
มงคลสมรส
เมื่อมโหสถมีอายุได้ 16 สมควรจะมีภรรยาได้แล้ว พระนางจึงทูลพระเจ้าวิเทหราช ๆ ก็ดำริจะจัดการมงคลสมรสให้มโหสถ แต่มโหสถขอตัวไปเลือกผู้ที่ถูกใจก่อนสัก 2-3 วันก่อน ถ้าหาได้จะมากลาบทูลให้ทรงทราบ ถ้าไม่ได้ก็จะกลับมาสมรสกับผู้ที่พระเจ้าวิเทหราชทรงเลือกให้ พระเจ้าวิเทหราชก็ยินยอม มโหสถจึงเดินทางออกไปนอกเมืองเพื่อเสวงหาสตรีที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะกัลยาณี
แต่ว่าที่มโหสถไปนั้นไปอย่างปลอมแปลงเป็นนายช่างซ่อมแซมเสื้อผ้า หาได้ไปอย่างมโหสถไม่ เขาเดินทางออกไปทางด้านอุดรของพระนคร ก็ไปถึงหมู่บ้านอุตตรวยมัชฌคาม
ในบ้านนั้นมีตระกูลเก่าตระกูลหนึ่ง แต่บัดนี้ตกยาก ยังคงเหลือแต่สามี ภรรยากับบุตรสาวอีกคนหนึ่งเท่านั้น บุตรของท่านทั้งสองสมบูรณ์สวยลักษณะของหญิงที่ดี มีผู้ประสงค์จะได้ไปเป็นแม่บ้านแม่เรือนมากด้วยกัน แต่นางก็หาไยดีกับใครไม่นางมีชื่อว่า อมร บิดาของนางต้องออกไปไถนาแต่เช้าทุกวัน นายช่างซ่อมเสื้อผ้ามโหสถ เดินทางนั้นผ่านมาก็พอดีพบกับนางซึ่งจะไปส่งข้าวบิดาซึ่งกำลังไถนาอยู่ มโหสถเห็นดำริว่า หญิงผู้นี้สวยงามจริงจังทั้งกิริยา ทั้งมารยาทก็สมเป็นกุลสตรีโดยแท้ พอเห็นก็เกิดความรัก นางอมรก็เช่นกัน พอเดินสวนกันเท่านั้นนางก็เกิดพอใจเสียแล้ว มโหสถคิดจะลองปัญญาของนางดู ว่านางจะรู้หรือไม่ จึงยืนอยู่ แล้วยื่นมือออกไปกำมือ นางอมรทราบความหมายออกทันทีว่าบุรุษนี้ถามเราว่า มีสามีหรือยัง นางก็หยุดยืนพร้อมกับแบมือซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกว่ายังไม่มี มโหสถเมื่อทราบความแล้ว จึงเดินไปใกล้นางพลางถามว่า
“ขอโทษเถิดนาง นางมีชื่อว่าอะไร” นางอมรตอบว่า
“สิ่งที่บ้าพเจ้าไม่มีในอดีต ปัจจุปัน และอนาคต นั้นแหละเป็นเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า” ดูเอาเถอะ คนมีปัญญาเขาเล่นสำนวนกันน่าดูเหมือนกัน พอพูดเท่านั้น มโหสถก็ทายได้ว่านางชื่อ “อมร” เพราะอมรแปลว่าไม่ตาย คำว่าไม่ตายไม่เคยมีใครมี ไม่ว่าเป็นกาลที่ล่วงมาแล้ว หรือกำลังเป็นอยู่ หรือในเบื้องหน้า จึงพูดกับนาง
“ชื่ออมรหรือ”
“นั่นแหละเป็นชื่อของข้าพเจ้า”
“แล้วนางจะเอาข้าวไปให้ใคร?”
“ให้บุพเทพ”
“ถ้าจะเอาไปให้บิดา”
“ถูกต้อง”
“ท่านทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“ทำสิ่ง 1 โดยส่วนสอง”
“คงไถนาล่ะสิ”
“ถูกต้อง”
“อยู่ที่ไหนล่ะ?”
“อยู่ที่คนไปแล้วไม่กลับ”
“อ๋อ ก็คงข้าง ๆ ป่าช้านั้นเอง”
“นางไปแล้วจะกลับหรือไม่กลับวันนี้”
“ถ้าข้าพเจ้าจะไม่กลับ ถ้าไม่มาข้าพเจ้ากลับ” มโหสถรู้ได้แน่นอนว่า บิดาของนางไถนาอยู่ใกล้ ๆ ป่าช้าแถบริมน้ำ เพราะถ้าน้ำขึ้นนางจะข้ามกลับมาไม่ได้จึงบอกได้ว่า ถ้าจะไม่กลับ ถ้าน้ำไม่ขึ้นนางก็จะข้ามกลับจึงบอกความนั้นแก่นาง นางก็รับว่าถูกต้อง นางอมรจึงเชื้อเชิญให้มโหสถบริโภคอาหาร มโหสถก็บริโภคตามคำเชิญ ซึ่งนางก็แบ่งอาหารให้มโหสถทานส่วนหนึ่ง
ปริศนาซึ่งไม่เหลือวิสัยของมโหสถแล้วนางก็รีบเอาอาหารไปส่งบิดา มโหสถก็เดินไปตามที่นางอมรบอก จนกระทั่งถึงบ้านซึ่งมีแต่มารดาของนางอยู่คนเดียว นางเชื้อเชิญมโหสถให้ปริโภคอาหาร แต่มโหสถกลับบอกว่า
“นางอมรให้ข้าพเจ้าทานแล้ว” นางก็รู้ทันทีว่าชายผู้นี้พอใจธิดาของนางจึงมาถึงบ้าน มโหสถรู้ว่าตระกูลนี้ยากจน จึงบอกว่า
“คุณแม่ ผมเป็นช่างซ่อมแซมเสื้อผ้า ใครมีเสื้อผ้าที่จะซ่อมแซมบ้าง ผมคิดราคาย่อมเยาจริง ๆ”
“เสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ น่ะมี แต่เงินที่จะจ้างไม่มี”
“เอามาเถอะคุณแม่ ผมจะทำเอง” มารดาของนางไปขนเสื้อผ้าขาด ๆ มาให้มโหสถซ่อมแซมพักเดียวเท่านนั้นก็เสร็จเรียบร้อย พวกชาวบ้านรู้ก็พากันนำเสื้อผ้ามาซ่อมแซมบ้าง พักเดียวมโหสถก็ทำเสร็จ ได้ค่าจ้าง 4.000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่มากโขอยู่
ตกตอนเย็นนางอมรก็แบกฟืนกลับมาบ้าน บิดาของนางกลับเย็นกว่านางอีก ในฐานะเป็นแขก มโหสถได้บริโภคอาหารก่อนคนอื่นแล้วบิดามารดาของนางจึงกินภายหลัง มโหสถพักอยู่ที่นั้น 2-3 วัน พยายามพินิจพิจารณาดูนางอมรว่าจะเป็นอย่างไร ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งเห็นความดีของนางอมรจึงคิดจะทดลองว่านางจะฉลาดเฉลียวอย่างไรบ้าง
