
25พย54 ช่วยที่คลองบางไผ่-บ.สิริเกษม-บ.ชัฎดาวิลล่า สวนแสงธรรม 25พย54 ช่วยที่คลองบางไผ่-บ.สิริเกษม-บ.ชัฎดาวิลล่า สวนแสงธรรม เมื่อวานได้ไปมอบอาหารให้ผู้ประสบอุทกภัยแถบคลองบางไผ่ ได้พบชาวบ้านริมคลองจำนวนมากที่อยู่รวมตัวเป็นชุมชน รวมทั้งชาวบ้านอีกกลุ่มที่ยากจน วันนี้จึงตัดสินใจไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือ สวนแสงธรรม เพราะได้รับแจ้งจากคุณนวลที่ดูแลสวนแสงธรรมว่ามีผู้เดือดร้อนอยู่ในแถบพุทธมณฑล สาย 3 ซึ่งเป็นกลุ่มชาวบ้านที่หลวงตามหาบัวเคยให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่ก่อนน้ำท่วม วันก่อนแจกนมหมดทั้งนมผงทารกและนมUHT จึงได้เข้าไปหาซื้อเพิ่มเติม รวมทั้งยาสีฟัน ขนม และอาหารสุนัข 1 กระสอบใหญ่ หมดไปเกือบ 8,000 บาท (ทำใจอยู่พักหนึ่ง) มาตรวจบัญชีดู ปรากฎว่าเจอต้นเหตุ ซึ้อนมผงดูมิลค์รสจืดไป 3,024 บาท คือ ตอนซื้อคิดถึงแต่ความจำเป็น ดีที่มีคนรู้จักร่วมบุญมาด้วย หลังจากนั้น ตรงมาที่นี่ ที่เห็นเป็นชั้น ๆ เห็นมาหลายครั้งแต่ไม่มีเวลาเข้าไปดู วันนี้ได้เข้าไปดูใกล้ ๆ เป็นซึ้งหุงข้าวสวย ถามคนหุงดูปรากฎว่าซึ้งนี้หุงข้าวได้ครั้งละ 30 กก.(นน.ข้าวสาร) ช่วยให้หุงข้าวได้เร็วขึ้นมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ใครเป็นคนคิด ทราบว่าเป็นของยืมมาจากโรงทานวัดสังฆทาน อนุโมทนาสาธุ ถือเป็นนวัตถกรรมใหม่ที่ช่วยชาวโลกได้ เพราะต่อไปไม่รู้ว่าจะมีภัยธรรมชาติอะไรมาอีก ชักที่ครอบซึ้งลงมา เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก วันนี้คนมาช่วยกันมากเหมือนเดิม เตรียมข้าวห่อมากขึ้น เพราะวันนี้มีเรือไว้ 2 ลำ เพื่อช่วยกระจายกันแจก ในภาพกำลังลำเลียงของขึ้นรถ ขออนุญาตถ่ายรูปคุณป้า อายุ 60 กว่าก็ยังมาช่วย เห็นเกือบทุกวัน ช่วย ๆ กันห่อ ข้าวและกับแยกใส่ถุง เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเสียง่าย อาสาสมัครปกติจะคุยกันสนุก แต่พอจะถ่ายรูปก็จะทำท่าเรียบร้อย คนมาช่วยทอดก็ทอดไปคุยไปสนุกสนาน แต่พอไปถามดูก็ปรากฎว่าทำกับข้าวไม่เป็น เพียงแต่ถูกเรียกให้มาช่วยพลิกไก่ไปมาเท่านั้น ส่วนคนปรุงจริง ๆ อยู่ดูใกล้ ๆ ดูแล้วก็ใช้ได้ น่าทานดี อาหารที่เตรียมไปแจก ข้าวห่อพร้อมกับข้าวนับพันชุด ข้าวห่อ น้ำ มาม่า นม UHT นมผงเด็กทารก มะม่วง ขนมเด็ก ยาสีฟัน อาหารสุนัข ของครบ เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทาง วันนี้รถไม่ติด ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางมาถึงถนนพุทธมณฑล สาย 2 ซึ่งตอนนี้น้ำแห้งเกือบทั้งสาย สถานการณ์ดีขึ้นมาก