ReadyPlanet.com
dot

dot
dot
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
bullet สมัครสมาชิก
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
ชมคลิปวีดีโอน่าสนใจ
ยังไม่มีสมาชิกที่ล็อกอินในขณะนี้
bulletบุคคลทั่วไป 10 คน
dot
dot

dot


ฟัง F.M. 103.25 MHz.
ชมทีวีช่องหลวงตา
ฟังวิทยุออนไลน์ วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
ชมคลิปวีดีโอน่าสนใจ
ขอเชิญสมัครสมาชิกอุปถัมภ์สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
เข้าชม face book วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
เข้าชม twitter วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน


ปฏิบัติธรรมภาวนา ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบลระหว่าง 5-17 มีนาคม 67
 
5-17 มีนาคม 2567 ไปกราบนมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล และถ้ำอาชันต้า เอ็ลโลร่า 12 คืน 13 วัน พาคณะลูกศิษย์ไป 61 ชีวิต ไปปฏิบัติธรรมภาวนา ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา คงมีเรื่องอะไรดี ๆ มาเล่าให้ฟังเยอะ ใครสนใจก็คอยติดตาม เครื่องออกจากสุวรรณภูมิ 18.55 น.
 
Day-1
5 มี.ค.67 เวลา 18.55 น. เครื่องออกจากสุวรรณภูมิไปมุมไบใช้เวลาบินประมาณ 4 ชม.
 
เวลาของอินเดียช้ากว่าไทย 1.30 ชม. ถึงมุมไบเครื่องลงเวลาท้องถิ่น 22.00 น. รอต่อเครื่องอินดิโกไปออรังกาบัด เครื่องออกเวลา 05.30 น. ของวันที่ 6 กว่าจะผ่านด่าน ตม.ไปได้ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงสำหรับคณะทั้งหมด
.
สนามบินมุมไบก็แออัดยัดเยียดน่าจะพอ ๆ กับสุวรรณภูมิ แต่ของเขาตกแต่งภายในดูจะอลังการสวยงามกว่าของบ้านเรามากทีเดียว ร้านค้าตลอดทางเดินไปประตูขึ้นเครื่องก็ดูหรูดูแพง คนที่จะเข้าไปซื้อน่าจะต้องกระเป๋าหนักพอควร คืนนี้ก็นั่งพักกันที่ประตูขึ้นเครื่องรอเวลาเครื่องออก ก็มีทั้งคนนั่งรอ นอนรอ
.
เวลาคุยกับคนอินเดีย ถ้าเขาส่ายหน้าให้รู้ว่า นั่นคือการตอบรับ แต่ถ้าเขาพยักหน้า นั่นคือการปฏิเสธ ภาษากายจะไม่เหมือนของบ้านเรา ดังนั้น อย่าสับสน
Day-2
6 มีนาคม 2567 เมืองออรังกาบาด-ถ้ำเอลโลร่า-ป้อมดาลาตาบาด
.
ถ้ำเอลโลร่า อยู่ห่างเมืองออรังกาบาดไป 30 กม. รถวิ่งประมาณ 1 ชม. ถ้ำมี 3 ศาสนา คือ พุทธ ฮินดู เชน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2526 ตั้งอยู่ในเทือกเขาจรนันทรี ถูกสร้างในระหว่าง พ.ศ.1200-1500 โดยการเจาะเข้าไปในภูเขา คล้ายกลุ่มถ้ำอาชันต้า ภายในมีแกะสลักพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำมีความวิจิตรงดงามมาก แต่ถูกเผาทำลายเสียหายไปเยอะเหมือนกัน (ถ้ำจะปิดทุกวันอังคาร)
.
ถ้ำเอลโลร่ามีทั้งหมด 34 ถ้ำ เป็นของพุทธ 12 เป็นเทวาลัยของชาวฮินดู 17 ถ้ำ เป็นของลัทธิเชน 5 ถ้ำ บรรยายไม่ถูกให้ภาพถ่ายบรรยายแทนละกัน ในระหว่างทางผ่านป้อมดาลาตาบาด เป็นป้อมโบราณอยู่รอบภูเขาดัลคีรี เคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ยารวะ แต่ถูกกษัตริย์อลาอุดดินคัลจิ ชาวมุสลิมยึดได้ในปี 1839 ตกอยู่ภายใต้ปการปกครองของมุสลิมอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างไป ยังมีซากเสามัสยิด 106 ต้น มีป้อมปราการพระราชวังบนเสาอายุกว่า 700 ปี เรียกพระราชวังลอยฟ้า
.
แต่คณะเราไม่ได้ขึ้นไปชมหรอก เกรงว่าจะหมดเรี่ยวหมดแรงเสียก่อน เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนกันทั้งคืน ทำได้แค่นั่งพักรอเครื่องที่สนามบินมุมไบ พอถึงเมืองออรังกาบัดใช้เวลาบินเกือบช้่วโมง รับประทานอาหารเช้าทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินทางต่อเลย
.
จุดสุดท้ายไปนั่งภาวนากันที่ชั้น 3 ของถ้ำที่ 12 เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุด มีแกะสลักพระพุทธรูป 28 พระองค์ ซึ่งก็ถูกเผาทำลายไปเป็นส่วนใหญ่ ก็มองให้เป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย ถึงจะไม่มีการเผาทำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องแตกทำลายด้วยตัวเองอยู่แล้ว
.
คนที่ยังติดอยู่ในความเชื่อ ยังเข้าไม่ถึงความจริง ก็ต้องทำไปตามความเชื่อของตัวเอง ถ้าเชื่อถูกก็ทำถูก ถ้าเชื่อผิดก็ทำผิด ต่างต้องได้รับผลแห่งกรรมของตัวเอง จะเชื่ออย่างไรก็ตาม ถ้าทำดีก็ต้องได้รับผลดี ทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือไม่เชื่อของใคร เพราะความจริงย่อมเป็นความจริงอยู่ตลอดกาล
.
เราพาคณะนั่งภาวนา 30 นาที เทศน์ให้ฟังถึงหลักเบื้องต้นว่า เรามาไกลกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ไม่ใช่ของง่าย ตั้งใจจะมาปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า แล้วรู้ไหมว่า การปฏิบัติบูชาที่ถูกต้องทำอย่างไร ต้องวางจิตไว้แบบไหน มิใช่ดีแต่พูดว่า ปฏิบัติบูชา แต่การกระทำคำพูด กลับเป็นตรงกันข้าม ไม่ใช่อย่างนั้น
.
เทศน์ไม่นานเพื่อให้พอดีกับเวลา แต่ได้รายละเอียดครบถ้วนพอเหมาะพอดีกับสถานการณ์ตรงจุดนั้น มีพระอาจารย์สิทธิโชค ท่านกรุณามาเป็นพระวิทยากรให้ความรู้แก่คณะเกี่ยวกับถ้ำเอลโลร่า ถ้ำอาชันต้าด้วย ท่านมีความรู้แน่นมากทีเดียว ขอขอบคุณท่านไว้ ณ ที่นี้
Day-3
7 มีนาคม 2567 ถ้ำอาชันต้าอยู่ห่างจากเมืองออรังกาบาด
 
ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 110 กม. รถวิ่ง 2.30 ชม. (ถ้ำปิดทุกวันจันทร์) เป็นถ้ำที่เป็นประติมากรรมในพระพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนเทือกเขาอินทิยาทรี เมืองออรังกาบาด มีถ้ำทั้งหมด 30 ถ้ำ ถ้ำยุคแรก ๆ เป็นพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ยุคหลังเป็นของฝ่ายมหายาน
.
ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.350-1200 ค้นพบโดยจอห์น สมิธ ในปี พ.ศ.2362 และองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ.2527
.
เราเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ ปี 2559 มาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ปี 2567 ได้พระอาจารย์สิทธิโชค เป็นพระวิทยากรนำชมแต่ละถ้ำที่เป็นจุดสำคัญ ท่านบรรยายให้ความรู้แก่คณะได้ดีมาก ได้พาคณะนั่งภาวนา 30 นาที ถวายเป็นปฏิบัติบูชา เทศน์เน้นย้ำเรื่องของการทำจิตให้สงบที่จำเป็นต้องมีศีลเป็นพื้นฐานแห่งคุณธรรมเบื้องต้น ให้กำลังใจที่จะปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ได้อย่างไร
.
ถ้ำที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ คือ ถ้ำ 26 เป็นถ้ำใหญ่แกะสลักพระพุทธรูปเล่าเรื่องราวพุทธประวัติไว้พอสังเขป พาคณะเดินทำประทักษิณรอบพระพุทธรูป 3 รอบ พร้อมสวดอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน เป็นบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ถวายเป็นพุทธบูชา นั่งภาวนาที่นี่ได้ไม่นาน เพราะเป็นจุดสำคัญที่มีคนเข้าชมเรื่อย ๆ
.
มีภาพถ่ายที่มีลายเซ็นของ จอห์น สมิธ ผู้ค้นพบถ้ำแห่งนี้ด้วย ใครสนใจก็ดูในภาพที่ลงไว้ จะทยอยนำภาพมาลงเรื่อย ๆ
.
กราบนมัสการถ้ำสุดท้ายแล้ว ก็กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย ลาแล้วถ้ำอาชันต้า ถ้ามีบุญมีวาสนาค่อยมาใหม่ ทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอนอบน้อมถวายความเคารพอย่างไม่มีวันจืดจาง
.
จากนั้นก็เดินกลับลงมาขึ้นรถเดินทางกลับที่พักที่โรงแรม Fern Hotel คณะได้รวบรวมปัจจัยถวายพระอาจารย์สิทธิโชค เพื่อช่วยท่านซื้อที่ดินสร้างวัดที่หน้าถ้ำอาชันต้า 32,000 บาท จากนั้นก็ร่ำลากันไป
.
ถึงเวลาก็ต้องจากกัน มีบุญวาสนาร่วมกันจึงได้มาเจอกัน ถ้าไม่มีบุญวาสนาร่วมกัน ต่อให้เดินชนกันก็ไม่รู้จักกันหรอก ทุกอย่างในโลกเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ เมื่อหมดเหตุก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความจริงของทุกสิ่ง ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรให้เรายึดถือไว้ได้เลย
 
Day-4
8 มีนาคม 2567 ออกจากออรังกาบาดบินตรงไปนิวเดลี
 
เครื่องออก 8.00 น. ถึง นิวเดลี 9.45 น. ถึงเวลาต้องจากกัน ขอบคุณถ้ำอาชันต้า ถ้ำเอลโลร่า เมืองออรังกาบาด ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เราได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้ ที่ซึ่งมีความประทับใจอย่างไม่มีวันจืดจาง มีโอกาสค่อยมาใหม่
.
คณะรับประทานอาหารเช้าบนเครื่องบิน เราไม่ฉันบนเครื่องบิน ไปฉันเอาตอนเพลทีเดียวที่ภัตตาคารจีนจำชื่อร้านไม่ได้ จากนั้นทางทัวร์จะพาไปชมวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเดลี ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย เขาว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ พอไปถึงปรากฏว่า มีคนเข้าชมเยอะมากต้องต่อแถวยาวเหยียด รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะนักเกรงว่าจะเสียเวลามาก ก็เลยกลับออกมา ไม่มีแก่ใจที่จะเข้าชม จากเดลีออกเดินทางต่อไปที่เมืองอัครา ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง ก็เหนื่อยไปถึงก็เข้าที่พักเลย พักที่โรงแรม Retreat Hotel พรุ่งนี้จึงไปที่ทัชมาฮาล
 