“แม่อมร วันนี้เอาข้าวสารกึ่งทะนานหุงเป็นข้าวสวยต้มข้าวต้ม และทำขนมด้วยนะ” นางรับคำ แล้วเอาข้าวครึ่งขนานไปตำที่เป็นตัวดีต้มข้าวต้ม และเอาที่หักนิดหน่อยหุงเป็นข้าวสวย และปลายทำขนม เวลากิน แม้จะอร่อยมโหสถก็แกล้งเป็นว่าไม่อร่อย
“แย่จริง แม่อมรหุงข้างก็ไม่ได้ความ ยิ่งข้าวต้มก็เละเทะไปหมด ขนมก็ไม่น่ากิน เข้ามานี้สิ” นางก็เดินเข้ามา รู้ไหมว่ามโหสถทำอย่างไร เขาข้าวสวยและข้าวต้ม และขนม ผสมกันขยำ ๆ ดีแล้วเอามาทาตัวนางอมรตั้งแต่เท้าถึงศรีษะ
“ไปออกไปทีเดียว” โดยไม่ต่อล้อต่อเถียง นางอมรก็ออกไปโดยมิได้แสดงอาการโกรธเคือง เห็นว่านางไม่โกรธ มโหสถก็ยิ่งพอใจ จึงเรียกนางเข้ามา
“แม่อมร” พอเรียกนางก็เข้ามา เขาเอาผ้าเนื้อดีให้ 1 ผืน
“เอ้า เอาไปอาบน้ำอาบท่าผลัดเปลี่ยนเสีย แล้วจึงเข้ามา” พร้อมกับเอาเงินให้บิดามารดาของนางอมรรวมได้ถึง 8,000 บาท แล้วกล่าวว่า
"คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมขอรับอมรไปอยู่ด้วยกันล่ะ ขอคุณพ่อคุณแม่จงเป็นสุขเถิด” บิดามารดาของอมรก็ยินยอม พร้อมกับให้ศีลให้พรเป็นอันมาก
เมื่อทั้งสองออกเดินทางจากบ้านมาแล้ว มโหสถก็ให้ร่มและรองเท้าแก่นางอมร แต่แล้วมโหสถก็คิดสงสัย เพราะในขณะแดดร้อนจัดนางอมรหุบร่มเสียเดินตากแดดไป พอถึงใต่ร่มสิ นางกลับกางร่มและรองเท้าก็เหมือนกัน ในที่ดอนนางอมรก็ถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าไป ยามจะลุยน้ำนางจึงสวมรองเท้า เห็นอาการออกจะไม่เข้าที อดไม่ได้เลยต้องถาม นางตอบว่าอย่างไรรู้ไหม? นางตอบว่า
"ที่ข้าพเจ้ากางร่มภายไต้ต้นไม้ เพราะไม่ทราบว่าไม้แห้งไม้ผุอะไรจะหักตกลงมาประทุษร้ายร่างกายบ้าง และในขณะเดินบนดอนข้าพเจ้าไม่สวมรองเท้า เพราะเห็นว่าที่แจ้งอาจเห็นหนามได้ แต่ในน้ำที่ต้องสวมเพราะอาจมีภัยอันตรายต่าง ๆ ได้”
เมื่อไปถึงบ้าน มโหสถก็ยังไม่แสดงตนให้นางทราบว่าตนคือ มโหสถ จึงพานางไปฝากไว้ที่ประตู แล้วกระซิบบอกผู้เฝ้าประตูให้ดูไว้ แล้วตนก็เข้าไปภายในบ้าน พร้อมส่งคนในบ้านออกมาเกี้ยวพาราสีนาง แต่นางก็ไม่ยินดี จนสุดท้ายให้คนไปฉุดนางมาจากประตู นางมาเห็นมโหสถ ซึ่งแต่งตัวอย่างผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มิได้กำหนดให้แน่นอนก็จำไม่ได้ พอนางแลเห็นก็หัวเราะแล้วร้องไห้
“มโหสถจึงให้คนไปถามนางว่าเหตุใรนางจึงหัวเราะแล้วร้องไห้ นางก็บอกว่า
“ที่นางหัวเราะเพราะดีใจที่เห็นสมบัติของท่านมากมาย ท่านคงได้สั่งสมไว้แต่ชาติปางก่อนมามาก มาชาตินี้จึงได้ร่ำรวยนักหนา แต่ที่ข้าพเจ้าร้องไห้ก็เพราะเห็นว่าตายไปท่านจะตกนรก ก็เลยพลอยเสียใจด้วย” มโหสถทำเป็นโกรธนาง
“ปากดีนัก ชะ นางนี่ ชนิดนี้ต้องส่งโรงสีทำงานหนักเสียจึงจะสมควร” แล้วสั่งให้คนใช้พานางกลับไปที่เดิม พอตกตอนเย็นก็ปลอมตัวเป็นช่างชุนผ้าไปแรมคืนอยู่กับนางอีก
รุ่งขึ้นก็ได้กราบทูลให้พระนางอุทุมพรทราบว่าตนได้นางที่ตนพอใจแล้ว พระนางก็กราบทูลให้พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบ พระองค์ได้สั่งจัดการแต่งงานคนทั้งสองอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าภาพทุกประการ และนับแต่นั้นมาเจ้ามโหสถก็อยู่ร่วมกับภรรยาเป็นสุขสำราญ
ยังไม่จบเรื่องของเจ้ามโหสถ ยังมีต่ออีก...นักปราชญ์เฒ่าหัวงูทั้ง 4 อันมีเสนกะเป็นหัวหน้าเห็นมโหสถได้รับความเอ็นดูจากพระเจ้าแผ่นดินเกินหน้าพวกตนก็เกิดความไม่ชอบใจ และเห็นว่ามโหสถยังอยู่ตราบใดพวกตนก็คงยังด้อยความนิยมนับถืออยู่ตราบนั้น และอีกประการหนึ่งมันมีเมียสวยและฉลาดเสียด้วย ถ้าคนได้กับพวกเราคนใดคนหนึ่งก็จะดีจึงนัดประชุมปรึกษาหารือกันวางแผนทำลายมโหสถพร้อมกับจะได้นางอมรไว้ในครอบครองอีกด้วย
"พวกท่านทั้งสามมีความเห็นอย่างไรในการจะทำลายอ้ายเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้”
“ยังงี้มันต้องความคิดของอาจารย์ พวกกระผมไปไม่ตลอดหรอกครับ”
“เรามีความคิดอย่างหนึ่ง แต่ว่าพวกท่านจะเห็นด้วยหรือไม่”
“ลองบอกก่อนสิครับ ถ้าเป็นเรื่องไม่รุนแรงนัก พวกผมเป็นตกลงเลย”
“คือว่าเราทั้ง 4 ต้องลักพระราชสมบัติแล้วเอาไปไว้ที่บ้านเจ้ามโหสถ แล้วกล่าวหาว่ามันเป็นขโมยพระราชทรัพย์ เท่านั้นมันจะต้องตาย หรืออย่างน้อยก็ถูกเนรเทศ แล้วเมียมันจะไปไหนเสีย ก็ต้องมาเป็นเมียเรา เอ้ย...ไม่ใช่ คือว่าเป็นเมียของพวกเราไม่คนใดก็คนหนึ่ง ยังงี้ดีไหม?”
