วิสาขบูชารำลึก ๓ มิถุนายน ๒๕๖๖
.
วันนี้ เป็นวันวิสาขบูชา ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ ปักข์ถ้วน เป็นวันพระใหญ่ มีสวดปาติโมกข์ นับเป็นอุโบสถที่ ๖ ผ่านไปแล้ว ๕ อุโบสถ ยังเหลืออีก ๒ อุโบสถ ก็จะสิ้นสุดฤดูร้อนคิมหันตฤดู เพื่อเป็นการน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ก็จักหยิบยกเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ มาบรรยายให้ท่านทั้งหลายได้สดับ พอเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ ให้เกิดความอาจหาญ ให้ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติ อันเป็นหนทางนำออกจากทุกข์ได้ต่อไป
.
พระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ย่อมมีเป็นอเนกอนันต์สุดจะประมาณได้ แม้หากพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว จักนั่งพรรณนาพระพุทธคุณไปจนถึงวันปรินิพพาน พระพุทธคุณนั้น ก็ยังมิอาจพรรณนาให้จบสิ้นได้ เห็นทีพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปเสียก่อนเป็นแน่แท้
.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จำเดิมแต่เมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้านั้น กว่าจะสร้างบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมไพบูลย์ได้ ท่านอุปมาไว้ดังนี้ :-
.
“หากมีบุรุษใดที่จักอาจกล้าหาญเหยียบย่ำลงไปบนแผ่นดินที่ปูลาดด้วยถ่านเผาไฟแดง ๆ ด้วยเท้าอันเปล่าเปลือย เป็นระยะทางอันสุดแสนไกลที่บั้นปลายไม่ปรากฏ ด้วยดวงจิตอันเด็ดเดี่ยวหนักแน่น ไม่ย่อท้อต่อความทุกข์ยากลำบาก ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อความตาย แม้จะตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ภพกี่ชาติ จนแม้กระดูกจะกองเท่าภูเขา ก็จะขอเดินเหยียบย่ำลงไปบนถ่านเผาไฟแดง ๆ อย่างนี้ ด้วยใจที่ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ผู้เช่นนั้นแล!! จึงจักสามารถสร้างบารมีปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าได้สำเร็จ"
.
ยกพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะเป็นเหตุ กาลอันเป็นส่วนมโนปณิธาน เพียงลำพังแค่คิดอยู่ภายในใจ ว่า "ขอปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้าโน้น" ทำความปรารถนาไว้ในใจเช่นนี้ ก็ยังต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร อยู่ถึง ๗ อสงไขยกัปป์ (กัปป์นับไม่ได้ ๗ ครั้ง) เพื่อสร้างบารมีชั้นต้นให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์
.
จากนั้น เข้าสู่กาลอันเป็นส่วนวจีปณิธาน เปล่งวาจา ว่า "จะขอเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้า" แล้วท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดไปอีก ๙ อสงไขยกัปป์ เพื่อสร้างบารมีชั้นกลางให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ถ้ายังไม่ท้อถอยความเพียร หรือลาพุทธภูมิไปเสียก่อน ก็จักได้รับพุทธพยากรณ์ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
.
เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จักมีบารมีแก่กล้าเข้าสู่ขั้นปรมัตถบารมี อันเป็นบารมีขั้นอุกฤษฏ์ เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องทำความเพียรต่อสู้กับกิเลสอย่างอุกฤษฎ์ คือ ยอมสละบุตร ภรรยา แม้เลือด เนื้อ และ ชีวิต เพื่อทำความปรารถนาพระโพธิญาณอย่างเดียวเท่านั้น แม้กระนั้นแล้ว ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างสมพระบารมีท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสารอีก ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปป์ บารมีจึงเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
.
รวมเบ็ดเสร็จพระปัญญาธิกะ ต้องสร้างบารมีทั้งสิ้น ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปป์ พระศรัทธาธิกะ ต้องสร้างบารมีทั้งสิ้น ๔๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปป์ และ พระวิริยาธิกะ ต้องสร้างบารมีทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปป์ นับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกินกว่าที่แต่ละพระองค์จะทรงสร้างบารมีสำเร็จจนเต็มเปี่ยม
.