วันนี้ไม่ได้นัดหมายที่ท่าน้ำเดิม(พุทธมณฑล สาย1) เพราะต้องการประหยัดเวลาในการเดินทางโดยทางเรือที่ต้องใช้เวลามาก เพื่อจะได้มีเวลาเข้าถึงพื้นที่สุดท้ายคือ สวนแสงธรรม แต่พอสังเกตุดูแล้ว พบว่าน่าจะมีน้ำขังตามซอยสูงในระดับที่รถเล็กไม่สามารถวิ่งได้ เพราะชาวบ้านที่นำมาจอดบนเกาะกลางถนนยังไม่ได้นำรถไปใช้ จุดนัดพบคือที่ที่ใต้สะพานคลองบางไผ่ ถ.พุทธมณฑล สาย2 ไม่นาน เรือที่นัดไว้ก็มาถึง น้ำดื่ม เป็นของที่มีน้ำหนักมาก ควรนำลงเรือก่อนอย่างอื่น หลังจากนั้นเป็นนมUHT ข้าวห่อ ผลไม้ และขนมตามมา ช่วยกันขนของที่มีน้ำหนักทั้งหมด 1 ตันเศษ(ไม่รวมคน) เพื่อลงเรือ อาสาสมัครต่างขยันขันแข็ง อาสาสมัครชักชวนเพื่อนใหม่มาช่วยกัน เป็นกลุ่มหญิงเหล็กที่ไม่กลัวจระเข้ (วันนี้อาหารมากเป็นพิเศษ สังเกตุคุณน้าข้างหลังที่อยู่ในบ้าน กำลังชะเง้อมอง รอคอยด้วยความหวัง) ทุกอย่างพร้อมออกเดินทาง (ลืมคุณน้าเสียแล้ว...) วันก่อนเตรียมอาหารมาก แต่วันนี้อาหารมากกว่า เพราะจะมีเรืออีกลำล่องลงมาจากสวนแสงธรรมเพื่อถ่ายของไปช่วยกันแจก สังเกตุกราบเรือเพียบกว่าทุกครั้ง วันนี้คนขับเรือต้องประคองเรืออย่างมาก เพราะเรือเพียบจากน้ำหนักบรรทุก (Over Load) ไม่อยากบอกอาสาสมัครเพราะกำลังมีความสุขจากประสบการณ์ใหม่ และไม่อยากทำลายความหวังของคุณน้า จึงกลับไปส่งอาหารให้ เพราะคนขับเรือไม่เห็น น้าคนนี้ขอมากหน่อย เพราะเป็นผู้ใหญ่บ้าน ขอเพื่อไปแจกลูกบ้านที่เดือดร้อน รถฝากไว้ให้คุณน้าผู้ใหญ่บ้านช่วยดูแล คุณน้ารับรองว่าปลอดภัยเพราะแถวนี้ไม่มีขโมย ระหว่างทาง สังเกตุเห็นบ้านหลังนี้ที่มีข้าวของเครื่องใช้ลอยน้ำมากมาย และจะกลายเป็นขยะหลังน้ำลด ไม่ทราบว่าจะตีเป็นเงินได้เท่าไร ซึ่งที่สุดแล้ว ความสูญเสียนี้ ชาวบ้านก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง เหตุการณ์เหล่านี้เป็นผลพวงหนึ่งจากภาวะโลกร้อน แม้จะมีใครโทษรัฐบาลในเรื่องการปล่อยน้ำในเขื่อนก็ตามแต่ก็เป็นเงื่อนรองลงมา เพราะภัยธรรมชาติในปีนี้เป็นสิ่งที่เกินจะคาดหมาย ผ่านเขตหลักสองเข้าสู่เขตศาลาแดง ผู้ประสบภัยรายหนึ่ง กำลังช่วยเหลือตัวเองโดยการทอดแหหาปลา ถ้าบอกตรง ๆ ไปเลยว่า "คุณ ๆ อย่าฆ่าปลาเลย เดี๋ยวจะตกนรก" ให้ทายว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? ที่นี่ น้ำยังสูงระดับครึ่งรั้ว และนี่... ก่อนหน้าน้ำท่วม เรือต้องจอดไว้นอกบ้าน บางครั้งอาจมีขโมยมาเอาไป แต่พอน้ำท่วมก็เลยทำให้ชาวบ้านคลายกังวลจากการถูกขโมยเรือ เพราะเรือจอดในบ้านได้แล้ว เหลือครึ่งหลัง แต่ของข้างในไม่รู้ว่าของที่ไม่ถูกน้ำท่วม