“ดีจริงครับ อาจารย์”
“ถ้าเช่นนั้นเรามาวางแผนกันเลย เราเองจะลักปิ่นปักผมของพระเจ้าแผ่นดิน ท่านปุกกุสะลักดอกไม้ทอง ท่านกามินทร์จงเอาผ้าคลุมบรรทมมา ส่วนท่านเทวินทร์จงเอาฉลองพระบาททองมา แล้วให้คนนำไปขายที่บ้านมัน แล้วทีหลังเราก็เอาคนไปค้นจับมันเลย”
ทุกคนลงความเห็นชอบด้วยกัน และเริ่มดำเนินตามแผนโจรกรรมที่วางไว้ เมื่อได้มาแล้วเสนกะก็วางอุบายต่อไปคือให้หญิงคนใช้ของตนคนหนึ่ง เอาเปรียงใส่หม้อไปขายให้คนในบ้านมโหสถ ถ้าคนอื่นซื้อไม่ขาย ถ้าคนในบ้านมโหสถล่ะก็ให้ขายไปเลยทั้งหม้อด้วย พร้อมกับเอาปิ่นทองใส่ก้นหม้อไปด้วย หญิงคนใช้ก็เอาไป “เปรียงแม่เอ๊ย อย่างดี ใหม่ สด ดีไม่มีสอง” แล้วแม่ค้าก็เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าบ้านมโหสถ
นางอมรอยู่ภายในบ้านมองเห็นความผิดปกติของชาวค้าชาวขาย ทำไมมาเดินวน ๆ เวียน ๆ อยู่แถวหน้าบ้านตนเช่นนี้คงเห็นจะมีอะไรผิดปกติเป็นแน่ จึงให้คนใช้หลบไปเสียก่อน นางเองออกไปเรียกคนขายเปรียงมา พอนางเผลอก็ล้วงมือลงไปในหม้อก็เจอปิ่นทอง แต่นางทำเป็นไม่รู้ เสทำเป็นถามโน่นถามนี่
“เปรียงของแม่ค้าดีจริงหรือเปล่าคะ”
“ดีแน่เชียวคะ เป็นของใหม่และสดจริง ๆ และเป็นของที่มาจากนมบริสุทธิ์จริง ๆ”
“แม่ค้าอยู่ไกลไหมคะ”
“ดิฉันอยู่บ้านท่านเสนกะคะ”
“แล้วทำไมมาขายของล่ะคะ”
“หารายได้พิเศษน่ะคะ” แม่ค้าตอบอย่างไม่ค่อยเต็มคำนัก
“ถ้าดีจริง ๆ ฉันจะซื้อไว้เอง”
“คะดิฉันจะคิดให้ถูก ๆ และขี้เกียจจะเอาหม้อกลับไปเลยแถมให้เสียด้วย” นางอมรก็จัดแจงจดเป็นลายลักษณ์อักษรไว้
รุ่งขึ้น ปุกกุสะให้นางทาสีเอาดอกไม้ใส่กระเช้ามาขายพร้อมกับเอาดอกไม้ทองใส่ก้นกระเช้ามาด้วย นางคนขายคนนั้น ก็แสดงอาการพิรุธคือมาเดินวนเวียนอยู่ที่บ้านของมโหสถ นางอมรเห็นเข้าก็นึกรู้ว่าคงมีอะไรอีกเป็นแน่ ก็เลยเรียกเข้ามาซึ้อ และสอบถามได้ความว่าอยู่บ้านปราชญ์ปุกุสะ นางได้พบดอกไม้ทองก็เก็บไว้ พร้อมจดเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วย
ส่วนกามินทร์ใช้ให้ทาสีในบ้านเอาผ้ามาขาย แต่ก็เอาผ้าคลุมบรรทมซ่อนใส่ข้างล่างไว้ด้วย ซึ่งนางอมรก็รู้ทันและได้สอบถามและก็จดไว้ด้วย เทวินทร์เอาข้าวโพดมาขาย พร้อมกับรองเท้าทองซ่อนใส่ในมัดข้าวโพดมาด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่พ้นการพิจารณาของนางอมรไปได้ ซึ่งนางก็ทำเป็นจดหมายหมายเหตุไว้อีก เมียดีเป็นศรีแก่ผัวเห็นจะเป็นอย่างนางอมรนี่เอง ไม่ปล่อยไปให้สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในบ้านรอดหูรอดตาไปได้ ถ้าปล่อยไปมโหสถเห็นทีจะแย่เหมือนกัน
เมื่อบัณฑิตทั้ง 4 ท่านส่งของเหล่านั้นไปเข้าบ้านมโหสถเสร็จแล้ว คราวนี้จะต้องถึงคราวที่จะติดตามของเหล่านั้นมาล่ะ ตาย ตายแน่ ๆ ทั้ง 4 คน คิดเหมือน ๆ กัน
ประวัติศาสตร์ของไทยเราเคยมีมาแล้ว ดำเนินนโยบายเหมือนเรื่องนี้ แต่เรื่องสำเร็จเพราะถูกคนใส่ความต้องหัวขาดโดยราชอาญา แม้ใครจะรู้ภายหลังก็ธุระไม่ใช่ สมัยแผ่นดินพระเพทราชา หลังจากเปลี่ยนแผ่นดินเสร็จเรียบร้อย เฉลิมฉลองยกย่องให้เกียรติแก่ผู้ช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว พระราชวังหลวง (นายจล คชสิทธิ์) ก็มีอันเป็นไปต้องราชอาญาฐานลักทรัพย์ คือถาดทอง ค้นของกลางได้ที่วังก็เป็นอันว่าตำเหน่งพระราชวังหลังต้องลงไปเสวยตำเหน่งในโปรโลก ดูเอาเถอะ พระราชวังหลังขโมยถาดทอง นี้เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ถ้าไม่มีลายลักษณ์อักษรก็คงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ทั้งสองเรื่องนี้ใครเอาอย่างใคร แต่เรื่องของมโหสถนี้เก่ากว่าประวัติศาสตร์ของเราแน่ ปราชญ์ทั้ง 4 คอยหาโอกาส
วันหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวกำลังสำราญพระทัยหลังจากออกขุนนางแล้ว ก็เสด็จมาสนทนากับนักปราชญ์ผู้ไม่อยากเห็นผู้อื่นดีกว่าตัว เสนกะได้ท่าจึงทูลถามว่า
“ขอเดชะ เดี๋ยวนี้พระองค์ไม่ทรงพระจุฑามณีเลยพระเจ้าค่ะ”
“ฮ้ะ ฮ้ะ ท่านนักปราชญ์สังเกตสำคัญจริง เราไม่ค่อยได้หยิบจุฑามณีมาใช้เลย ท่านอาจารย์เตือนขึ้นก็ดีแล้ว จะได้ใช้เสียที”
“เฮ้ย ใครอยู่ข้างในหยิบจุฑามณีมาให้ข้าที” ทรงหันไปร้องสั่งมหาดเล็ก แล้วก็หายเงียบไปสักพักใหญ่ มหาดเล็กคนหนึ่งก็ออกมากราบทูลว่า
“ขอเดชะ พระจุฑามณีไม่ได้อยู่ในที่พระเจ้าค่ะ พวกเก่าแก่คิดว่าพระองค์ทรงเอาออกมาเสียอีก”
“อุวะ ทรงอุทานด้วยความฉุนเฉียว
“ไปดูใหม่พร้อมทั้งรองเท้าและรองเท้าประจำตัวของข้าด้วย” เจ้ามหาดเล็กหายเข้าไปสักพักใหญ่ ก็กลับมาทูลว่า
“ท่านท้าวของที่ว่า ค้นหาจนทั่วแล้วก็ไม่พบ และยังมีของที่หายไปจากที่อื่นอีก 3 อย่างด้วยกัน”
“อะไรอีกล่ะ” ทรงถามสวนขึ้นมา
“มีที่รองพระบาท ดอกไม้ทอง และผ้าคลุมบรรทม พระเจ้าค่ะ”
“เอ ของในวังมันจะหายไปได้ยังไง ? ไปเรียกท้าวนางมา” มหาดเล็กก็ไปตามรับสั่ง
เมื่อท้าวนางมาแล้ว พระองค์ก็สอบถามแต่ก็ไม่ได้ความ อาจารย์เสนกะจึงกราบทูลขึ้นว่า
