชาวพุทธกราบไหว้เพื่อแสดงความเคารพ และระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ไม่มีใครไปกราบอิฐ กราบปูน กราบทองเหลือง กราบทองแดง
.
แม้ใครจะมองว่า เป็นการยึดติดพระพุทธรูปก็ตาม ก็เป็นเครื่องระลึกเพื่อเตือนสติให้ละชั่ว ทำดี ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะผู้ที่มีคุณธรรมยังไม่ถึงพระอนาคามี ก็ยังละกามราคะไม่ได้ ยังคงยึดติดในรูปสวย ๆ งาม ๆ อยู่เป็นธรรมดา
.
จึงไม่ควรมาสอนว่า ไม่ต้องยึดติดพระพุทธรูป ไม่ต้องยึดติดรูปเหมือน รูปเคารพ ไม่ยึดติดครูบาอาจารย์ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตยังมีคุณธรรมไม่สูงพอ กิเลสมันพาให้ยึดเอง ธรรมท่านจึงสอน เมื่อจะยึดก็ให้ยึดความดีไว้ก่อน จะได้ไม่ไปยึดชั่ว ทำชั่ว เมื่อจิตมีคุณธรรมสูงมากพอ จิตมันก็รู้ จิตมันปล่อยของมันเอง ไม่ยึดติดแม้กระทั่งความดี ไม่ยึดติดบุญ ติดบาป
.
สิ่งที่ควรสอนให้ไม่ยึดถือคือ อย่าไปยึดติดผัว ติดเมีย ติดลูก ติดทรัพย์สมบัติ ติดข้าวของเงินทอง ติดรถหรู ติดบ้านหรู ติดแบรนด์เนม ติดสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ที่มันอันตรายยิ่งกว่ายึดติดพระพุทธรูป เพราะจะเป็นเหตุให้คนทำผิดศีลผิดธรรม ทำทุจริตคดโกง ตายแล้วก็จะไปอบาย
.
ทำไมจึงสอนพิลึกพิลั่น ทางหนึ่งก็สอนให้ทำลายจารีตประเพณี ไม่ต้องกราบไหว้พระพุทธรูปที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ทำลายศาสนพิธีต่าง ๆ
.
อีกทางหนึ่งก็ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการบิดเบือนให้ผิดเพี้ยนไป จะโดยเจตนา หรือหลงผิดด้วยไม่รู้ก็ตาม ล้วนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา อย่างร้ายแรงทั้งสิ้น
.
การระลึกว่า พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ เป็นคำบริกรรมใช้เตือนสติตัวเองให้ระลึกถีงพระรัตนตรัยได้ ถือเป็นอารมณ์จิตที่ดี เป็นกุศลจิต ไม่ได้ผิดอะไร ใช้เป็นคำบริกรรมทำให้จิตสงบได้ เพียงแต่คำบริกรรมนั้น ไม่ใช่พระรัตนตรัย ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน ส่วนจะบอกว่า เป็นแนวทางปฏิบัติที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาใหม่ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป
.
การที่บอกว่า คำบริกรรม พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ สามารถเชื่อมต่อจิตให้เข้าถึงกระแสธรรมแท้ที่มีอยู่ในธรรมชาติได้ จะระลึกว่า “พุทโธ” ก็สู้ไม่ได้ จะระลึกว่า “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ” ก็สู้ไม่ได้ ตนเองได้ทดลองทำมาหมดแล้ว ต้องระลึกว่า พุทโธ เมนาโถ ฯ ตามแนวทางปฏิบัติที่ตนเองคิดค้นขึ้นมานี้เท่านั้น จึงจะเข้าถึงกระแสธรรมได้ นี่! ก็ไม่รู้ว่า จะอวดรู้อวดฉลาดเก่งเกินไปไหม
.
การที่พยายามบอกว่า “พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ” คือการระลึกถึงพระรัตนตรัย ซึ่งทำให้ชาวพุทธเกิดความเข้าใจสับสนว่า การระลึกถึงพระรัตนตรัย ไม่ใช่ระลึกว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” หรอกหรือ? เพราะพระรัตนตรัย คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แปลว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นเอง
.
ถ้าไม่อยากสืบทอดของเก่า ก็อย่าได้คิดทำลาย อย่าพยายามทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไปจากเดิม ควรรักษาไว้เพื่อส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าจะระลึกถึงพระรัตนตรัย ก็ต้องระลึกว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” เท่านั้น นี่! คือ เนื้อแท้ของพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ต้องต่อเติมอะไรเข้าไป
.
ถ้าต่อเติม “เมนาโถ” เข้าไป อันนี้ไม่ใช่พระรัตนตรัย แต่เป็นคำบริกรรม พูดบอกกับตัวเองว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา แปลตามศัพท์ก็แปลอย่างนี้ ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกัน
.