Day-5
9 มีนาคม 2567 ทัชมาฮาล-อัคราฟอร์ท
.
ทัชมาฮาล ต้องนั่งรถกอล์ฟเข้าไป เขาบริการฟรี ต้องผ่านด่านสแกนหลายชั้น กว่าจะหลุดเข้าไปได้ คนเยอะมาก ปกติเราไม่ค่อยชอบที่มีคนแออัดอยู่แล้ว ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง อันนี้ไปตั้งแต่ตี 5.30 น. ต้องเอาผ้าครองไปด้วย มันยังไม่ได้อรุณ เขาบอกว่า ไปตอนเช้ามันได้บรรยากาศตอนพระอาทิตย์ขึ้น ก็เห็นแก่คณะที่ไปด้วย ก็ปล่อยตามใจ เพราะหลายคนไม่เคยมา
.
คนเยอะแบบนี้ เราไม่กล้าเอามือถือมาถ่ายรูปเอง  โยมว่าจ้างให้ช่างภาพแขกช่วยถ่ายให้ สื่อภาษากันไม่เข้าใจ คิดว่า 100 รูปี กลายเป็นรูปละ 100 รูปี เขาก็กดถ่ายไปเยอะละ พอมาคิดตังค์ เขานับจำนวนรูป เล่นไปหลายพันรูปี เห็นว่าโหดไป ลดก็ไม่ยอมลด สุดท้ายก็เลยให้ลบรูปทิ้งทั้งหมดเลย ใครไปก็ระวังด้วยละกัน ถ้าจะให้เขาถ่ายรูปให้
.
เราเดินดูแถวรอบนอก ไม่ได้เข้าไปข้างใน เคยเข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว สมัยนั้น ปี 38 คนไม่เยอะขนาดนี้ ก็มีโลงอยู่สองโลงวางคู่กัน แต่ตอนนี้ ถ้าจะเข้าไปข้างในต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ 200 บาท ต้องไปต่อคิวยาวเหยียด ก็ให้คณะเดินชมกันไปตามอัธยาศัย ใครจะถ่ายรูปก็ปล่อยให้ไปตามสบาย ใครไม่เคยมาเขาก็อยากได้รูปถ่ายเก็บไว้ ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับที่ถูกยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี่ ก็น่าจะทำรายได้ปีหนึ่งไม่ใช่น้อย
.
เราเดินหลบคนไปหาที่นั่งรอเวลาคณะพร้อมก็กลับออกมาไปที่ อัคราฟอร์ท ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน สมัยนี้เรียกป้อมปราการแดง สมัยก่อนเรียกพระราชวังแดง เราจะไม่พูดถึงประวัติของทั้งสองที่ ใครอยากรู้ก็ไปหาอ่านเอาเองในกูเกิ้ล
.
กว่าจะออกจากที่นี่ก็บ่ายมากล่ะ นั่งรถต่อไปพาราณสีระยะทางประมาณ 600 กว่า กม. ใช้เวลา 8-9 ชั่วโมง โชเฟอร์ขับรถใจเย็นมาก ก็แวะเข้าห้องน้ำกันเป็นจุด ๆ เพื่อลงไปเดินยืดเส้นยืดสายกันบ้าง กว่าจะเข้าถึงที่พักฟาดไปตี 2.00 น. พักที่ Pristine Hotel ตี 5.30 น. ทัวร์พาไปชมแม่น้ำคงคา ก็ปล่อยตามสบาย ใครอยากไปก็ไป ใครไม่ไปก็นอนต่อ เราขอไม่ไปล่ะ เหนื่อย!!
 
Day-6
10 มีนาคม 2567 ธัมเมกขสถูป-พิพิธภัณฑ์สารนาถ
.
ช่วงเช้าตี 5.30 น. คณะใครอยากไปล่องเรือในแม่น้ำคงคา ชมบ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำก็เอาตามอัธยาศัย เสร็จแล้วกลับมารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ฉันเช้าเสร็จก็ออกเดินทางไปธัมเมกขสถูปซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นเหตุให้พระอัญญาโกญธัญญะมีดวงตาเห็นธรรมบรรลุพระโสดาบัน พร้อมกับพระรัตนตรัยปรากฏครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง 3 ประการ
.
เราพาคณะนั่งทำวัตรเช้า และสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เอาเสียงบูชา พระพุทธเจ้าจากนั้นนั่งสมาธิทำใจให้สงบถวาย เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และเทศน์เรื่องอริยสัจ 4 ภาคปฏิบัติ ให้ฟังพอได้ใจความสำคัญประมาณ 40 นาที เนื่องจากมีผู้คนมาจากหลายประเทศมาถวายสักการะบูชากันตลอดเวลา
.
เมื่อทำทุกอย่างสมดังที่ตั้งใจมาแล้ว ก็กราบลาขอขมาพระรัตนตรัย จากนั้นไปที่พิพิธภัณฑ์สารนาถ กราบถวายสักการะเคารพพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ที่งดงามที่สุดสมบูรณ์ที่สุดในโลกประดิษฐาน ณ ประเทศอินเดีย ที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันโดยที่ไม่ถูกทำลายไป มีเสาอโศกที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ในพิพิธภัณฑ์นี้ด้วย จากนั้นให้คณะพักรับประทานอาหารกลางวันที่วัดไทยสารนาถ
.
พอได้เวลาสมควรก็เดินทางต่อไปที่ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล ไปถึงด่านก็ 2 ทุ่มกว่า ต้องผ่านด่าน ตม.ออกจากอินเดีย ตม.ส่วนกลาง ตม.เข้าเนปาล กว่าจะหลุดจากด่าน ตม.เข้าเนปาลได้ฟาดเข้าไปเกือบ 5 ทุ่ม ดีที่มาถึงมืดค่ำแล้ว ไม่ค่อยมีคนเยอะ เขาบอกว่า ถ้าเป็นตอนกลางวัน คนเยอะกว่านี้ มีหลายคณะ บางทีอาจเสียเวลา 4-5 ชม. เพราะเจ้าหน้าที่มีแค่ 2-3 คน คณะเรามี 60 คน ตรวจคนละ 1 นาที ก็ชั่วโมงกว่าแล้ว 3 ด่านก็ 3 ชั่วโมง แขกใจเย็นมาก ๆ
.
ใครติดตามบทความเราอยู่ แจ้งให้ทราบว่า เราจะอัพเดตบทความเพิ่มเติมไปตามเหตุการณ์แต่ละช่วงวัน รวมทั้งมีอัพโหลดรูปภาพเพิ่มเติมเรื่อย ๆ จากที่คณะถ่ายรูปส่งกันเข้ามา ภาพถ่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในกล้อง Full Frame บางที่เขาไม่ให้เอามือถือเข้าไป ต้องรอเข้าที่พักใช้ไวไฟจึงจะอัพโหลดภาพได้ ตอนเดินทางใช้คลื่นมือถือโรมมิ่งจากเมืองไทยได้ข้อมูลแค่ 14 GB ต้องประหยัดไปใช้ไวไฟของโรงแรมอัพโหลดรูปภาพตอนกลางคืน
 
