ปฏิบัติธรรมภาวนา ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบลระหว่าง 5-17 มีนาคม 67 5-17 มีนาคม 2567 ไปกราบนมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล และถ้ำอาชันต้า เอ็ลโลร่า 12 คืน 13 วัน พาคณะลูกศิษย์ไป 61 ชีวิต ไปปฏิบัติธรรมภาวนา ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา คงมีเรื่องอะไรดี ๆ มาเล่าให้ฟังเยอะ ใครสนใจก็คอยติดตาม เครื่องออกจากสุวรรณภูมิ 18.55 น.
Day-1
5 มี.ค.67 เวลา 18.55 น. เครื่องออกจากสุวรรณภูมิไปมุมไบใช้เวลาบินประมาณ 4 ชม.
เวลาของอินเดียช้ากว่าไทย 1.30 ชม. ถึงมุมไบเครื่องลงเวลาท้องถิ่น 22.00 น. รอต่อเครื่องอินดิโกไปออรังกาบัด เครื่องออกเวลา 05.30 น. ของวันที่ 6 กว่าจะผ่านด่าน ตม.ไปได้ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงสำหรับคณะทั้งหมด
.
สนามบินมุมไบก็แออัดยัดเยียดน่าจะพอ ๆ กับสุวรรณภูมิ แต่ของเขาตกแต่งภายในดูจะอลังการสวยงามกว่าของบ้านเรามากทีเดียว ร้านค้าตลอดทางเดินไปประตูขึ้นเครื่องก็ดูหรูดูแพง คนที่จะเข้าไปซื้อน่าจะต้องกระเป๋าหนักพอควร คืนนี้ก็นั่งพักกันที่ประตูขึ้นเครื่องรอเวลาเครื่องออก ก็มีทั้งคนนั่งรอ นอนรอ
.
เวลาคุยกับคนอินเดีย ถ้าเขาส่ายหน้าให้รู้ว่า นั่นคือการตอบรับ แต่ถ้าเขาพยักหน้า นั่นคือการปฏิเสธ ภาษากายจะไม่เหมือนของบ้านเรา ดังนั้น อย่าสับสน
Day-2
6 มีนาคม 2567 เมืองออรังกาบาด-ถ้ำเอลโลร่า-ป้อมดาลาตาบาด
.
ถ้ำเอลโลร่า อยู่ห่างเมืองออรังกาบาดไป 30 กม. รถวิ่งประมาณ 1 ชม. ถ้ำมี 3 ศาสนา คือ พุทธ ฮินดู เชน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2526 ตั้งอยู่ในเทือกเขาจรนันทรี ถูกสร้างในระหว่าง พ.ศ.1200-1500 โดยการเจาะเข้าไปในภูเขา คล้ายกลุ่มถ้ำอาชันต้า ภายในมีแกะสลักพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำมีความวิจิตรงดงามมาก แต่ถูกเผาทำลายเสียหายไปเยอะเหมือนกัน (ถ้ำจะปิดทุกวันอังคาร)
.
ถ้ำเอลโลร่ามีทั้งหมด 34 ถ้ำ เป็นของพุทธ 12 เป็นเทวาลัยของชาวฮินดู 17 ถ้ำ เป็นของลัทธิเชน 5 ถ้ำ บรรยายไม่ถูกให้ภาพถ่ายบรรยายแทนละกัน ในระหว่างทางผ่านป้อมดาลาตาบาด เป็นป้อมโบราณอยู่รอบภูเขาดัลคีรี เคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ยารวะ แต่ถูกกษัตริย์อลาอุดดินคัลจิ ชาวมุสลิมยึดได้ในปี 1839 ตกอยู่ภายใต้ปการปกครองของมุสลิมอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างไป ยังมีซากเสามัสยิด 106 ต้น มีป้อมปราการพระราชวังบนเสาอายุกว่า 700 ปี เรียกพระราชวังลอยฟ้า
.
แต่คณะเราไม่ได้ขึ้นไปชมหรอก เกรงว่าจะหมดเรี่ยวหมดแรงเสียก่อน เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนกันทั้งคืน ทำได้แค่นั่งพักรอเครื่องที่สนามบินมุมไบ พอถึงเมืองออรังกาบัดใช้เวลาบินเกือบช้่วโมง รับประทานอาหารเช้าทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินทางต่อเลย
.
จุดสุดท้ายไปนั่งภาวนากันที่ชั้น 3 ของถ้ำที่ 12 เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุด มีแกะสลักพระพุทธรูป 28 พระองค์ ซึ่งก็ถูกเผาทำลายไปเป็นส่วนใหญ่ ก็มองให้เป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย ถึงจะไม่มีการเผาทำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องแตกทำลายด้วยตัวเองอยู่แล้ว
.
