
พุทธประวัติ ๓.พระมหาบุรุษเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา พระมหาบุรุษเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา เจ้าชายสิทธัตถะทรงม้ากัณฐกะ เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อทรงบรรพชา ในราตรีกาลวันเพ็ญแห่งอาสาฬมาส ก่อนพุทธศก 51 ปี คือในปีที่พระองค์มีพระชนมายุ 29 พรรษา ภายหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จประพาสอุทยาน และได้ทอดพระเนตรเห็นทูตทั้งสี่ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ แล้วเสด็จกลับพระราชวัง ได้ทรงสดับข่าวการประสูติพระโอรส ทรงเปล่งอุทานว่า ราหุโล ซึ่งแปลว่า ห่วง คล้อง แล้ว
เจ้าชายสิทธัตถะปลงพระเกศา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากวัง พร้อมด้วยนายฉันนะและม้ากัณฐกะ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อเสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระองค์ก็ทรงเปลื้องเครื่องทรงกษัตริย์ มอบให้นายฉันนะ และรับสั่งให้นำม้ากัณฐกะ กลับคืนสู่พระนคร เพื่อแจ้งข่าวแก่พระประยูรญาติและพระราชบิดา ก่อนจากไป นายฉันนะและม้ากัณฐกะ ได้แสดงความโศกเศร้าโสกาอาดูร ด้วยความจงรักภักดีและอาลัยรัก
พระมหาโคดมเข้าศึกษาที่สำนักอุทธกะรามบุตรดาบส พระมหาบุรุษได้ทรงศึกษาอยู่ในสำนักของอุทธกะรามบุตร ซึ่งอยู่ ณ แขวงเมืองพาราณสี จนสำเร็จวิชาชั้นสมาบัติแปด คือ รูปฌาณสี่และอรูปฌาณสี่ ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูงสุดของอุทธกะรามบุตร พระมหาบุรุษเห็นว่า ยังไม่ใช่ทางตรัสรู้โลกุตรธรรมชั้นสูงสุด จึงทรงอำลาอุทธกะรามบุตร เพื่อไปค้นคว้าเพื่อความบรรลุ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยลำพังพระองค์เองต่อไป
พระมหาโคดมทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา หลังจากที่พระองค์ได้เสด็จออกบรรพชาแล้ว ได้ทรงศึกษาค้นคว้า หาทางตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยวิธีการต่าง ๆ อยู่ถึง 6 พรรษา วิธีหนึ่งที่ทรงปฏิบัติคือการบำเพ็ญทุกกรกิริยา ทุกกรกิริยา เป็นการทรมานตนให้ลำบากด้วยประการต่าง ๆ เริ่มแต่ทรงกัดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระดาลด้วยพระชิวหา ผ่อนลมหายใจเข้าออกทีละน้อย เสวยพระกระยาหารแต่น้อยจนถึงไม่เสวยเลย จนร่างกายซูบผอม ยากที่ผู้ใดจะทำได้เท่าเทียมกับพระองค์ นับเป็นความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ โดยมีพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เป็นผู้อุปัฏฐากและเป็นพยาน แต่การปฏิบัติดังกล่าวไม่ใช่ทางแห่งความตรัสรู้ และพระองค์ได้ทรงเลิกในเวลาต่อมา
พระมหาโคดมทรงเลิกล้มทุกกรกิริยา พระมหาบุรุษทรงกระทำทุกกรกิริยา ณ เชิงเขาปราคโพธิ หรือ คงฺคสิริ อันตั้งอยู่เบื้องหน้าจากลุมพินี ประเทศเนปาล สู่พุทธคยาประเทศอินเดีย ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ครั้งนั้นปัญจวัคคีย์ คือ โกณทัญญะ ภัททิยะ วัปปะ มหานามะ และอัสสชิ ได้อยู่เฝ้าปฏิบัติพระองค์อยู่ ด้วยหวังว่าเมื่อพระมหาบุรุษ ผู้มีสรีระสมบูรณ์ ต้องตามมหาปุริสลักษณะพยากรณ์ศาสตร์ มีคติเป็นสอง คือ ถ้าอยู่เป็นฆราวาส จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าออกบวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ศุภนิมิตแห่งพิณสามสาย พระมหาบุรุษได้กระทำความเพียรอย่างแรงกล้าถึงขั้นอุกฤษฏ์ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ในชมพูทวีป ถึงวาระที่ 3 คือ อดพระกระยาหารจนพระวรกายซูบผอม ซวนเซแทบจะทรงพระกายอยู่ไม่ได้นั้น อุปมาญาณก็ได้เกิดขึ้นในมโนธาตุของพระองค์ว่า "อันความเพียร ถ้าย่อหย่อนก็เสียผลที่หวัง ถ้าเคร่งครัดเกินไปก็ให้ผลเสียหาย" ต่อเมื่อกระทำได้พอดีทั้งกายและใจจึงจะเกิดผลต่อผู้บำเพ็ญ ดุจพิณสามสาย ถ้าหย่อนนักมักไม่ดัง ถ้าตึงนักมักขาด ต่อเมื่อพอดีจึงจะให้เสียงนิ่มนวลฟังได้ไพเราะ
ที่มา: http://www.heritage.thaigov.net/religion/bio/index02.htm |