ควรที่จะมาอุบัติตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาเอกของโลก มาประกาศธรรมสอนโลก ให้พวกเราท่านทั้งหลายได้สดับพระธรรมเทศนา อันเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นทางสายกลางประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ ที่ย่นย่อลงแล้วก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
.
พวกเราที่เป็นภูมิสาวก เพียงสร้างบารมีแค่เศษเสี้ยวของพระพุทธองค์ คือ หนึ่งแสนมหากัปป์เท่านั้น ก็สามารถบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันตสาวกเข้าสู่พระนิพพานได้แล้ว แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เพราะการที่พระองค์ ทรงทำความปรารถนาจะรื้อขนสัตว์ให้ก้าวพ้นจากทุกข์ไปด้วยกัน พระองค์ต้องยอมอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเพื่อสร้างสมพระบารมีให้เต็มเปี่ยม ต้องทนทุกข์ทรมานในการเวียนว่ายตายเกิดไปอีก ๒๐ อสงไขยกัปป์ มากกว่าพวกเราอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
.
แล้วจะมีผู้ใดใครเล่า จะสามารถพรรณนาคุณงามความดีของพระองค์ที่เรียกว่า พุทธคุณ ที่ทรงบำเพ็ญเพียรมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ๒๐ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัปป์นั้น มาตีแผ่ให้พวกเราได้เรียนรู้จนหมดสิ้นได้ทุกอย่างในระยะเวลาเพียงชั่วอายุคนคือ อย่างมากไม่เกิน ๑๒๐ ปี แม้พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาอุบัติตรัสรู้ต่อ ๆ กันไป แล้วนั่งพรรณนาพระพุทธคุณไปเรื่อย ๆ ก็ยังพรรณนาพุทธคุณได้ไม่จบไม่สิ้น ด้วยเหตุสุดวิสัยว่า อายุขัยจักพลันหมดสิ้นลงไปเสียก่อนนั่นเอง
.
ดังนั้น ในวาระอันเป็นมหามงคลที่วันวิสาขบูชาเวียนมาบรรจบครบอีกครั้งในปีนี้ จึงควรที่พวกเราชาวพุทธ จักได้น้อมรำลึกนึกถึง พระคุณอันประเสริฐ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ด้วยการน้อมนำเอาพระธรรมคำสอนมาประพฤติปฏิบัติ ดัดแปลงกาย วาจา ใจ ของตน ให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ในองค์อริยมรรคทั้ง ๘ ให้ได้ ด้วยการเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ถวายเป็นปฏิบัติบูชาตามควรแก่กำลังความสามารถของตน
.
ก็วันวิสาขบูชา นี้ เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ผู้ทรงเป็นพระมหาบุรุษสุดประเสริฐ ผู้ดำรงในพระคุณอันล้ำเลิศ ๓ ประการ มีพระปัญญาคุณอันล้ำเลิศ พระบริสุทธิคุณอันหมดจดงดงาม พระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาล
.
เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ก็มิได้ทรงประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ตามลำพังพระองค์เอง อาศัยความกรุณาเอ็นดูในหมู่สัตว์ ทรงเสด็จจาริกไปในคามนิคมน้อยใหญ่ เพื่อทรงแสดงธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ได้ฟังธรรมและปฏิบัติตาม ทั้งไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง และไพเราะในบั้นปลาย เป็นเหตุให้พวกเราได้มีข้อปฏิบัติดำเนินไปตาม ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ก็จะสามารถละความเห็นผิดอันเป็นโทษทุจริต ให้สถิตตั้งมั่นในความเห็นชอบ อันเป็นคุณความดีงามที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ได้
.