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ เรื่องนี้คนใกล้ชิดเห็นจะไม่มีใครกล้า เพราะของเหล่านั้นตนเป็นผู้รักษาอยู่เอง เห็นจะเป็นคนนอกมากกว่า เพราะคนเหล่านั้นที่เข้านอกออกในได้ก็ไม่เห็นจะเป็นคนนอกมากกว่า เพราะคนที่เข้านอกออกในได้ก็ไม่เห็นมีใครนอกจากพวกข้าพระองค์ 5 คน และข้าพระองค์เคยได้ยินคนใช้มันพูดว่า มโหสถมีอาภรณ์เหล่านี้ใช้ เดิมทีข้าพระองค์ไม่เชื่อ แต่เมื่อมารู้ว่าของเหล่านี้หายไป ข้าพระองค์ก็เลยเชื่อว่ามโหสถเอาไปพระเจ้าค่ะ มโหสถเห็นจะไม่ซื่อเสียแล้วพระเจ้าค่ะ”
สายของมโหสถซึ่งวางไว้ก็รีบนำความไปแจ้งแก่มโหสถถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มโหสถรีบแต่งตัวเข้าวัง เพื่อจะไปแก้ข้อกล่าวหาของอาจารย์ทั้ง 4 แต่เมื่อไปถึงกลับถูกพระราชาไม่ให้เข้าเฝ้า เลยต้องกลับ และเมื่อมโหสถกลับออกไป โดยไม่ต้องไต่สวนทวนความให้แน่ชัดก็สั่งจับมโหสถทันที เมื่อมโหสถรู้ข่าว เห็นไม่มีทางแก้ตัวได้เลย ต้องหลบไปเสียก่อน
การกระทำของพระเจ้าวิเทหราชเช่นนี้ ตรงกับคำของครูเทพได้ว่าไว้ว่า
ก็สมควรจะป่วนเปิง เพราะใช่เชิงตุลาการ
จะตัดสินจะตั้งศาล จะต้องโจทก์จำเลยสม
แม้ไต่สวนมิควรข้อง ก็ยกฟ้องนิรารมย์
จะชอบเชิงวิชาชิตชม เผชิญดุลวินิจฉัย ก็จริงอย่างว่า ถูกฟ้องก็เชื่อโดยไม่ได้ตรึงตรองให้แน่ชัดใครอยู่ใกล้พูดถูกใจ ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก ปั้นเข้าเป็นได้ความเรื่องนี้เคยมีมาแล้ว เอส ธมฺโม สนนฺตโน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องเคยนี้มาแล้ว ไม่ใช่ของใหม่ ไม่แปลกเขาทำกันยังงี้ทั้งนั้น
เมื่อราชบุรุษที่ไปจับกลับมากราบทูลว่า ไม่พบตัวมโหสถไม่ทราบว่าหายไปที่ไหน ก็รับสั่งให้จับให้ได้ ฝ่ายอาจารย์ทั้ง 4 ผู้เป็นมนุษย์ที่ไม่ยอมให้ใครดีกว่าตน รู้ว่ามโหสถหนีไปแล้วก็ดีใจ ก้างขวางคอหมดไปเสียได้ผงในตาหลุดไปเสียได้ดีใจจริง ๆ จึงปรึกษากัน
“เจ้ามโหสถหนี หากโผล่มาเป็นถูกจับ นับแต่นี้พวกเราก็สบาย ไม่มีใครจะมาชิงดีชิงเด่นกับพวกเราทั้ง 4 คน อีกประการหนึ่ง เมียเจ้ามโหสถมันสวยกว่ายายแก่ของเราเป็นไหน ๆ พวกเราลองไปเกลี้ยกล่อมดู บางทีนางจะเห็นดีด้วยก็ได้”
“แต่ใครจะไปก่อนล่ะ” ก็หาคนไปไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างจะไปโดยไม่ให้ใครล่วงรู้เลย เป็นอันว่าตกลงกันไม่ได้ แต่ทั้ง 4 คน ก็ส่งของกำนัลไปให้นางอมร ซึ่งนางก็รู้เท่าทันจึงนัดหมายให้อาจารย์ทั้ง 4 มาคนละเวลา โดยไม่ให้พบกันได้ แล้วนางก็จัดแจงทำกระดานหกที่หลุมส้วม
คอยดูต่อไปว่านางอมรจะจัดการกับตาเฒ่าหัวงูที่อยากมีเมียสาวสวยอย่างไรบ้าง เมื่อนัดให้อาจารย์เสนกะมาหาในยามค่ำ แล้วนางก็จัดแจงแต่งตัวไว้รับหน้าอย่างงามพริ้งทีเดียว พออาจารย์เสนกะโผล่เข้ามาพบ
“แม่เจ้าโว้ย..นางฟ้าหรือไร สวยงามหยดย้อยอย่างนี้ เดี๋ยวก็คงจะรู้ดีแน่” แต่นางอมรกลับบอกให้ไปอาบน้ำอาบท่าให้ดีเสียก่อนจะได้คุยกันอย่างสบาย แล้วก็ให้สาวใช้พาอาจารย์เสนกะไปเข้าห้องน้ำ นางสาวใช้ก็พาไปที่ทำกระดานหกไว้ พออาจารย์เสนกะก้าวเข้าไปกระดานก็หก อาจารย์เสนกะก็หล่นลงไปในหลุมอุจจาระทั้งหัวหูดูไม่ได้ เต็มไปด้วยอุจจาระทั้งนั้นจะขึ้นก็ไม่ได้ แลดูไปทางไหนก็มืดไปหมด ต้องเกาะข้างหลุมรอความตาย
จากนั้นอีกราวชั่วโมง ปุกกุสะซึ่งได้รับการนัดหมายจากนางอมรก็มา แล้วก็ตกลงไปในหลุมคูด้วยประการเดียวกัน ก็เป็นอันว่าบรรดาอาจารย์เฒ่าหัวงูทั้ง 4 ไม่มีใครรอดไปจากหลุมที่เต็มไปด้วยอุจจาระเลย
พอรุ่งเช้านางอมรก็ให้คนไปเปิดกระดานหก จับเอาตัวทั้ง 4 ซึ่งทอดอาลัยในตนแล้วขึ้นมา พอเห็นแสงสว่าง เหมือนเทวดามาโปรด นางอมรให้คนพาไปอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว บังคับให้คนโกนหัวเสียหมดทั้ง 4 คน ยังไม่พอเท่านั้น นางอมรยังให้ทำอีก เพื่อให้สมแค้น เพราะมโหสถถูกอาจารย์เหล่านี้ทำเล่ห์กล จนต้องหนีไปจากบ้าน นางให้สาวใช้กวนแป้งเปียก แล้วเอามาชะโลมตัวอาจารย์เจ้าเล่ห์ทั้ง 4 ซึ่งได้แต่มองตากันปริบ ๆ โดยไม่รู้จะพูดจาอย่างไรถูกอายเสียตนหน้าชาแทบจะแทรกแผ่นดินหนี พอชะโลมเสร็จแล้วก็ให้เอานุ่นมาโรยทั่วตัว แลดูขาวโพลนไปหมดด้วยกันทั้ง 4 คน
มาถึงตอนนี้ทำให้นึกถึงเรื่องรามเกียรติ์ตอนหนุมานเผากรุงลงกา ทศกัณฐ์สั่งให้เสนาเอาหนุมานไปคลุกนุ่นจนขาวไปทั่วทั้งตัวแล้วก็จุดไฟ แล้วเป็นไงรู้ไหมกรุงลงกาวอดไปทั้งเมือง แต่นี้ไม่ถึงกับมิถิลาวอด
เท่านั้นยังไม่พอ นางให้เอากระชุ แล้วเอาเสื่อลำแพนหุ้ม มัดด้วยเชือกให้แน่น เสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็เอาสิ่งของที่รับซื้อไว้ พร้อมกับให้คนแบกอาจารย์ทั้ง 4 ตามไปในพระราชวัง พอเป็นเวลาเสด็จออกขุนนาง นางอมรเข้าไปถวายบังคมแล้วกราบทูล
“ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมฉันได้อาศัยพระบารมีของพระองค์อยู่เป็นสุขนึกถึงพระคุณ จึงนำเอาเครื่องบรรณาการมาถวายพระองค์” นางอมรก็ให้คนไปยกกระชุ ซึ่งหุ้มด้วยเสื่อลำแพนเข้าไปถวาย
“อะไรล่ะ แม่อมร?”