Day-7
11 มีนาคม 2567 ลุมพินีวัน-กุสินารา
.
สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชได้สร้างพระวิหารมายาเทวีครอบไว้ ในปี พ.ศ. 243 ตรงบริเวณที่พระนางสิริมหามายาทรงให้กำเนิดพระราชกุมาร ก่อนพุทธศักราช 80 ปี มีเสาอโศกที่จารึกอักษรพราหมณีไว้ มีความหมายว่า
.
“ในปีที่ 20 แห่งการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าปิยทัสสี ทรงเสด็จมาโดยพระองค์เองเป็นที่ประสูติของพระศากยมุนี โปรดให้งดเก็บภาษีโดยจ่ายเพียง 1 ใน 8 ส่วน”
.
ภายในพระวิหารมายาเทวี เขาให้เข้าไปไหว้แล้วก็ออกมา โดยเข้าแถวเรียงหนึ่งต่อกันไป เขาห้ามไม่ให้เอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปด้วย ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในพระวิหาร คงถ่ายภาพได้แต่เพียงด้านนอกเท่าที่นำมาลงให้ดูเท่านั้น
.
หาได้มุมสงบร่มรื่นพาคณะนั่งทำวัตรเช้าแล้วแผ่เมตตาไม่มีประมาณ จากนั้นก็พานั่งสมาธิอีกประมาณ 50 นาที เทศน์ให้ฟังถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นยากนักหนา เพียงเพื่อปรารถนาที่จะรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ กว่าจะตรัสรู้อริยสัจ 4 นำธรรมมาสอนพวกเราได้ พระองค์ต้องสร้างบารมีถึง 20 อสงไขยเศษแสนมหากัปป์
.
พวกเราเพียงได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็ย่นระยะการเวียนว่ายตายเกิดไปถึง 20 อสงไขย เหลือเพียงเศษแสนมหากัปป์เท่านั้น ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้สดับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว อย่าพึงเห็นเป็นของไร้ค่า ให้ตั้งใจนำธรรมมาปฏิบัติทำศีล สมาธิ ปัญญาให้เกิดขึ้นที่ใจของตนให้ได้
.
ได้เวลาพอสมควรก็ไหว้พระ ขอขมาพระรัตนตรัย กราบลาสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าอันเป็นมงคลสูงยิ่ง จากนั้นก็นั่งรถตุ๊ก ๆ ออกมาขึ้นรถทัวร์ที่จอดรออยู่ด้านนอก แวะให้คณะรับประทานอาหารกลางวันที่วัดไทยลุมพินี แล้วไปเผชิญกับด่าน ตม. อีก 3 ด่าน ขากลับดูเหมือนจะเร็วกว่าขามานิดหน่อย
.
ถ้าเขาปรับปรุงการบริการให้เร็วกว่านี้ได้ ก็คงจะประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว คณะไหนมาตรงกับช่วงที่คนเยอะ ๆ มีหวังชีวิตเปลี่ยนแน่ ๆ เพราะแขกเขาทำงานใจเย็นมาก โปรแกรมการเดินทางอาจต้องเลื่อน เพราะไปไม่ทันตามที่กำหนด บางคณะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ 5-6 ชั่วโมง ถ้าใครจะไปกราบสักการะลุมพินีที่ประสูติ ต้องเผื่อเสียเวลาที่ด่าน ตม. 3 ด่านนี้ไว้ด้วย
.
ผ่านด่าน ตม.ไปได้ก็แวะเข้าห้องน้ำที่วัด 960 จากนั้นก็ไปต่อกุสินารา เดินทางอีก 3 ชั่วโมง ถึงที่พักประมาณ 2 ทุ่ม คืนนี้พักที่ Hotel Om Residency
Day-8
12 มีนาคม 2567 กุสินารา-สาลวโนทยาน-มกุฏพันธนเจดีย์
.
คณะออกจากที่พัก 8.00 น. ไปที่สาลวโนทยาน สถานที่ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตรงที่มีพระพุทธรูปนอน ที่จริงเป็นตรงพระสถูปที่อยู่ด้านหลังของวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูป
.
พอคณะเราไปถึงที่ตรงนั้นก็ว่างพอดี ปูอาสนะทำวัตรเช้ากัน แล้วแผ่เมตตาไม่มีประมาณ จากนั้นก็นั่งภาวนาต่อไป ก็ตั้งใจมาเพื่อภาวนาโดยตรง ถ้ามาแล้วไม่นั่งภาวนา ก็ขาดทุนเท่านั้นเอง คิดว่า จะพานั่งสมาธิสัก 40 นาที ให้นั่งท่านักรบ ถ้าจะฟัดกับกิเลสก็มีแต่ต้องท่านี้เท่านั้น ท่าพระพุทธเจ้าปราบมาร เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งตัวตรง ตั้งสติมั่น กำหนดพุทโธ ๆๆ ไว้ในใจ ให้มีสติอยู่กับพุทโธเพียงอย่างเดียว
.
เวลาเทศน์ธรรมไม่รู้มาจากไหน ไหลออกมาเหมือนสายน้ำตกจากหน้าผา ไม่มีขาดวรรคขาดตอนเลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนแต่จะเทศน์ ก็ยังไม่รู้ว่า จะเทศน์เรื่องอะไร มันเหมือนไม่มีความรู้อะไรเลย เทศน์ภาคปฏิบัติมันต้องเป็นปัจจุบันสด ๆ ร้อน ๆ เท่านั้น จะไปนึกคิดเอาไว้ก่อนไม่ได้เลย มันจะกลายเป็นสัญญาไป ถ้าใช้สัญญาเทศน์ก็ไปไม่รอดหรอก เพราะไม่ใช่ภาคปฏิบัติ มันกลายเป็นปริยัติไป
.
พูดเรื่องอริยสัจ 4 เน้นต่อสู้กับความทุกข์และความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินมรรค 8 จะออกนอกลู่นอกทางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เทศน์ให้อุบายในการวางจิตเพื่อต่อสู้กับทุกข์ ทำอย่างไรให้จิตไม่ทุกข์ในยามที่ต้องเผชิญกับทุกข์ทางกายอย่างหนัก ๆ ปลุกปลอบใจเร้าใจให้อาจหาญในการประกอบความเพียรเพื่อเอาชนะกิเลส เป็นครั้งเป็นคราวไป อย่างน้อยให้มีชนะบ้าง อย่าเอาแต่แพ้กิเลสท่าเดียว ใครทำได้ก็มีหวังจะพ้นทุกข์ได้ เทศน์ไปแป๊บเดียวหมดไป 1 ชั่วโมง
.
จากนั้นไหว้พระกราบขอขมาพระรัตนตรัย กราบลาสถานที่ปรินิพพานอันเป็นมงคลอย่างยิ่งยวด พอเริ่มสายคนก็เริ่มทยอยมากันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งไต้หวัน เวียตนาม ศรีลังกา คณะออกจากตรงนั้นก็ไปถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วเดินทางต่อไปที่มกุฏพันธนเจดีย์ อันเป็นสถานที่ถวายเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า ทำประทักษิณ 3 รอบ เดินสวด อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน อันเป็นบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
.
พออิ่มอกอิ่มใจกันแล้วก็เดินทางต่อไปแวะรับประทานอาหารกลางวันที่วัดไทยกุสาวดี คณะรวบรวมปัจจัยทอดผ้าป่าถวายวัดไป 24,110 บาท แล้วเดินทางต่อไปเมืองเวสาลี ระยะทาง 100 กว่ากิโล ใช้เวลาเดินทาง 3-4 ชั่วโมง ในระหว่างทางผ่านพระสถูปเกสริยา อันเป็นสถานที่่ประดิษฐานบาตรของพระพุทธเจ้า แต่ปัจจุบันถูกนำไปประดิษฐานที่อื่น ซึ่งรัฐบาลอินเดียกำลังทำเรื่องขอคืนมา