วันวิสาขบูชา จึงถือเป็นวันสำคัญอันยิ่งใหญ่ของโลก ไม่มีวันสำคัญอื่นใดจะยิ่งไปกว่า เพราะวันวิสาขบูชา เป็นวันเดียวที่รวมเอาเหตุการณ์สำคัญของโลกไว้ถึงสามประการ อันยากยิ่งที่จะอุบัติบังเกิดกับมนุษย์ปุถุชนคนใดในโลก กล่าวคือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น และเป็นการประสานรวมธรรมขั้นสุดยอด ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พระพรรษา สรุปรวมลงในพระไตรลักษณ์ คือ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" อันเป็นธรรมาวุธที่ใช้ปราบกิเลสให้หมดสิ้นจากใจได้อย่างหมดจดงดงาม
.
โดยมีนัยดังนี้ คือ สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดปรากฏเป็นเบื้องต้น นับแต่การประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะเป็นต้นไป สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์คือ มีความเสื่อมสิ้นพิบัติแปรปรวนไปเป็นธรรมดาในท่ามกลางคือ นับจากวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๔๕ พระพรรษา ที่ทรงประกาศธรรมสอนโลก และจบลงด้วย สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาคือ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ด้วยการที่พระพุทธองค์ทรงดับกิเลสภายในพระหฤทัยได้อย่างสิ้นเชิงเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน และดับขันธปรินิพพาน ณ กรุงกุสินารา เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ได้แสดงให้เห็นถึงความที่สังขาร และวิสังขาร ทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใดเลย มีอันต้องแตกสลายดับไปในที่สุด แม้สรีระสังขารของพระองค์เอง ก็ไม่ปรากฏว่าจะอยู่นอกเหนือจากธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วนี้ได้
.
ดังนั้น วันวิสาขบูชา นี้ จึงเป็นเหมือนการประมวลธรรมทั้งปวงที่พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมสั่งสอนไวไนยสัตว์ ให้เป็นนิมิตหมายแสดงให้เห็นถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของทุกสรรพสัตว์ ไม่มียกเว้นแม้กระทั่งพระองค์เอง ที่ได้ประสูติในเบื้องต้น ตรัสรู้ในท่ามกลาง และปรินิพพานในบั้นปลาย ทั้งสามวาระมาปรากฏรวมอยู่ในวันวิสาขบูชา วันเดียวนี้ นับเป็นกาลอัศจรรย์ที่จักมีปรากฏในสามโลกธาตุเพียงครั้งเดียวเมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสรู้เท่านั้น
.
ก็ไตรลักษณ์อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ ย่อมถือเป็นธรรมชั้นสูงสุดที่บุคคลใดหากบังเกิดดวงตาเห็นธรรม ผู้นั้นต้องเห็นไตรลักษณ์ จึงสามารถบรรลุธรรมก้าวข้ามโคตรแห่งปุถุชนกลายเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ผู้ใดเห็นไตรลักษณ์ ผู้นั้น ก็ต้องได้เห็นพระนิพพาน อย่างไม่มีวันจะผันแปรเป็นอื่น มีคำถามสอดเข้ามาว่า แล้วทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงต้องมาประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเดียวกันนี้ด้วยเล่า เป็นเพราะเหตุดังฤา?
.
คำตอบก็คือ ก็ด้วยพระพุทธบารมีอันยิ่งใหญ่ ที่ทรงบำเพ็ญมาแล้วอย่างเต็มเปี่ยมไพบูลย์ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัปป์นั่นแล จึงบันดาลให้เกิดปรากฎการณ์ อันเป็นคุณลักษณะเฉพาะของท่านผู้เป็นมหาบุรุษสุดประเสริฐ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้ เท่านั้น หาได้ปรากฏเป็นสาธารณะ แก่สัตว์อื่น บุคคลอื่นใดไม่ ตลอดทั่วแดนไตรโลกธาตุ
.