“ขอได้โปรดทอดพระเนตรเองเถิดเพคะ” ก็รับสั่งให้ราชบุรุษเปิดขึ้น ครั้งแรกมองไปคล้ายลิงเผือกแต่ดู ๆ ไปก็ไม่ใช่ ครั้งแรกจะไม่ได้ว่าเป็นใคร ภายหลังพิจารณาไปก็จำได้ว่าเป็นอาจารย์ทั้ง 4 ถึงกับทรงนิ่งอึ้ง
“นี่มันอะไรกัน? " ทรงถามตัวเองในพระทัย ส่วนขุนนางและราชบริพารที่เฝ้าอยู่ พอเห็นว่าเป็นอาจารย์ทั้ง 4 ก็อดขำไม่ได้ ปล่อยกันเสียครืนใหญ่ ลืมคิดไปว่าหน้าพระที่นั่งไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็ได้ถวายสิ่งต่าง ๆ ที่อาจารย์เหล่านั้นให้คนไปขายให้นาง พร้อมทั้งหลักฐานที่นางได้บันทึกไว้ถวายให้ทอดพระเนตร
ถึงเช่นนั้นพระเจ้าวิเทหราชก็หาได้จัดการอย่างไรไม่กลับให้อาจารย์ทั้ง 4 กลับบ้านได้ตามสบาย นี่คือความอยุติธรรมที่บุคคลจะได้รับจากผู้ใหญ่เหนือตนที่มีแต่อารมณ์เท่านั้น มโหสถตกอยู่ในสภาพมีปากก็เหมือนไม่มี พูดไม่ได้ โลกหนอโลกเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้ายังมีคนเช่นนี้อยู่เชื่อเถอะว่าความอยุติธรรมเช่นนี้ยังมีอยู่แน่ ๆ
หลังจากนั้นเทพเจ้าผู้รักษากัมพูฉัตรเห็นว่าจะไปกันใหญ่บ้านเมืองจะไม่มีขื่อมีแป เพราะคนสอพลอมีมาก ผิดก็ไม่ผิด ส่วนคนไม่ผิดบังคับให้ผิด คืนหนึ่งจึงปรากฎตัวในที่บรรทมของพระเจ้าวิเทหราช ตรัสถามปัญหา 4 ข้อ
ข้อ 1 ว่า ผู้ที่ตบตีผู้อื่นด้วยมือด้วยเท้า ตบปากผู้อื่น ผู้นั้นยิ่งเป็นที่รักของผู้ที่ถูกตี คือใคร?”
ข้อ 2 ว่า ผู้ที่ด่าว่าผู้อื่น แต่ไม่อยากให้เขาเป็นไปตามนั้น และคนถูกเป็นคนที่รักของคนด่า คือใคร?”
ข้อ 3 ว่า ผู้ที่โกหกกันเหลาะเเหละไม่เป็นความจริงแต่คนโกหกนั้นแหละเป็นที่รักของกันและกัน คือใคร?”
ข้อ 4 ว่า ผู้ที่เอาพัสดุสิ่งของ ข้าวน้ำผ้าผ่อนไป แต่ผู้นั้นกลับเป็นผู้ที่ชอบใจของเจ้าของพัสดุเหล่านั้น ผู้นั้นคือใคร?” รวมเป็นปัญหา 4 ข้อด้วยกัน
ถ้าพระเจ้าวิเทหราชตอบไม่ได้ตายแน่ ๆ ทีเดียว พระเจ้าวิเมหราชทรงกลัวเทวดานั้นมาก รุ่งเช้าจึงเรียกนักปราชญ์ทั้ง 4 มา แต่ทั้ง 4 ท่านกลับตอบมาว่า
"ขอเดชะ ข้าพระองค์ออกจากบ้านไม่ได้ เพราะถูกโกนศรีษะเป็นที่น่าอับอายขายหน้าแก่ประชาชน” พระเจ้าวิเทหราชจึงทรงส่งหมวก (หมวกแขก) ไปให้ใส่เข้ามา นักปราชญ์ทั้ง 4 จึงเข้ามาได้ เมื่อท่านปราชญ์ทั้ง 4 เข้ามาแล้วจึงตรัสถามปัญหา 4 ข้อนั้น ทั้ง 4 ก็จนปัญญาไม่สามารถจะตอบได้ เพิ่มความปวดเศียรให้แก่พระเจ้าวิเทหราชเป็นอเนกประการ
ตกกลางคืนเทวดาก็มาออกมาซักถามหาคำตอบว่าพระองค์ตอบได้หรือยัง ก็ตรัสตอบไม่ได้ แถมนักปราชญ์ประจำราชสำนักก็ตอบไม่ได้อีก
“พระองค์น่ะ มีเพชรใช้กลับไปเห็นพลอยดีกว่า ก็ช่วยไม่ได้ เรื่องนี้มันต้องมโหสถ แต่ถ้าพระองค์ยังตอบไม่ได้ที่สุดคือ ความตาย” พอรุ่งเช้า ก็รับสั่งให้ออกค้นหามโหสถทั้ง 4 ทิศ พร้อมกับสั่งไปด้วยว่า ยกโทษให้หมดทุกอย่าง ให้มโหสถรีบเข้ามาเฝ้าเร็วที่สุด พวกราชบุรุษก็ออกตามไปพบมโหสถที่โรงช่างหม้อที่หมู่บ้านทิศใต้ มีเนื้อตัวเปียกมอมไปด้วยดินที่ปั้นหม้อ เขากำลังทำหน้าที่เป็นคนใช้ ซึ่งนายช่างปั้นหม้อได้ใช้ให้เขาทำอยู่พอพบราชบุรุษเข้าไปกราบไหว้แล้วบอกให้ทราบถึงว่าพระราชายกโทษให้แล้ว ขอให้รีบกลับไปเข้าเฝ้า
มโหสถพอเห็นราชบุรุษก็รู้ว่าหมดเคราะห์แล้ว จึงรีบทิ้งที่ตนกำลังกินอยู่ออกเดินทางมาเฝ้า เมื่อพระเจ้าวิเทหราชทราบว่า มโหสถมาเฝ้าทั้งที่กำลังมีเนื้อตัวที่เปื้อนเปรอะดินทรายเต็มไปหมด จึงสั่งให้ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาเฝ้า มโหสถก็ทำตามรับสั่ง เมื่อเข้ามาเฝ้า
พระเจ้าวิเทหราชจึงได้ตรัสเล่าถึงปัญหาของเทวดา 4 ข้อ ให้ฟัง และถามท้ายว่าถ้าพระองค์ตอบไม่ได้ก็จะสิ้นพระชนม์ มโหสถได้ฟังก็หัวเราะ
“ง่ายพระเจ้าค่ะ”
“พิโธ่ เราเป็นทุกข์เป็นร้อนจะตายไป แม้ท่านปราชญ์ทั้ง 4 ผู้เก่งกล้าสามารถก็ยังไม่สามารถจะตอบได้ยังมาพูดเป็นเล่นเสียอีก”
“มิได้พระเจ้าค่ะ ไม่เป็นเล่น กระหม่อมทูลจริง ๆ ว่าปัญหานี้ง่ายมาก”
“เออ ถ้าอย่างนั้นก็โล่งใจ พ่อช่วยแก้ดูทีว่าอะไรเป็นอะไร”
"ขอเดชะ ปัญหาข้อมที่ 1 ที่ว่า ผู้ที่ตบตีผู้อื่นแต่ผู้ถูกตีกลับรักผู้ตีนั้น ก็ได้แก่เด็กน้อยกับมารดา บิดา เด็กน้อยแม้จะหยิกทึ่งตบตีมารดาบิดาอย่างไร มารดาบิดากลับรักเด็กนั้นมายิ่งขึ้น” พอแก้ปัญหาจบเทวดาก็ให้สาธุการ
“ดีจริงพ่อมโหสถ” จึงแก้ข้อ 2 ต่อไป
“ข้อที่ 2 ที่ว่า ผู้ที่ด่าผู้อื่นแต่ใจไม่คิดร้าย และผู้ถูกด่าก็เป็นที่รักของผู้ด่า ก็ได้แก่มารดาบิดาและบุตรพระเจ้าค่ะ เพราะเวลาบุตรขัดใจ มารดาบิดาจะด่าว่า แต่ในใจนั้นมิได้คิดร้ายไปด้วยเลย เพราะความรักแท้ ๆ จึงด่าว่าต่าง ๆ นานา”
“ดีจริงพ่อมโหสถ” เทวดาให้สาธุการอีก