.
คณะถึงที่พักประมาณ 6 โมงเย็น คืนนี้พักที่ Blue Lotus Hotel
Day-9
13 มีนาคม 2567 ปาวาลเจดีย์-กูฏาคารศาลา วัดป่ามหาวัน-วัดเวฬุวัน
.
ปาวาลเจดีย์ เป็นสถานที่พระพุทธองค์ทรงปลงพระชนมายุสังขาร โดยตั้งพระทัยว่าจะดับขันธปรินิพพานในอีก 3 เดือนข้างหน้าต่อจากนี้ วันนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 คือ วันมาฆบูชา เคยมีพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ แต่ปัจจุบันถูกนำไปประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์ปัตนะ ที่ตรงนี้จึงมีเพียงฐานของพระสถูปเป็นรูปวงกลม ที่มีหลังคาสังกะสีสีเขียวรูปโดมสร้างครอบเอาไว้
.
คณะเดินทำประทักษิณ 3 รอบ เอาเสียงบูชาพระพุทธเจ้า สวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จากนั้นกล่าวคำไหว้พระ กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย กราบลาสถานที่อันเป็นมงคลนี้ ให้คณะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
.
แล้วเดินทางต่อไปที่กูฏาคารศาลา วัดป่ามหาวัน สถานที่นี้มีความสำคัญหลายอย่าง ในตอนที่เกิดทุพพิกขภัยที่เมืองเวสาลี พระพุทธองค์ทรงสอนให้สวดบทรัตนสูตร ประพรมน้ำพุทธมนต์ กำจัดโรคภัยทั้งหลายให้หมดสิ้นไป
.
ที่ตรงนี้ยังมีเสาอโศกที่สมบูรณ์ที่สุดเสาหนึ่งยังเหลืออยู่ มีสิงห์ตัวหนึ่งอยู่หัวเสาหันหน้าไปทางทิศเหนือ พาคณะทำวัตรเช้า แล้วนั่งภาวนาทำความสงบใจได้ประมาณ 30 นาที เทศน์ให้ฟังถึงการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอันยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด
.
สัตว์โลกทั้งหลายล้วนแหวกว่ายลอยคออยู่ในมหาสมุทรที่มองไม่เห็นฝั่ง แต่สัตว์โลกผู้มีบุญวาสนายังมีโอกาสได้เห็นเรือธรรมของพระพุทธเจ้าลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ผู้มีสติปัญญาก็แหวกว่ายไปขึ้นเรือธรรมนั้นได้ ก็มีสิทธิ์ที่จะขึ้นฝั่งรอดพ้นจากความตายไปได้
.
ผู้ไม่มีบุญวาสนาก็อาจมองไม่เห็นเรือธรรม หรือมองเห็นแต่ไม่สนใจที่จะแหวกว่ายไปขึ้นเรือธรรม ก็จมน้ำตายอยู่ในมหาสมุทรเสียเป็นจำนวนมาก
.
เรือธรรมก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เอง สัตว์โลกรายใดได้สดับพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ชื่อว่า มองเห็นเรือธรรมนั้น เมื่อทำความพยายามแหวกว่ายไปที่เรือธรรมนั้นอยู่ จนสามารถขึ้นไปบนเรือได้ ก็คือ ผู้ที่นำศีล สมาธิ ปัญญา มาปฏิบัติจนบรรลุธรรมพ้นทุกข์ไปได้นั่นเอง
.
พวกเราก็เป็นเพียงจิตวิญญาณดวงหนึ่งในจิตวิญญาณหลายล้านดวงอันนับประมาณไม่ได้ เวลานี้มาถูกคุมขังอยู่ในกายมนุษย์ ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะฝึกฝนอบรมจิตด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นธรรมปราบกิเลสชั้นยอดเยี่ยม จะฝึกหนักฝึกเบาอย่างไรก็ทำได้ตามอัธยาศัย ก็รีบทำเสีย ถ้ารอให้กายนี้แตกสลายแล้ว ถึงแม้อยากจะทำอีกก็ทำไม่ได้แล้ว
.
ลำพังความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมันมีแต่หลอกลวงต้มตุ๋นให้เราหลงทางเท่านั้น อย่าไปคิดว่า มันเป็นเรา อย่าไปยึดถือเอาเป็นจริงเป็นจัง อย่าไปหลงเชื่อทำตามมัน ให้เชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า อันนั้นจึงเป็นความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่สามารถชักนำดวงจิตเราไปสู่ความดับทุกข์ได้ คือ หนทางแห่งอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ เท่านั้น อันใดที่ผิดทางอริยมรรคให้งดเว้นอย่างเด็ดขาด
.
จากนั้นกล่าวคำไหว้พระ กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย กราบลาสถานที่อันเป็นมงคลยิ่งนี้ พาคณะกลับไปรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรม แล้วออกเดินทางต่อไปกรุงราชคฤห์ ระยะทางประมาณ 160 กม.ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง รถติดมาก
.
ไปถึงวัดเวฬุวันอันเป็นวัดแห่งแรกในสมัยนั้นเวลาประมาณบ่าย 5 กว่า ๆ ทำวัตรค่ำ แผ่เมตตาเสร็จ ก็มีเวลานั่งสมาธิได้ประมาณ 40 นาที เพราะเขาปิดเวลา 18.30 น. ให้นั่งท่านักรบทำความสงบใจตามกำลังของแต่ละคน เราเทศน์ให้ฟังถึงเรื่องสาระสำคัญของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
.
ให้ทำใจให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ เมื่อมีศรัทธาแล้ว ก็จะเกิดวิริยะความเพียรในการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะมีสติแก่กล้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ใจก็จะมีสมาธิหนักแน่นมั่นคง ก็จะหนุนเนื่องให้เกิดปัญญาแก่กล้าจนสามารถกำจัดอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นจากใจได้
.
อินทรีย์ 5 พละ 5 นี้ คือบารมีธรรมที่หนุนส่งให้ศีล สมาธิ ปัญญา แก่กล้าบริบูรณ์จนสามารถดับสังโยชน์ 3, 5 หรือ 10 ให้ขาดสะบั้นจากใจได้
.
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสฟังธรรมอันล้ำเลิศประเสริฐของพระพุทธเจ้าแล้ว นับเป็นการยากแสนยากนักหนากว่าจะได้พบเจอในแต่ละสมัย จึงไม่ควรปล่อยโอกาสทองให้ล่วงเลยผ่านไปเปล่า ๆ โดยมิได้นำธรรมมาปฏิบัติให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งปวงได้ ก็นับว่า สูญเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย
.
พอได้เวลาก็กล่าวคำอำลา ไหว้พระ และกราบขอขมาพระรัตนตรัย จากนั้นก็ปล่อยให้คณะถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกกันตามสบาย คืนนี้พักที่ โรงแรม Indo Hokke
 