คนที่ยังติดอยู่ในความเชื่อ ยังเข้าไม่ถึงความจริง ก็ต้องทำไปตามความเชื่อของตัวเอง ถ้าเชื่อถูกก็ทำถูก ถ้าเชื่อผิดก็ทำผิด ต่างต้องได้รับผลแห่งกรรมของตัวเอง จะเชื่ออย่างไรก็ตาม ถ้าทำดีก็ต้องได้รับผลดี ทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือไม่เชื่อของใคร เพราะความจริงย่อมเป็นความจริงอยู่ตลอดกาล
.
เราพาคณะนั่งภาวนา 30 นาที เทศน์ให้ฟังถึงหลักเบื้องต้นว่า เรามาไกลกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ไม่ใช่ของง่าย ตั้งใจจะมาปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า แล้วรู้ไหมว่า การปฏิบัติบูชาที่ถูกต้องทำอย่างไร ต้องวางจิตไว้แบบไหน มิใช่ดีแต่พูดว่า ปฏิบัติบูชา แต่การกระทำคำพูด กลับเป็นตรงกันข้าม ไม่ใช่อย่างนั้น
.
เทศน์ไม่นานเพื่อให้พอดีกับเวลา แต่ได้รายละเอียดครบถ้วนพอเหมาะพอดีกับสถานการณ์ตรงจุดนั้น มีพระอาจารย์สิทธิโชค ท่านกรุณามาเป็นพระวิทยากรให้ความรู้แก่คณะเกี่ยวกับถ้ำเอลโลร่า ถ้ำอาชันต้าด้วย ท่านมีความรู้แน่นมากทีเดียว ขอขอบคุณท่านไว้ ณ ที่นี้
Day-3
7 มีนาคม 2567 ถ้ำอาชันต้าอยู่ห่างจากเมืองออรังกาบาด
ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 110 กม. รถวิ่ง 2.30 ชม. (ถ้ำปิดทุกวันจันทร์) เป็นถ้ำที่เป็นประติมากรรมในพระพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนเทือกเขาอินทิยาทรี เมืองออรังกาบาด มีถ้ำทั้งหมด 30 ถ้ำ ถ้ำยุคแรก ๆ เป็นพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ยุคหลังเป็นของฝ่ายมหายาน
.
ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.350-1200 ค้นพบโดยจอห์น สมิธ ในปี พ.ศ.2362 และองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ.2527
.
เราเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ ปี 2559 มาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ปี 2567 ได้พระอาจารย์สิทธิโชค เป็นพระวิทยากรนำชมแต่ละถ้ำที่เป็นจุดสำคัญ ท่านบรรยายให้ความรู้แก่คณะได้ดีมาก ได้พาคณะนั่งภาวนา 30 นาที ถวายเป็นปฏิบัติบูชา เทศน์เน้นย้ำเรื่องของการทำจิตให้สงบที่จำเป็นต้องมีศีลเป็นพื้นฐานแห่งคุณธรรมเบื้องต้น ให้กำลังใจที่จะปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ได้อย่างไร
.
ถ้ำที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ คือ ถ้ำ 26 เป็นถ้ำใหญ่แกะสลักพระพุทธรูปเล่าเรื่องราวพุทธประวัติไว้พอสังเขป พาคณะเดินทำประทักษิณรอบพระพุทธรูป 3 รอบ พร้อมสวดอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน เป็นบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ถวายเป็นพุทธบูชา นั่งภาวนาที่นี่ได้ไม่นาน เพราะเป็นจุดสำคัญที่มีคนเข้าชมเรื่อย ๆ
.
มีภาพถ่ายที่มีลายเซ็นของ จอห์น สมิธ ผู้ค้นพบถ้ำแห่งนี้ด้วย ใครสนใจก็ดูในภาพที่ลงไว้ จะทยอยนำภาพมาลงเรื่อย ๆ
.
กราบนมัสการถ้ำสุดท้ายแล้ว ก็กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย ลาแล้วถ้ำอาชันต้า ถ้ามีบุญมีวาสนาค่อยมาใหม่ ทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอนอบน้อมถวายความเคารพอย่างไม่มีวันจืดจาง
.
จากนั้นก็เดินกลับลงมาขึ้นรถเดินทางกลับที่พักที่โรงแรม Fern Hotel คณะได้รวบรวมปัจจัยถวายพระอาจารย์สิทธิโชค เพื่อช่วยท่านซื้อที่ดินสร้างวัดที่หน้าถ้ำอาชันต้า 32,000 บาท จากนั้นก็ร่ำลากันไป
.
ถึงเวลาก็ต้องจากกัน มีบุญวาสนาร่วมกันจึงได้มาเจอกัน ถ้าไม่มีบุญวาสนาร่วมกัน ต่อให้เดินชนกันก็ไม่รู้จักกันหรอก ทุกอย่างในโลกเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ เมื่อหมดเหตุก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความจริงของทุกสิ่ง ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรให้เรายึดถือไว้ได้เลย
|