เหลือถึงครึ่งหรือไม่ ? บริเวณนี้สวยงามเหมือนทะเลสาบ แต่เบื้องหลังความงามนี้ คือแปลงปลูกผัก ดูคร่าว ๆ ก็น่าจะสัก 10 กว่าไร่ ถ้าเป็นรายได้ที่สูญเสียก็อาจไม่มากสำหรับคนมีอันจะกิน แต่ก็หมายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของครอบคร้วเจ้าของสวน มาแล้ว เป็นรายที่ 2 อาจเป็นเจ้าของแปลงผักเมื่อครู่ เข้าใจผิด คิดว่าเป็นผู้ประสบอุทกภัยมาขอรับอาหาร ที่แท้คุณนวล มาจากสวนแสงธรรม ช่วยกันขนของลงเรืออีกลำ เพื่อแยกกันแจกให้ผู้ประสบอุทกภัยแถบสวนแสงธรรม อาสาสมัครชายตามไปช่วยแจก มาถึงก็ได้เริ่มงาน ชาวบ้าน 2 สามีภรรยาช่วยกันพายเรือลำเก่า ๆ ที่รั่ว มารับของด้วยความยินดี เพราะนาน ๆ ทีจะมีคนมาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ สังเกตุ สามีใช้เครื่องสูบน้ำที่ทำขึ้นง่าย ๆ จากท่อพีวีซี ส่วนภรรยาเป็นคนพายเรือ 2 คนนี้ ถ้าขาดคนใดคนหนึ่ง ก็จะไม่สามารถมารับของได้ แม้จะยากจน แต่ก็มีความดีพอที่จะผูกใจให้อยู่ร่วมกัน ความเข้าใจที่มีต่อกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะประสานใจให้เข้ากันได้ เหล่านี้คือความดีงามในจิตใจที่ควรมีให้กันในคู่ชีวิต แม้จะประสบภัย แต่ความดีนี้ก็ทำให้เกิดการเกื้อกูลให้ชีวิตพอบรรเทาไปได้ ครอบครัวนี้ทุกข์แต่ภายนอก แต่สุขภายใน แต่ตรงกันข้ามหากมีชีวิตที่ร่ำรวยเงินทอง ยศ เกียรติ์ แต่ขาดความดีในการรักษาคู่ครอง ก็อาจทำให้ชีวิตระสำระสาย ครอบครัวเช่นนี้สุขแต่ภายนอก แต่ภายในเป็นทุกข์ เงินจึงตอบโจทย์ทุกข้อของชีวิตไม่ได้ แต่ความดีต่างหากที่ช่วยให้จิตใจเป็นสุข (ภาพ ขณะยังมีชีวิตอยู่ หลวงตามักสั่งให้แจกทานที่สวนแสงธรรมอยู่เสมอ) ดังที่หลวงตาเคยสอนไว้ว่า ความสุขไม่ได้อยู่ที่ข้าวของเงินทองกองเท่าภูเขา แต่อยู่ที่จิตใจ ขอให้จิตใจมีคุณความดี ให้พากันรักษาศีล 5 นะ ศีลนี้แลเป็นเครื่องรักษาใจให้ใจได้ชุ่มเย็น ส่วนการแสวงหาเงินทองท่านก็ไม่ได้ห้าม ท่านก็ไม่ได้ตำหนิคนที่หาเงินจนได้เป็นเศรษฐี ท่านสอนว่า ทุกอย่างเป็นตามเหตุตามความดีที่เคยทำมาจากอดีต แต่ที่ท่านตำหนิคือคนที่ขี้เกียจขี้คร้าน หนักไม่เอา เบาไม่สู้ กินแล้วนอน ท่านมักปลุกใจให้สลัดความขี้เกียจออก ซึ่งผู้เขียนก็เคยเป็นมา หลังหลวงตาฉันและเทศน์เสร็จ ลูกศิษย์ส่วนใหญ่กลับกันไปแล้ว ก่อนเที่ยงก็จะเป็นเวลาให้ทานของหลวงตา มีชาวบ้านแถบพุทธมณฑล มารับทานเป็นจำนวนมาก หลวงตาทำอย่างเงียบ ๆ ไม่มีการประกาศออกข่าวใด ๆ หลวงตาทำเช่นนี้ทุกวันที่อยู่สวนแสงธรรม (ภาพที่เห็นเป็นวันพิเศษ เป็นวันแจกทานใหญ่) และชาวบ้านกลุ่มนี้นี่เอง