Day-10
14 มีนาคม 2567 เขาคิชฌกูฏ-นาลันทา-หลวงพ่อองค์ดำ
.
ออกจากที่พัก 7.00 น.ไปเขาคิชฌกูฏใช้เวลาประมาณ 10 นาที ไปถึงเขาเอาไม้เท้ามาให้ช่วยพยุง อย่าคิดว่าฟรี! กี่รูปีก็ไม่รู้ ขากลับต้องเอามาคืนเขา ไปตอนเช้าคนยังไม่เยอะนัก ใครเดินไม่ไหว เขามีเสลี่ยงไว้บริการ สนนราคา 1,000 บาท มี 4 คนหาม 3 คนแห่ เอ๊ย! ไม่ใช่ ไอ้นั่นเขาแห่ศพ อันนี้ใช้ 2 คนหามเท่านั้นแหละ ทั้งไปและกลับ ก็คุ้มอยู่
.
ก็ค่อย ๆ เดินขึ้นไป ผ่านถ้ำพระโมคคัลลาน์ พอดีมีพวกญี่ปุ่นสวดมนต์กันอยู่ ก็เลยเดินไปต่อถ้ำสุกรขาตา ที่ว่างพอดี คณะเราก็เข้าไปยึด ทำวัตรเช้าเสร็จ ข้างบนก็ว่างพอดี เหลือคณะเดียวห่มผ้าสีน้ำตาลน่าจะเป็นพวกไต้หวัน ใกล้จะออกมาแล้ว คณะเราก็ขึ้นไปต่อคิวปูอาสนะตรงที่ว่างไว้ก่อน พอเขาออกมาเราก็เข้าไปข้างในแทน
.
นั่งเว้นช่องว่างให้คณะอื่นเขาเดินเข้ามากราบพระพุทธรูปได้ คณะเรา 60 คน นั่งเต็มพื้นที่พอดี พาคณะนั่งสมาธิตากแดดยามเช้า ถือเสียว่า เป็นธุดงควัตรข้ออยู่กลางแจ้งก็แล้วกัน สร้างขันติบารมี วิริยบารมี  ก็ทำเหมือนเดิม นั่งท่านักรบ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายตรง ตั้งสติมั่น ระลึกพุทโธ ๆๆ ไว้ในใจอย่าให้เผลอไปคิดเรื่องอื่น ถ้าเผลอก็ดึงกลับมาใหม่ ไม่ต้องไปคิดไปอยากให้มันไม่เผลอ ถ้ามันจะไม่เผลอก็ต้องหมั่นฝึกฝนจนมันเป็นเอง ไม่ใช่เอาความอยากไปบังคับให้เป็น
.
พาคณะนั่งสมาธิภาวนาประมาณ 1 ชม. ตรงพระคันธกุฎี พอดียังไม่มีคนมามากนัก ก็เลยนั่งได้นาน ถ้าเป็นปกติ เขาให้อยู่แป๊บเดียวก็ต้องออกไปแล้ว
.
มานาลันทาก็ต้องเทศน์เรื่องพระสารีบุตร โยมมารดาของพระสารีบุตรเป็นผู้มีบุญมาก เป็นผู้อุ้มท้องพระอรหันต์ถึง 7 องค์ แต่ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่เลย แม้พระสารีบุตรผู้เป็นยอดอัครสาวกจะไปโปรดได้ ก็ยังต้องรอจน 7 วันสุดท้ายก่อนปรินิพพาน เพื่อรอให้อินทรีย์บารมีธรรมแก่กล้า จึงแสดงธรรมโปรดโยมมารดาให้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลได้ จากนั้นพระสารีบุตรจึงดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
.
จากนาลันทามาพุทธคยา ถึงที่พัก 2 ทุ่ม คืนนี้ พักที่ Anand Hotel
 