วันวิสาขบูชา นี้ จึงเป็นนิมิตหมายแห่งธรรมทั้งปวง ที่พระพุทธองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอด ๔๕ พระพรรษา ว่า "สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา" ทรงอาศัยพระพุทธสรีระนี้ เป็นเครื่องยืนยันอย่างหนักแน่น ในธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้น ว่า "แม้พระองค์เองจะทรงไว้ซึ่งบุญญาบารมีที่สั่งสมมาแล้วอย่างยาวนาน แม้จะมีพระพุทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่สักปานใด พระองค์ก็ไม่ได้รับการยกเว้น ให้อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์แห่งไตรลักษณ์ ที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วนี้ได้เลย" นั่นคือ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ต้องดับไปเท่านั้น ไม่มีเว้นแม้แต่พระสรีระของพระองค์เอง
.
เมื่อพระองค์ทรงประสูติ นั่นคือ กาลอันเป็นที่อุบัติขึ้นแห่งพระพุทธสรีระ เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ คือ กาลอันเป็นที่อุบัติแห่งพระตถาคตเจ้า พร้อมทั้งการดับสิ้นไปของกิเลสกองทุกข์ทั้งปวง ที่เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพพาน" และเมื่อพระองค์ทรงปรินิพพาน คือ กาลอันเป็นที่ดับไปของพระตถาคตเจ้า เป็นการดับทั้งรูปขันธ์ คือ พระพุทธสรีระ และการดับนามขันธ์ทั้งปวง อันได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นการดับอย่างไม่เหลือเชื้อ ที่เรียกว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" อันสามโลกธาตุต้องสะเทือนสะท้านหวั่นไหว ในพระพุทธคุณอันยิ่งใหญ่แห่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ที่ได้ทรงดับขันธปรินิพพานจากโลกสมมตินี้ไปเป็นตลอดอนันตกาล
.
ดังนั้น ในวาระที่วันวิสาขบูชาเวียนมาบรรจบครบ พวกเราชาวพุทธควรน้อมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญแห่งวันวิสาขบูชา นั้น อย่าได้ปล่อยให้วันวิสาขบูชาล่วงเลยผ่านไปเปล่า ๆ จงตั้งจิตสำรวมใจน้อมนำเอาธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานไว้แล้วแก่พวกเราคือ มัชฌิมาปฏิปทา อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ มาปฏิบัติขัดเกลากิเลสที่ฝังจมอยู่ภายในใจให้เบาบางลงจนถึงหมดไปอย่างสิ้นเชิง จงอย่าได้ทำให้พระพุทธองค์ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีลำบากพระวรกายไปเปล่า ๆ กว่าที่จะได้ตรัสรู้ธรรมและนำธรรมมาสั่งสอนพวกเรานั้นเป็นการยากนักหนา แต่กลับไม่มีผู้ใดนำธรรมอันล้ำเลิศที่พระองค์ทรงประทานไว้แล้วนั้น มาประพฤติปฏิบัติให้เกิดสติปัญญารู้แจ้งธรรมตามรอยเสด็จของพระพุทธองค์สู่แดนพระนิพพานได้เลย
.
ธรรมทั้งปวงนั้น แม้จะทรงคุณค่ามากมายสักเพียงไหนก็ตาม แต่หากไม่มีผู้ใดสนใจนำธรรมมาประพฤติปฏิบัติ ธรรมนั้นก็เป็นเสมือนดังไร้ค่า การที่จะมีโอกาสได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการยากนักหนา ควรที่จะถือเอาประโยชน์อันใดได้มากได้น้อยก็สมควรให้ได้ตามนิสัยวาสนาบารมีของตน อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นโมฆะบุรษสตรี เสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา แล้วถือเอาประโยชน์อันใดจากธรรมมิได้เลย ทั้ง ๆ ที่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็นธรรมอันล้ำเลิศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานไว้แล้วแก่พวกเราชาวพุทธทุกคน
.
ดังนั้น จึงควรที่พวกเราชาวพุทธต้องตระหนักให้มากว่า ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนมีคุณค่ายิ่งนัก จงอย่าปล่อยให้ลมหายใจดับสลายไปก่อน โดยที่ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม รู้ธรรม เห็นธรรมใด ๆ เลย
.
.