ที่เป็นเหตุให้ศิษย์หลวงตาต้องหาทางเข้ามายังพื้นที่ในวันนี้ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัย สืบความช่วยเหลือต่อจากองค์หลวงตา ผู้เป็นต้นแบบอันดีงามแห่งความเมตตาที่ไม่มีสิ้นสุด ทั้งหมดคือภาพในอดีต กลับมาสู่ปัจจุบัน สภาพบ้านของผู้ประสบอุทกภัย ที่แม้ไม่มีอุทกภัยก็ควรให้ความช่วยเหลือ การให้ทาน นอกจากเป็นการบรรเทาความทุกข์ร้อนจากความเป็นอยู่แล้ว ยังเป็นการเติมความชุ่มชื่นใจให้แก่กันและกัน ผลทานอันนี้ย่อมยังให้ผู้ทำทานได้พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น เช่นเดียวกับผู้รับทาน ที่ได้รับแบบอย่างเติมเต็มชีวิตให้ดีขึ้นด้วยทานทั้งความเป็นอยู่และจิตใจไม่มากก็น้อย เป็นผลจากความเป็นชาวพุทธของประชาชนไทยที่ถูกปลูกฝังต่อกันมา จากญาติผู้ใหญ่สู่ผู้น้อย จากครูบาอาจารย์สู่ศิษย์ อีกทั้งสถาบันกษัตริย์ผู้ทรงพระเมตตาเป็นแบบอย่างอันงามในการช่วยเหลือประชาชน ในภาพ ทรงทอดพระเนตรรายงานสถานการณ์น้ำท่วม ณ รพ.ศิริราชอย่างใส่พระทัย แม้ทรงมีพระชนมายุถึง 84 พรรษาและมีพระอาพาธ ก็ยังทรงเป็นห่วงประชาชน ทรงวางแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและพระราชทานถุงยังชีพไปยังจังหวัดที่ประสบอุทกภัย ความทรงจำในอดีตตั้งแต่เด็กจนโตได้ผุดขึ้น หลายสิบปีที่ผ่านมา ในยามบ้านเมืองทุกข์ร้อน หลายต่อหลายครั้งที่ได้เคยเห็นข่าวที่ทรงพระราชทานความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ต่าง ๆ แต่ก็น่าเสียดาย ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับข่าวมากนัก เพราะช่วงนั้นยังเป็นวัยที่ต้องการความสนุกสนาน จึงเพียงแต่รอรายการบันเทิงที่ต้องการรับชมเท่านั้น เวลาล่วงเลยมาหลายปีที่ได้เห็นจนชินตา แต่ก็ได้ซึมซับเข้ามาทีละเล็กละน้อย ซึ่งทั้งหมดเป็นไปอย่างไม่ตั้งใจ จากหนังสือพระราชกรณียกิจ ทำให้เราทราบว่า บางค่ำคืน เรากำลังหลับบนที่นอนแสนสบาย ขณะพระองค์กำลังทรงงานในหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางป่าเขา บางช่วงเวลา เราอาจกำลังทานอาหารจากภัตตาคารหรู ในขณะที่พระองค์กำลังเสวยพระกระยาหารอย่างเรียบง่าย เพื่อประทังพระวรกายให้ไปถึงที่หมายในถิ่นทุรกันดาร คลองลัดโพธิ์และประตูระบายน้ำที่ช่วยผันน้ำได้วันละ 60 ล้าน ลบ.เมตร และช่วยกันน้ำทะเลหนุนยามน้ำขึ้น จึงมีส่วนอย่างมากที่ทำให้คนกรุงเทพชั้นในไม่ถูกน้ำท่วม และช่วยพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมให้ระบายน้ำออกได้รวดเร็วขึ้น นี้เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริ (ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก ดร.