"ข้อที่ 3 ที่ว่า ผู้ที่โกหกเหลอะแหละไม่เป็นความจริง แต่คนโกหกนั้นกับเป็นที่รักของกันและกัน ก็ได้แก่สามีภรรยาที่อยู่ในที่รโหฐาน ก็เย้าหยอกกันด้วยถ้อยคำที่ไม่จริง ซึ่งต่างก็รู้กันว่าไม่จริง แต่ก็โกหกกันและรักกัน” พระเจ้าวิเทหราชถึงกับทรงพระสรวล
“ง่ายจริงนะพ่อมโหสถ ทีเราเองคิดหัวแทบแตกแต่แก้ไม่ได้เลย” เทวดาก็ให้สาฑุการอีก
“ส่วนข้อที่ 4 ที่ว่า ผู้ที่เอาพัสดุสิ่งของข้าวปลาผ้าผ่อนไป ผู้นั้นกลับเป็นที่รักของเจ้าของเสียอีก ก็ได้แก่สมณชีพราหมณ์ผู้มารับไทยทานจากสัตบุรุษซึ่งถวาย แม้จะรับไปสักเท่าไดก้ไม่โมโหโกรธเคือง มีแต่จะถวายมากขึ้นเสียอีก”
“ดีจริง” เทวดาให้สาธุการ
และนับตั้งแค่นั้นมามโหสถก็หมดไปจากความระแวงของพระเจ้าวิเทหราชจะแย่งสมบัติ จึงพระราชทานเงินทองและเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เจ้ามโหสถอีกมากทาย ความริษยาบังเกิดขึ้นแก่อาจารย์ทั้ง 4 เป็นอันมาก เขาได้ปรึกษาหารือกันถึงการที่จะกำจัดเจ้ามโหสถ เมื่อคิดขึ้นได้จึงไปกราบทูลพระเจ้าวิเทหราช
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ผู้ที่มีจิตใจจะคิดการใหญ่อยู่เสมอแล้ว เขาจะไม่ยอมบอกความลับของตนแก่ใครเลย พวกข้าพระองค์พิจจรณาดูเจ้ามโหสถแล้วเห็นว่าไม่น่าไว้วางใจเสียแล้ว เพราะเข้าไม่ยอมบอกบอกความลับของเข้าแก่ใคร หากพระองค์ไม่เชื่อโปรดสอบถามดูก็จะได้ความจริง” พระเจ้าวิเทหราชไม่อยากจะเชื่อ แต่เห็นว่าพระองค์พอวินิจฉัยได้ จึงคิดลองดูก่อนว่าจะเหมือนถ้อยคำของอาจารย์ทั้ง 4 หรือไม่
ในเวลาเสด็จออกขุนนาง จึงปราาถเหตุอันควรไว้ใจและมิควรจะไว้ใจ และตรัสถามปราชญ์ทั้ง 4 ท่านเป็นลำดับกัน
“ท่านอาจารย์เป็นว่าควรจะบอกความลับแก่ใคร?”
“ข้าพระองค์เห็นควรบอกแก่มิตร เพราะแม้นักปราชญ์แต่ปางก่อนก็ให้บอกมิตร”
“ท่านปุกกุสะเล่า”
“ข้าพระองค์เห็นว่าควรบอกแก่พี่ชายน้องชาย”
“ท่านกามินทร์เล่า เห็นควรบอกแก่ใคร”
“ข้าพระองค์เห็นว่าควรบอกแก่บุตร”
“ท่านเทวินทร์เล่า”
“ข้าพระองค์ถือภาษิตของปราชญ์แต่โบราณว่า มิตรในเรือนคือแม่ของเรา จึงควรบอกความลับแก่มารดาของตน” แล้วจึงทรงหันไปทางมโหสถ พรางตรัสถามว่า
“พ่อมโหสถเล่า เห็นว่าอย่างไร ความลับควรจะบอกแก่ใครดี” ด้วยความซื่อมิได้คิดว่ามีเล่ห์กลอันใด มโหสถจึงทูลตอบออกไปว่า
“ขอเดชะ สำหรับความคิดของข้าพระองค์แล้ว เห็นว่าความลับของตนไม่ควรจะบอกใครทั้งหมดพระเจ้าค่ะ จนกว่าความคิดนั้นสำเร็จแล้วจึงค่อยบอกกับคนทั้งปวง” พระเจ้าวิเทหราชได้ฟังก็ทรงเสียพระทัยมากว่าเจ้ามโหสถจะเป็นอย่างนักปราชญ์ทั้ง 4 บอกเสียเป็นแน่ ภาษิตที่ว่า
“อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว” ยังเป็นความจริงที่ใช้ได้อยู่ทุกกาลสมัย เมื่อจิตใจคิดอย่างนั้น สีหน้าก็เสดงปรากฎชัดออกมาเสนกะมองพระราชา และพระราชาก็มองเสนกะ มโหสถเมื่อตอบออกไปแล้วเห็นพระราชาและเสนกะทำพิรุษก็ชักเอะใจ
“คงมีอะไรอีกแล้ว”
พอดีเป็นเวลาเย็นแล้ว มโหสถจึงกราบถวายบังคมลาไปบ้าน ในขณะกลับเดินคิดถึงเรื่องปราชญ์ทั้ง 4 ตอบพระราชาคิดอยากจะรู้ และทราบว่าทั้ง 4 ท่านเมื่อออกมาจากที่เฝ้าก็มักจะชอบมานั่งคุยกันที่ข้างประตูซึ่งมีถังข้าวคว่ำไว้ และปราชญ์ทั้ง 4 ก็มานั่งคุยกันบนก้นถังเสมอ ๆ จึงรีบไปยังที่นั้น และตะแคงถังข้าวขึ้นแล้วตนก็เข้าไปนั่งใต้ถังข้าวนั้น พร้อมกับสั่งบังคับให้คนสนิทไว้ว่าเมื่อเขาเข้าไปเรียบร้อยแล้วก็ให้หลบไปอยู่เสียให้ห่าง ๆ ต่อเมื่อเห็นอาจารย์ทั้ง 4 กลับออกไปแล้วจึงค่อยมาตะแคงถังข้าวให้มโหสถออกมา มโหสถเข้าไปอยู่ใต้ถังข้าวไม่นานนัก อาจารย์เจ้าเล่ห์ทั้ง 4 ออกจากที่เฝ้าแล้วก็มาประชุมกันอยู่ที่นั้น เสนกะจึงได้ถามอาจารย์ทั้ง 3 ว่า ที่ท่านบอกกับพระเจ้าอยู่หัวว่าควรบอกความลับของตนแก่คนนั้น ท่านได้รับบอกเล่ามาจากผู้ใดหรือไม่ว่าท่านได้เคยประพฤติมาแล้ว อาจารย์ทั้ง 3 ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ท่านอาจารย์ ความลับเหล่านั้นพวกเราได้ปฎิบัติกันมาแล้ว และถ้าหากว่าพระราชารู้เข้าพวกเราจะพากันสิ้นชีวิตไปตาม ๆ กัน”
“ใครมันจะรู้นะ ก็มีแต่พวกเรา 4 คนเท่านั้นที่มา”
“ว่าไม่ได้นา มโหสถอาจจะมาอยู่ใต้ถังนี้ก็ได้” เสนกะพูดเล่นเป็นเชิงเย้าอาจารย์ทั้ง 3 พร้อมกับเอานิ้วมือเคาะถังข้าว
“คนเมายศอย่างเจ้ามโหสถ คงไม่ทำอย่างนี้เป็นแน่” เสนกะจึงเอ่ยขึ้น
“ความลับของข้าพเจ้าถ้าใครรู้เข้าข้าก็มีหวังเป็นตายแน่”
“บอกมาเถอะน่า ไม่มีใครเลยนี่นา”
“พวกเราจำหญิงโสเภณีที่ชื่อสิริมาได้หรือเปล่า”
“อ๋อ แม่คนสวยที่ติดจะหยิ่ง ยังแถมเลือกรับแขกน่ะเรอะ” เออ คนนั้นล่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เดี๋ยวนี้พวกท่านเห็นนางบ้างหรือเปล่า?”
