พุทธประวัติ ๘.พระยมกปาฏิหารย์ พระยกมปาฏิหารย์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระดำริจะกระทำพระพุทธปาฏิหารย์ ณ ต้นมะม่วง ที่พระองค์ประทาน เมล็ดให้นายคัณฑะปลูกรักษาไว้ ได้นามว่า คัณฑามพพฤกษ์ และด้วยพุทธานุภาพ ไม้มะม่วงนั้นก็เจริญงอกงาม บริบูรณ์ด้วยกิ่งก้านสาขา ใบและผลร่วงหล่นอยู่กลาดเกลื่อน ผู้คนทั้งหลายได้บริโภค เห็นมีรสหวานอร่อยก็ชวนกันเก็บกิน และพากันโกรธแค้นพวกเดียรถีย์นิครนถ์ ที่พากันโค่นต้นมะม่วงที่มีอยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมด เมื่อทราบว่าพระบรมศาสดา จะทรงกระทำปาฏิหารย์ที่ต้นมะม่วง ฝูงชนได้ใช้เมล็ดมะม่วงขว้างปาพวกเดียรถีย์ วลาหกเทพบุตรบันดาลให้ลมพายุพัดมณฑปกระจัดกระจายทำลายลง พระอาทิตย์เวลาเที่ยงก็ส่องแสงแผดกล้า ทำให้พวกนิครนถ์หิวกระหาย บอบช้ำลำบากพากันหนีไปทั่วทุกทิศทาง
พระพุทธเจ้าโปรดพระพุทธมารดา เมื่อพระนางสิริมหามายาเสด็จสวรรคตนั้น เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารจำเริญวัยได้เพียง 7 วัน เมื่อพระนางสวรรคตแล้ว ได้ไปอุบัติ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต
พระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์ ครั้นถึงวันอัสสยุชปุรณมี เพ็ญเดือน 11 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้ว จึงตรัสแก่ท้าวสักกะเทวราชว่า พระองค์จะเสด็จลงสู่มนุษย์โลกในวันนี้ ท้าวสักกะเทวราชจึงได้นฤมิตบันไดทิพย์ ทั้งสามลงจากเทวโลก คือบันไดทองอยู่ทางขวา บันไดเงินอยู่ทางซ้าย บันไดแก้วอยู่ท่ามกลาง และเชิงบันไดทั้งสาม ลงมาที่พื้นปฐพีใกล้เมืองสังกัสสะ หัวบันไดจดยอดเขาสิเนรุราช อันเป็นที่ตั้งของดาวดึงส์พิภพ บันไดทองเป็นที่ลงของหมู่เทพยดาที่ตามเสด็จ บันไดเงินเป็นที่ลงของหมู่พรหมทั้งหลาย บันไดแก้วเป็นที่เสด็จของพระพุทธองค์
พระพุทธเจ้าเปิดโลก เมื่อพระพุทธองค์เสด็จลงมาจากดาวดึงส์เทวโลก หลังจากได้ทรงเสด็จไปเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว พระองค์ได้เสด็จลงมายังมนุษยโลกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ณ เมืองสังกัสสะ พระองค์ได้แสดงอิทธิปาฏิหารย์ บรรดาลให้สรรพสัตว์มองเห็นกันและกัน ตลอดทั้งเทวโลก มนุษย์โลก และนรก นอกจากนั้นแม้แต่สัตว์ดิรัจฉานและคนตาบอด ก็สามารถมองเห็นพระพุทธองค์และบรรดาสัตว์เหล่านั้นต่างก็ ปรารถนาพุทธภูมิด้วยกันทั้งสิ้น
นางมาคันทิยากับพวกบริภาษพระพุทธองค์ ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับที่นครโกสัมพี พระองค์ได้ยังประชาชนให้เลื่อมใสในพระธรรมเทศนา มีอนุปุพฬิกถา เป็นต้น ในหมู่ผู้เลื่อมใสนั้นมีพระนางสามาวดี อัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน พร้อมบริวารเป็นจำนวนมาก ได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว ส่วนพระนางมาคันทิยา อัครมเหสีของพระเจ้าอุเทนอีกองค์หนึ่ง ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ไม่พอใจในอดีตคือ เมื่อพระนางยังเป็นสาวอยู่นั้น มาคันทิยพราหมณ์ผู้เป็นบิดาของพระนาง ได้ติดต่อเพื่อมอบพระนางให้เป็นพระชายา ของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ ไม่ยอมรับและทรงตรัสติเตียน ฉะนั้น เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมายังนครโกสัมพี และมีพระนางสามาวดี เป็นพุทธอุปัฏฐาก พระนางมาคันทิยาจึงได้ว่าจ้างชาวเมืองและให้ข้าทาษกรรมกร ให้มาบริภาษพระพุทธองค์ ด้วยวัตถุเป็นเครื่องบริภาษ สิบประการคือ เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นบ้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นวัว เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติของเจ้าไม่มี และเจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว
พระพุทธเจ้าทรงทรมาน อาฬวกยักษ์ให้กลับเป็นสัมมาทิษฐิ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เมืองอาฬวี พระเจ้าอาฬวีกษัตริย์ผู้ครองเมืองได้เสด็จออกล่าสัตว์ ถูกอาฬวกยักษ์จับพระองค์ได้และจะฆ่าเสีย พระองค์จึงทำสัญญากับยักษ์ว่า ถ้าปล่อยพระองค์ไป พระองค์จะส่งมนุษย์มาให้กินทุกวัน ยักษ์ก็ยอมตามนั้น นับแต่นั้นมา พระเจ้าอาฬวีก็ทรงสั่งให้นำนักโทษ ส่งไปให้เป็นอาหารของอาฬวกยักษ์ตามสัญญา เมื่อนักโทษหมดคุกแล้ว ก็ทรงสั่งให้เอาทองคำไปวางล่อไว้ เมื่อมีผู้มาหยิบทองคำก็ให้เจ้าหน้าที่จับกุม หาว่าขโมยของหลวง แล้วนำตัวส่งไปให้ยักษ์กิน ต่อมาเมื่อหาผู้ทำผิดไม่ได้ จึงทรงสั่งให้จับเด็กไปให้ยักษ์กิน บรรดาบิดามารดาต่างก็หวาดกลัว พากันหลบหนีไปซุกซ่อนในที่ต่างๆ ในที่สุดพระองค์ได้ให้ส่งราชโอรสของพระองค์ไปให้ยักษ์
ที่มา: http://www.heritage.thaigov.net/religion/bio/index07.htm |