เสรี ศุภราทิตย์ และเวปไซด์ผู้จัดการ) ที่ผ่านมา แม้จะรู้ในคุณของพระองค์อยู่บ้าง แต่หากจะว่าเพียงน้อยนิดก็ไม่ผิดนัก เพราะเมื่อได้ลงพื้นที่จริงเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทำให้ซาบซึ้งในคุณของพระองค์มากยิ่งกว่าเดิม เพราะทำให้ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ง่าย ต้องอาศัยความเสียสละ ทั้งเงินทอง เวลา กำลังกาย กำลังใจ ทนแดด ทนร้อน ทนหิว ทนกระหาย ทั้งต้องวางแผนและเตรียมพร้อมที่จะแก้ไขอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับทุกคนที่เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยจะได้พบและจะต้องฝ่าฟันให้ผ่านพ้นไป ซึ่งในหลวงทรงปฏิบัติเช่นนี้มาตลอดพระชนม์กาลที่ผ่านมา อีกทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ก็ได้สืบตามรอยบาทฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงประทับบนรถบรรทุกทหารเพื่อทรงเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย ท่านที่เคยนั่งรถทหารมาก่อนจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ไม่มีเก้าอี้นั่ง ต้องทนร้อนจากแสงแดด รถมีแรงสั่นสะเทือนสูงกว่ารถยนต์เพราะใช้แหนบ อีกทั้งมีหลุมขรุขระจากผิวจราจรที่ชำรุดจากน้ำท่วม ทำให้ยากลำบากต่อการเดินทางที่ต้องใช้เวลายาวนานกว่าปกติมาก เพราะน้ำท่วมทำให้ไม่สามารถเดินทางได้เร็วเช่นปกติ ต้องอดทนนานนับชั่วโมง และไม่มีห้องน้ำให้ใช้เพราะพื้นที่ถูกน้ำท่วม ทรงพระราชทานถุงยังชีพด้วยพระองค์เอง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จลงพื้นที่เพื่อพระราชทานถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทรงยืนยันพร้อมที่จะรับน้ำท่วมเช่นเดียวกับประชาชน
และเมื่อได้เข้าพบผู้ประสบภัยด้วยตนเอง จึงได้รู้ว่า เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากสำหรับความช่วยเหลือ และเมื่อได้น้อมนำเอาสิ่งที่ในหลวงทรงปฏิบัติต่อชาวไทยมาพิจารณา ทำให้เห็นคุณค่าที่หาที่เปรียบมิได้ ซึ่งเป็นเช่นอย่างที่หลวงตามหาบัวได้เคยเทศน์ไว้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 ว่า