“เออ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยพบเห็นนางเลย หรือจะถูกเนรเทศไปทางไหนเสียแล้ว
“ไม่มีคนเนรเทศนางหรอก”
“แล้วนางหายไปไหนเสียเล่า”
“ก็เรานี่แหละที่ทำให้นางหายไป”
“ท่านอาจารย์ทำยังไงล่ะ”
“คือว่าวันหนึ่งเราให้คนไปรับนางมาที่สวนแห่งหนึ่งนางแต่งตัวมาเสียสวยทีเดียว เราเกิดไปชอบใจจี้ห้อยคอของนางเข้า เมื่อร่วมกับนางเสร็จแล้วเราเลยพลั้งมือบีบคอนางเสียตาย แล้วแถมเอาศพฝังเสียด้วย เครื่องประดับของนางเรายังเอามาห่อเก็บไว้ในเรือนไม่กล้าเอาออกมาใช้ เพราะกลัวคนจำได้ นางเลยหายสาปสูญไป และเราได้บอกความลับนี้แก่สหายคนหนึ่ง เราจึงได้ทูลพระเจ้าอยู่หัวว่าควรบอกความลับของตนแก่เพื่อน เรื่องนี้ถ้าพระเจ้าอยู่หัวรู้เข้า เราเป็นถูกประหารแน่ ๆ”
“ข้าพเจ้าก็เหมือนกับท่านอาจารย์”
“เป็นอย่างไรลองเล่าไปทีรึ”
“ข้าพเจ้าเป็นโรคเรื้อนที่ขา ไม่มีใครรู้เลยนอกจากน้องชายของข้าพเจ้า เขาได้ทายาทำความสะอาดแผลและเอาผ้าพันแผลไว้ และท่านคงสังเกตเห็นแล้วว่าพระราชาโปรดข้าพเจ้ามาก บางทีถึงกับเอาเศียรพาดตักข้าพเจ้าบ่อย ๆ ถ้าพระราชารู้ข้าพเจ้าคงตายแน่ ๆ คนอื่นไม่มีใครรู้นอกจากข้าพเจ้าคนเดียวข้าพเจ้าจึงทูลว่าควรบอกความลับแก่น้องชาย” “ท่านกามินทร์ล่ะ มีอะไรจึงทำให้ท่านทูลพระราชาอย่างนั้น”
"สำหรับข้าพเจ้าน่ะรึ มีโรคประจำตัวอยู่อย่างหนึ่ง เวลาเป็นแล้วจะร้องเหมือนอย่างกับหมาบ้า บุตรข้าพเจ้ารู้ พอถึงเวลาข้าพเจ้าเป็นซึ่งจะต้องเป็นในแรม 8 ค่ำ ก็จัดหามโหรสพมาเล่นที่หน้าบ้าน ปิดเสียงข้าพเจ้าที่ร้องได้ ท่านทั้งหลายคงเห็นแล้วว่าที่หน้าบ้านข้าพเจ้ามีการเล่นทุกเดือน นี่เป็นเพราะเหตุนี้ และความนี้ไม่มีใครรู้เลยนอกจากบุตรชายคนเดียวของข้าพระเจ้า จึงได้ทูลพระราชาไปอย่างนั้น”
“แล้วท่านเทวินทร์ล่ะ”
“สำหรับข้าพระเจ้า ถ้าความนี้ทราบถึงพระกรรณพระเจ้าอยู่หัวแล้วเป็นตายแน่นอน”
“เพราะอะไรล่ะ?”
“เพราะพระราชทรัพย์ซึ่งเป็นของวิเศษน่ะสิ”
“เอ้า ลองเล่าไปดูทีรึ”
“สมัยพระเจ้ากุสราชได้รับแก้ววิเศษไว้ดวงหนึ่งจากพระอินทร์ พอใกล้จะสิ้นรัชกาลข้าพเจ้าได้โอกาสก็เลยลักเอาแก้วดวงนี้ไปฝากมารดาไว้ แล้วอาศัยแก้วดวงนี้จะทำอะไรก็ประกอบด้วยสิริเช่นการจะตรัส พระเจ้าอยู่หัวจะต้องตรัสกับข้าพระเจ้าก่อนคนอื่น และพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเนือง ๆ ก็เพราะแก้วดวงนี้ ข้าพเจ้าจึงทูลแก่พระราชาให้บอกความลับแก่มารดา” นักปราชญ์เจ้าเล่ห์ทั้ง 4 จึงเอ่ยสรุปว่า
“แล้วพวกเรารู้กันแล้วอย่าประมาท ช่วยกันฆ่าอ้ายเจ้ามโหสถเสียให้ได้” แล้วต่างก็พากันแยกย้ายกลับไป มโหสถก็ออกมาจากถังข้าวกลับบ้านไป และสั่งคนให้ไปคอยฟังข่าวจากพระนางอุทุมพร
พระเจ้าวิเทหราชตั้งแต่ได้ทรงรับสั่งให้อาจารย์ทั้ง 4 ก็รับสั่งให้ฆ่ามโหสถเสียแลย เมื่อทรงคำนึงว่า มโหสถตั้งแต่เข้ามาอยู่ก็ยังไม่เคยปรากฎว่าทำร้ายพระองค์เลย แม้จะมีข่าวอย่างโน้นอย่างนี้ก็เป็นเพราะผู้อื่นทั้งนั้น เพียงอาจารย์ทั้ง 4 บอกเล่าเราก็ทิ้งคติโบราณที่ว่า
จะตัดสินจะตั้งศาล จะต้องโจทก์จำเลยสม
แม้ไต่สวนมิควรข้อง ก็ยกฟ้องนิรารมย์
จะชอบเชิงวิชิตชม เผชิญดุลวินิจฉัย เมื่อทรงรำพึงทำให้ไม่สบายพระทัย เราออกจะหูเบามากทีเดียว ใครฟ้องอย่างไรก็เชื่อมันตะบันเลย เออ มโหสถเห็นจะตายเสียแล้วเป็นแน่ เ้ลยทำให้พระองค์ทรงบรรทมไม่หลับกระสับกระส่ายไปมา นี่ถ้าผู้ใหญ่เป็นอย่างนี้บ้างแล้ว ความยุติธรรมทั้งหลายก็คงจะดีไม่น้อย เว้นเสียแต่จะทิ้งพรหมวิหารให้กลายเป็นฝังอยู่ในตำราโลกปัจจุบันเราเท่านั้น พระนางอุทุมพรเห็นพระสวามีพลิกกระสับกระส่ายจึงทูลถามถึงสาเหตุที่ไม่สบายพระทัย พระองค์ก็ตรัสบอกที่ได้ข่าวมาว่า มโหสถจะคิดกบฎจึงได้สั่งให้ประหารชีวิตเสียแล้ว พระนางถึงกับตกพระทัยแต่ก็ควบคุมสติได้ เพราะได้ทราบว่ายังมิได้ประหารเจ้ามโหสถ จึงทูลเล้าโลมให้คลายพระทัย
“พระองค์ตั้งเจ้ามโหสถไว้ในตำเเหน่งที่ยิ่งใหญ่แล้วกลับคิดกบฎทรยศ ก็สมควรแล้วที่พระองค์จะตรัสประหารเสีย” จึงทำให้พระราชาคลายวิตกบรรทมหลับไปได้ พระนางจึงเขียนสาส์นให้คนถือไปให้เจ้ามโหสถ
“อย่าเข้ามาพรุ่งนี้เช้า ถ้าจะเข้ามาจงเอาประชาชนมาด้วย”