Day-11
15 มีนาคม 2567 พุทธคยา แดนตรัสรู้
.
ออกจากโรงแรมตี 4.30 น. ไปถึงพุทธคยาตี 5.00 น. เขาเปิดประตูพอดี ห้ามเอามือถือ นาฬิกาจำพวก Apple Watch อุปกรณ์อีเล็คโทรนิกทั้งหลาย อนุญาตให้เฉพาะกล้องถ่ายรูปจริง ๆ เท่านั้น
.
อย่าคิดว่าไปแต่เช้ามืดแล้วจะไม่มีคน คนไปก่อนเราก็มีอีก ที่นั่งคิวทองใต้ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้ก็เต็มตลอดเวลา ผู้หนึ่งลุกออกมาก็มีผู้หนึ่งเข้าไปแทน คณะเรา 60 คน คงยากที่จะอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เลยไปปูอาสนะอยู่นอกรั้ว ก็สงบดี ไม่พลุกพล่านเหมือนด้านใน
.
ก็พาคณะทำวัตรเช้า แล้วแผ่เมตตาไม่มีประมาณ จากนั้นก็นั่งสมาธิไปจนถึง 7.00 น. จึงไปฉันข้าวที่โรงแรมอนันต์ พวกญาติโยมก็รับประทานอาหารบุฟเฟต์ เช่นเคย เพราะสะดวกดี
.
ระหว่างนั่งสมาธิเราพูดถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ให้ฟัง บุคลใดมาเคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วอย่างจริงใจเป็นอจลศรัทธา บุคคลนั้นจะไม่กระทำบาปเลวร้ายจะตั้งมั่นอยู่ในศีล 5 จะไม่ไปเกิดในอบาย และจะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน อย่างแน่นอน
.
ดังนั้น ทุกครั้งที่พวกเราทำบุญ ทำทาน โบราณาจารย์จึงสอนให้เข้าถึงพระไตรสรณคมน์ และขอศีล เพื่อปลูกฝังให้เป็นนิสัยวาสนาหยั่งลงในขันธสันดาน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร จะไม่หลุดออกไปเกิดนอกพระพุทธศาสนานั่นเอง
Day-12
16 มีนาคม 2567 พุทธคยา-คืนอำลา
.
ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงเช้าวันนี้ เรามีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน ไอจาม น้ำมูกไหล ต้องฉันยาแล้วพักผ่อน ให้คณะไปทำวัตรสวดมนต์ภาวนากันเอง จนถึงช่วงเย็นวันนี้จึงพอไปได้ ไปถึงพุทธคยา บ่าย 5.00 น. คนก็ยังมีคนพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา พาคณะทำวัตรค่ำ แล้วแผ่เมตตาไม่มีประมาณ จากนั้นนั่งภาวนาอีก 1 ชั่วโมง
.
เราเทศน์ให้ฟังถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างพระบารมี 20 อสงไขยเศษแสนมหากัปป์ เพื่อช่วยรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นภัย พวกเราที่เป็นภูมิสาวก เพียงได้ยินได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ก็ย่นระยะการเวียนว่ายตายเกิดไปถึง 20 อสงไขย มิฉะนั้น เราต้องสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง จึงจะพ้นทุกข์ไปได้
.
ดังนั้น จึงควรเห็นคุณค่าของธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำมาสอนพวกเรา อย่าทำให้พระพุทธเจ้ากลายเป็นผู้สร้างบารมีลำบากเปล่า ๆ โดยไม่มีใครใส่ใจนำธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาปฏิบัติเลย จึงควรที่พวกเราจะรู้คุณของพระพุทธเจ้าที่มีพระเมตตาต่อพวกเราอย่างหาประมาณมิได้ แล้วตอบแทนพระคุณของท่าน ด้วยการนำธรรมมาปฏิบัติดัดแปลง กาย วาจา ใจของตน ให้ตั้งมั่นอยู่ในหนทางปฏิบัติคืออริยมรรคมีองค์ 8 อย่างจริงใจ ดำรงตนอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน
.
จากนั้นก็เปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความรู้สึกที่ได้มาในทริปนี้ ว่า มีอะไรประทับใจหรือไม่ประทับใจอะไรบ้าง ถ้ามีอะไรกินแหนงแคลงใจกัน หรือมีอะไรกระทบกระทั่งกันก็ขออโหสิกรรมต่อกันและกันด้วย เพราะคณะเรามาเป็นคณะใหญ่ 60 คน มาใช้ชีวิตร่วมกัน 12 คืน 13 วัน จากที่ไม่เคยรู้จักกัน ก็ทำให้ได้รู้จักกันได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน กลายเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน
.
บางคนไม่เคยมาเลย เพิ่งมาครั้งนี้เป็นครั้งแรกก็มี หลายคนเคยมา 2 ครั้ง 3 ครั้ง 4 ครั้ง 9 ครั้ง 12 ครั้ง ก็มี การไปกับครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ย่อมจะได้ยินได้ฟังธรรมะขัดเกลาจิตใจไปตลอดเส้นทางของสี่สังเวชนียสถาน ก็จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในธรรมได้ดียิ่งขึ้น
.
ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสก็อาจจะได้มาอีก เพราะทุกครั้งที่มา ได้มานั่งภาวนาในสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงเคยบริโภคใช้สอย ใจมันรู้สึกชุ่มฉ่ำใจสงบเย็น ก็คิดว่า แม้เรายังไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าองค์จริง แต่การได้มากราบไหว้สถานที่อันเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ย่อมเป็นมงคลอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว จะมากี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อหน่ายจืดจาง มีแต่จะตามรอยเสด็จให้เข้าถึงพระพุทธองค์ ด้วยข้อปฏิบัติอันหนักแน่นมั่นคงหมดจดงดงามอย่างจริงใจยิ่ง ๆ ขึ้นไปเท่านั้น
.
จากนั้นก็กลับมายังที่พักเตรียมแพ็คกระเป๋าเดินทางกลับสู่ประเทศไทย พรุ่งนี้ต้องไปสนามบินตั้งแต่ 7 โมงเช้า
 