แต่คนพวกนี้ก็แปลต่อเติมเข้าไปอีกให้มันแตกต่างเพื่อสร้างปมเด่นให้กับตัวเองอีกว่า “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า” ตามศัพท์ไม่มีคำว่า “อันประเสริฐ” นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการที่จะแปลตามใจฉัน โดยไม่ยึดหลักภาษาบาลี อย่างนี้ ยิ่งอันตราย!!
.
อันที่จริง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของประเสริฐเลอเลิศในตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปสมมติต่อเติมอะไรเข้าไปก็ประเสริฐอยู่วันยังค่ำ แต่คนพวกนี้ชอบทำให้เกิดความแตกต่าง ถ้าทำอะไรให้เหมือนของเดิม การที่จะบอกว่า เป็นแนวทางปฏิบัติของตัวเอง ก็ดูจะไม่ขลังนัก
.
จึงต้องสร้างเอกลักษณ์ใหม่ ให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยว่า ”พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ“ เพื่อยกย่องให้เป็นแนวทางปฏิบัติของตัวเองให้เป็นภาพลักษณ์ใหม่ ซึ่งที่จริง คำนี้เป็นคำบริกรรมชักนำจิตให้สงบได้ จัดเป็นสมถกรรมฐาน เรียก พุทธานุสสติ ธรรมมานุสสติ สังฆานุสสติ ก็เป็นอารมณ์จิตที่ดี แต่ไม่ใช่ พระรัตนตรัย มันต่างบริบทกัน ทำหน้าที่คนละอย่างกัน ต้องพูดกันให้ชัด ๆ
.
ชาวพุทธต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง อย่าหลงเข้าใจผิดคิดว่า การบริกรรม “พุทโธ เมนาโถ, ธัมโม เมนาโถ, สังโฆ เมนาโถ” คือ การระลึกถึงพระรัตนตรัย ไม่ใช่อย่างนั้น
.
ถ้าจะระลึกถึงพระรัตนตรัยให้ระลึกว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” ตามที่โบราณาจารย์สอนสืบ ๆ กันมา อย่างนี้ ถือว่าถูกต้องแล้ว แต่ถ้าจะบริกรรมให้จิตสงบ จะใช้ พุทโธ เมนาโถ ก็ใช้ได้ หรือจะใช้เพื่อเตือนตัวเองว่า พระพุทธเป็นที่พึ่งของเรา ถ้าชอบใจก็ใช้ได้ ไม่ผิดกติกาอะไร
.
เรื่องที่คนพวกนี้สอนให้คนหลงผิด ยังมีอีกมากมายก่ายกอง จนจาระไนไม่หวาดไม่ไหว เอาแค่คร่าว ๆ เท่าที่เคยได้ยิน อาทิ เช่น
.
ไม่กราบไหว้พระพุทธรูป ไม่ให้มีบัญชีธนาคารเงินของวัด ไม่ให้มีบัญชีธนาคารเงินส่วนตัว ไม่สวดมนต์เป็นภาษาบาลี ต้องประกาศพระปริตรเป็นภาษาไทย ไม่ต้องรักษาศีลก็ทำสมาธิได้ ไม่ต้องนั่งสมาธิตามแบบ นั่งแบบไหนก็ได้ ไม่ต้องเดินจงกรมตามแบบ จะเดินจงกรมเอามือไพล่หลัง ไกวแขน กอดอก ทำยังไงก็ได้ตามใจชอบ
.
ไม่เอาข้อวัตรปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบพาดำเนิน เรียกว่า ไม่เดินตามครู แต่จะถึงขั้น เป็นศิษย์คิดล้างครูหรือไม่ ก็ดูกันไป
.
ไม่เอาจารีตประเพณี ไม่ต้องมีศาสนพิธี ไม่ต้องกรวดน้ำอุทิศบุญกุศล ให้อุทิศด้วยใจ สอนอริยสัจสี่โดยไม่ต้องทำความเพียรสู้ทุกข์ ไม่กำหนดรู้ทุกข์ของจริงที่มีอยู่ภายในกาย ไม่ต้องดับสมุทัย ไม่ต้องฆ่ากิเลส ให้มีสติรู้ทันก็พอ เพราะกิเลสมันเกิดเอง เดี๋ยวมันก็ดับของมันเอง ไม่ต้องอดนอน ผ่อนอาหาร อดอาหาร ให้ลำบากเปล่า สอนให้ทักอารมณ์ เปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อย ๆ คำสัตย์มีไว้อวดเล่นโก้ ๆ ตระบัดสัตย์เพื่อสมณศักดิ์ได้ไม่เป็นไร
.
ที่จริงเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ถ้ามีบุญวาสนาก็เป็นของมาเอง ไม่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนให้ใครมาผลักดัน หรือทำตัวเป็นขี้ข้าของใคร ถึงเวลาก็ได้มาเองด้วยความดีงาม อย่างนี้จึงเป็นธรรม ถ้าอยากได้ ก็รับได้
.