ข้อนี้ทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์สมัยพระเจ้าทรงธรรมซึ่งพระยากลาโหมสิริวงศ์ถูกสั่งให้จับตายจมื่นศรีวรรักษ์ได้มีจดหมายถึงว่า
“ถ้าจะเข้ามาก็ต้องขึ้นเวที เมื่อขึ้นเวทีก็ต้องเตรียมเครื่องมาให้พร้อม" แต่เพียงคล้ายคลึงกัน เพราะครั้งนั้นเข้ามาชิงเอาราชสมบัติเลย เจ้ามโหสถมิได้ทำเช่นนั้น ดูต่อไปดีกว่า
เจ้ามโหสถได้รับข่าวจากราชบุรุษที่วางใจ ก็รีบจัดแจงออกไปยังบ้านเก่า เกณฑ์ประชาชนที่เคารพนับถือได้เป็นจำนวนพันก็พากันแห่แหนมายังพระราชวัง อาจารย์ทั้ง 4 ไปคอยดักฆ่าเจ้ามโหสถตั้งแต่เช้า แต่เมื่อไม่เห็นเจ้ามโหสถมาก็ผิดหวัง กลับออกไปคอยที่อยู่ว่าเอ็งมาเมื่อไรเข้ามาหัวหลุดจากบ่าทันที มโหสถพร้อมด้วยประชาชนพากันแห่แหนเข้าไปยังพระราชวัง เมื่อถึงเห็นพระเจ้าวิเหราชประทับอยู่ที่พระแกลก็ลงจากรถถวายบังคม พระเจ้าวิเทหราชเห็นมโหสถลงมาถวายบังคมก็ค่อยใจชื้น เพราะแน่รู้ว่ามโหสถไม่ชิงราชสมบัติ จึงทรงรับสั่งถามอย่างไม่รู้ไม่ชี้ว่า
“พ่อมโหสถ เมื่อวานกลับแต่วัน เพื่งจะมาเดี๋ยวนี้เอง จะบอกเล่าเก้าสิบบ้างก็ไม่ได้”
“ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ เรื่องอะไรอยู่ก็รู้แก่พระทัยของพระองค์สิ้นแล้ว อย่าให้กระหม่อมฉันต้องทูลซ้ำเลย”
“มโหสถ เธอออกจะดูหมิ่นฉันเสียแล้ว”
“ขอเดชะ กระหม่อมฉันมิได้ดูหมิ่น แต่ว่าความลับของท่านอาจารย์ทั้ง 4 น่ะ พระองค์รู้แล้วหรือ?” และได้ทูลต่อไปว่า “อาจารย์ทั้ง 4 ได้ทูลข้อความนั้น ข้าพระองค์ได้ทราบความลับของท่านอาจารย์ที้ง 4 อย่างแจ่มแจ้งแล้ว จะขอทูลถวายให้ทรงทราบ”
“ลองว่าไป” มาจารย์เสนกะได้ล่อลวงหญิงแพสยาไปกระทำเสวนกิจแล้วฆ่านางฝังศพไว้ ที่อาจารย์เสนกราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นกบฎนั้นเสนกะนั่นแหละพระเจ้าค่ะที่เป็นกบฎล่ะ” “จริงหรือเสนกะ ที่เจ้าฆ่าหญิง” เสนกะเหงื่อแตกโซมหน้า จะปฎิเสธก็ใช่ที่ เพราะหลักฐานมี จึงอ้อมแอ้มตอบว่า
“จริงพระเจ้าค่ะ”
“ชะ ชะ ไอ้พวกนี้ เฮ้ย ราชมัลจับเจ้าเสนกะไปจำคุกไว้ก่อน” อาจารย์เสนกะก็ต้องก้มหน้าก้มตาเดินเข้าคุกไปโดยดีให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
“ส่วนอาจารย์ปุกกุสะ เป็นโรคที่สังคมรังเกียจคือโรคเรื้อนที่ขา ซึ่งทางราชการก็ไม่เลี้ยงคนเช่นนี้ พระองค์ยังแถมเคยหนุนแข้งขาของปุกกสะด้วย” พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามว่า
“จริงหรือปุกกุสะ”
“ขอเดชะ จริงพระเจ้าค่ะ” ปุกกุสะตอบอย่างไม่เงยหน้ามองผู้ใด”
“เอามันไปขังคุกไว้ก่อน”
“อาจารย์กามินทร์ถูกผีเสื้อยักษ์สิงพระเจ้าค่ะ เวลาสิงจะร้องเหมือนหมาบ้า ซึ่งพระองค์ไม่ควรจเลี้ยงไว้ให้เป็นเสนียดจัญไรแก่พระราชฐาน”
“จริงไหมกามินทร์”
“จริงพระเจ้าค่ะ”
"จับมันไปขังคุก”
“อาจารย์เทวินทร์ลักพระราชทรัพย์ โทษถึงสิ้นขีวิตพระเจ้าค่ะ”
“เขาลักอะไรล่ะ?”
“ลักแก้วมณีพระเจ้าค่ะ”
“จริงรึเทวินทร์”
“จริงพระเจ้าค่ะ”
“เอามันไปขังคุก” เป็นอันว่าอาจารย์ทั้ง 4 ต้องเข้าไปประดิษฐานอยู่ในคุกเพราะความอิจฉาริษยา พยายามทำร้ายคนที่ไม่ทำร้ายตอบสาธุ ถ้าความยุติธรรมยังมี
รุ่งขึ้นพระเจ้าวิเทหราชทรงปรึกษามโหสถว่า จะให้นักปราชญ์ทั้ง 4 เฆี่ยนคนล่ะ 100 แล้วก็ให้ประหารเสีย เมื่อนำอาจารย์ทั้ง 4 มาเฆี่ยนเรียบร้อยแล้ว ราชมัลก็จะนำไปสู่ที่ประหาร แต่มโหสถก็กราบทูลขอว่า
“ชอเดชะ อาจารย์เหล่านี้เป็นคนเก่าคนแก่ของพระองค์ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะความริษยาข้าพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น พูดถึงความฉลาดเฉียบแหลมแล้วหาตัวจับยาก หากพระองค์พระราชทานชีวิตไว้ จะมีประโยชน์แก่แผ่นดินอีกมากพระเจ้าค่ะ”
“เขาคิดจะฆ่าเจ้านะมโหสถ”
“ข้าพระองค์ไม่คิดพยาบาทพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเรายกให้เจ้า” และบังคับนักปราชญ์ทั้ง 4 ให้เป็นทาสของมโหสถ
มโหสถก็ได้ยกให้เป็นไปในเวลาต่อมา และขอให้พระราชทานอภัยโทษ ซึ่งก็ได้ตามความประสงค์ นักปราชญ์ทั้ง 4 รอดตายได้ก็เพราะมโหสถช่วย เลยเลิกคิดเคียดแค้น และนับแต่นั้นมา มโหสถก็เป็นอำมาตย์ว่าราชกิจการบ้านเมืองทุกอย่างเต็มที่
ขอบคุณแหล่งข้อมูล: sawanbanna