"ส่วนรวมเป็นของสำคัญมากนะ พ่อกับแม่เป็นของสำคัญมาก ผู้ใหญ่ผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นผู้สำคัญ มีเมตตามากจึงเป็นผู้ใหญ่ได้ เป็นผู้น้อยไปเป็นใหญ่ใช้ไม่ได้เลย ผู้ใหญ่ต้องมีจิตใจกว้างขวาง มองกว้าง มองไกล ผู้น้อยมันมองคับแคบแต่ตัวของมันๆ ไม่ดี ผู้ใหญ่นี่มองออกนอกรอบไปหมด ต่างกันนะ" อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว คนเกิดมาแล้วพ่อแม่ตายหมด มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้ไม่ได้นะ สกุลใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้วสกุลนั้นไม่เจริญ สกุลใดที่มีความกว้างขวาง มีจิตใจอันกว้างขวาง พิจารณารอบคอบเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี" "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี นี้คือหัวใจของชาติไทยเรา ให้พากันเทิดทูน
โชคดีของคนไทยทุกคนที่ได้เกิดในแผ่นดินที่มีศาสนาและพระมหากษัตริย์อันแสนประเสริฐ (ในภาพ คุณป้ากับถุงพระราชทาน) จากภาพ เป็นช่วงเริ่มต้นของโครงการช่วยชาติฯ ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จกราบหลวงตาพร้อมพระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อร่วมช่วยชาติกับหลวงตา ในเย็นวันที่ 23 เมษายน 2541 ด้วยความเชื่อมั่นในศาสนา เป็นกำลังใจให้แก่คณะศิษย์เป็นที่ยิ่ง สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ช่วยเหลือประชาชนมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน เป็นแบบอย่างอันดีงามให้คนไทยมีนิสัยโอบอ้อมอารี อันเป็นสิ่งประสานชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น เป็นที่พึ่งทั้งชีวิตความเป็นอยู่และทั้งทางด้านจิตใจให้ชุ่มเย็น และที่สุดแล้ว บุญอันเกิดจากการช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็เป็นที่พึ่งไปถึงภพหน้า ขอเทิดทูนในคุณขององค์หลวงตา และ ทรงพระเจริญ... อุปนิสัยการแบ่งปันที่ได้สืบทอดมาจากเรื่องราวข้างต้น ได้ช่วย 2 สามีภรรยาคู่นี้ไว้ ในย่านคลองบางไผ่นี้ เป็นพื้นที่ที่มีชาวบ้านที่อัตคัตในความเป็นอยู่ ทราบจากเมื่อวานที่ได้มาที่นี่ว่า มีอีก 20 กว่าครอบครัวที่มีชีวิตอยู่ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอยู่ในคลองซอยที่เรือของเราไม่สามารถเข้าไปแจกได้ จึงได้ฝากให้ทั้ง 2 ท่านไปช่วยแจกให้กับเพื่อน ๆ ในย่านนี้ ในภาพ ทั้งสองกำลังลำเลียงอาหารลงเรือพายขนาดเล็ก ผู้ประสบอุทกภัยรายนี้ชอบกินอาหารเม็ด คงติดอยู่บนสะพานมานาน ท่าทางผอมโซ อาสาสมัครเลยต้องให้ไป 2 ถุง ที่อาศัยของชาวบ้านแถบนี้ มาตามเสียงโทรโข่ง อาสาสมัครที่ขยันขันแข็งหลายคน ทำให้การแจกของเสร็จเร็วขึ้น หมาที่นี่เมื่ออยู่ในเรือ จะสิ้นฤทธิ์และหางตกทุกตัว คุณลุง(ภาพบน)และคุณน้า หลังจากที่ได้รับอาหารแล้ว ก็มีกำลังใจพร้อมที่จะสู้ต่อไปในฐานะที่เป็นผู้รับน้ำแทนชาวกรุงเทพ ก็คงต้องช่วยกันจนกว่าน้ำจะลด
|
![]() ![]() ![]() ![]() |