แต่ถ้าไม่อยากรับ ก็อย่าไปตั้งสัจจะหลอกเขา ก็อยู่เงียบ ๆ ไป ไม่ต้องเขียนใส่หน้าผากบอกใคร เวลาเขาจะให้ถึงค่อยปฏิเสธ ก็แค่ไม่ทำประวัติส่งไปก็เท่านั้นเอง เขาก็ไม่ได้บังคับสักนิด
.
พระไม่มียศ ไม่มีสมณศักดิ์ มันก็ไม่ถึงกับจะลงแดงตายหรอก แต่ถ้าพระตระบัดสัตย์นี่ ไม่ว่าจะเพื่ออะไร ก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะคนที่โกหกได้ทั้ง ๆ ที่รู้ จะไม่ทำความชั่วอื่น เป็นไม่มี
.
ที่สำคัญ คือ การเอาคำสอนผิด ๆ ไปเกี่ยวข้องกับเบื้องสูง อันนี้ อันตราย!! ไม่รู้จักประมาณตน อย่าหลงระเริงว่า ตัวเก่งตัวรู้ตัวฉลาด มันจะนำความฉิบหายมาให้ในภายหลัง ถ้าหวังมรรคผลนิพพานจริงแท้ จงตั้งใจทำความเพียรชำระจิตให้สงบ สำรอกปอกกิเลสออกจากใจให้ได้ นั่นแหละ ดีกว่า
.
ดูอดีตพระค_ เป็นตัวอย่าง ขึ้นได้ก็ลงได้ ตั้งได้ก็ปลดได้ ถ้าไม่อยากฉิบหาย จงรู้ประมาณฐานะของตนเอง ตั้งใจภาวนาอยู่อย่างสงบไปเถอะ! อย่าทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง จนเกินบุญวาสนาของตัวเอง ขึ้นสูงนักมักโดดเดี่ยว และต้านกระแสลมแรง ถ้าตกลงมามันจะเจ็บปางตาย
.
ธรรมท่านสอนว่า “สันตุษฐี ปะระมัง ธะนัง” แปลความว่า “ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจ แล้วนำมาปฎิบัติให้ได้ จะดีกว่าที่จะมาสร้างความแตกแยกในสังคม ด้วยการสอนธรรมแหวกแนว แหวกจารีตประเพณี เดี๋ยวจะแพ้ภัยตัวเอง
.
อะไรที่ผิด มันก็ผิดอยู่วันยังค่ำ ต่อให้ใจเราคิดว่าถูก ก็ไม่อาจไปทำให้สิ่งที่ผิด มันกลายเป็นถูกได้ มีแต่จะทำให้ใจเราหลงผิดหนักยิ่งขึ้นไปอีก นั้น แน่นอนนัก
.
ชื่อว่า ไฟมันย่อมร้อนอยู่ตามธรรมชาติของมัน ต่อให้ใจเราคิดว่า ไฟมันเย็น ก็หาได้ทำให้ไฟมันเย็นตามที่เราคิดไม่ ไฟมันก็ยังคงร้อนอยู่เหมือนเดิม ใครเอามือไปจับ มันก็ไหม้ลวกมือเท่านั้นเอง ฉันใดก็ฉันนั้น
.
ไม่เฉลียวใจคิดบ้างเลยหรือว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่ นักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านพาดำเนินมาอย่างไร ตัวเราสอนแหวกแนวผิดไปจากปฏิทาของนักปราชญ์ ไม่เกรงว่า จะถูกกิเลสมันหลอกต้มเอาบ้างหรือ อย่าเอาแต่คิดปรามาสว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายสอนผิด เดี๋ยวความฉิบหายจะมาเยือน
.
เมื่อถึงที่สุดที่กรรมจะให้ผล ก็มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวดทรมาน โลกนี้ใครจะหวังเอาอะไรไปไม่ได้เลย การสอนธรรมผิด คือการทำร้ายตัวเองที่สาหัสสากรรจ์ยิ่งนัก ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ฝึกตนเองดีแล้ว จึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่า ทำตามพระพุทธเจ้า นักปราชญ์ทั้งหลายท่านพาดำเนินมาอย่างนี้
.
คนอื่นใครจะโง่ ก็ช่างเขาเถอะ! ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับเขา แต่ถ้าตัวเราโง่ ไปสอนเขาผิด ๆ ตัวเรานั่นแล จะฉิบหายไปอบาย
.
ขอให้ชาวพุทธจงใช้สติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญให้เข้าใจโดยถ่องแท้ อย่าเชื่อใครง่าย ๆ ดังโบราณว่าไว้ อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง ย่อมเป็นจริงเสมอ
.
บทความนี้ เราไม่มีเจตนาจะให้ร้ายใคร เพียงชี้แจงความจริงให้สังคมรับทราบ ไปตามกำลังสติปัญญา เราอาจหลงผิดก็ได้ ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเรา ควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน และรับเอาไปแต่สิ่งที่ดี สิ่งใดไม่ดีให้ทิ้งไว้ที่ตรงนี้ เอวัง ฯ
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๘
.