Day-13
17 มีนาคม 2567 จบทริปอินเดีย 12 คืน 13 วัน - กลับสู่ประเทศไทย
.
คณะออกจากโรงแรม 7.00 น. ไปสนามบินคยา เช็คอินแอร์เอเซีย เที่ยวบิน FD 123 เครื่องออก 10.30 น. กว่าจะผ่านด่าน ตม. มาได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร เพราะเขาตรวจละเอียดยิบเลย ที่โหลดใต้ท้องน้ำหนักต้องไม่เกิน 20 กก. ที่ถือขึ้นเครื่อง โน๊ตบุ๊ก ไอแพด มือถือ พาวเวอร์แบ๊งค์ สายชารจ์ เครื่องชาร์จ ต้องเอาออกมาตรวจหมด กว่าจะฝ่าด่าน ตม. มาได้ทั้ง 60 คน ก็เวลา 9.30 น. ใครไปอินเดียก็อย่าลืมเผื่อเวลาตรงนี้ละกัน
.
เมื่อมีพบกันก็ต้องมีพลัดพรากจากกันไปเป็นธรรมดา ไม่มีการอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่ต้องพรากจากกัน ไม่จากกันตอนเป็นก็ต้องจากกันตอนตายอยู่ดี
.
ทริปอินเดียก็จบเพียงเท่านี้
 



<> กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม

โครงการปฏิบัติธรรมเนื่องในวันนวมินทรมหาราชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชการที่ ๙
หลักสูตรอบรมปฏิบัติธรรมข้ามปี
บริจาคให้กับทางมูลนิธิ รพ.สวนดอก ไว้เป็นทุนรักษาพระภิกษุสงฆ์อาพาธต่อไป
ส่งมอบเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ 1 เครื่องให้โรงพยาบาลแม่อาย
โครงการฝึกอบรม "นักเรียนคุณธรรมดีเด่น" รุ่นที่ ๑/๒๕๖๒
สรุปผลการตัดสินการประกวดเล่านิทาน ครั้งที่ ๘/๒๕๕๖
ประมวลภาพ พิธีปิดการแข่งขัน และมอบโล่พระราชทาน การประกวดเล่านิทาน ครั้งที่ ๘
ประมวลภาพพิธีเปิดโครงการประกวดเล่านิทานธรรมชาดก ครั้งที่ ๘/๒๕๕๖
ประมวลภาพการแข่งขันประกวดเล่านิทาน ครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๗ กุมภาพันธ์