ReadyPlanet.com
dot

dot
dot
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
bullet สมัครสมาชิก
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
ชมคลิปวีดีโอน่าสนใจ
ยังไม่มีสมาชิกที่ล็อกอินในขณะนี้
bulletบุคคลทั่วไป 22 คน
dot
dot

dot


ฟัง F.M. 103.25 MHz.
ชมทีวีช่องหลวงตา
ฟังวิทยุออนไลน์ วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
ชมคลิปวีดีโอน่าสนใจ
ขอเชิญสมัครสมาชิกอุปถัมภ์สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
เข้าชม face book วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
เข้าชม twitter วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน


๑๐. ปัญญาวรรค คือ หมวดปัญญา

๗๙.  อปฺปสฺสุตายํ  ปุริโส                พลิวทฺโทว  ชีรติ
         มํสานิ  ตสฺส  วฑฺฒนฺติ            ปญฺญา  ตสฺส  น  วฑฺฒติ.
      

         คนผู้สดับน้อยนี้  ย่อมแก่ไป  เหมือนวัวแก่  อ้วนแต่เนื้อ  แต่
         ปัญญาไม่เจริญ.
         (พุทฺธ)                                        ขุ.  ธ.  ๒๕/๓๕.

       

๘๐.  ชีวเตวาปิ  สปฺปญฺโญ        อปิ  วิตฺตปริกฺขยา
        ปญฺญาย  จ  อลาเกน        วิตฺตวาปิ  น   ชีวติ. 
     

        ถึงสิ้นทรัพย์  ผู้มีปัญญาก็เป็นอยู่ได้,  แต่อับปัญญาแม้มีทรัพย์
        ก็เป็นอยู่ไม่ได้.
        (มหากปฺปินเถร)                        ขุ.  เถร.  ๒๖/๓๕๐.

       

๘๑.  ปญฺญวา  พุทฺธิสมฺปนฺโน         วิธานวิธิโกวิโท
        กาลญฺญู  สมยญฺญูู  จ            ส  ราชวสตึ  วเส. 
     

        ผู้มีปัญญา   ถึงพร้อมด้วยความรู้   ฉลาดในวิธีจัดการงาน
        รู้กาลและรู้สมัย  เขาพึงอยู่ในราชการได้.
        (พุทฺธ)                                        ขุ.  ชา.  มหา.  ๒๘/๓๓๙.

 

 ๘๒.   ปญฺญา  หิ  เสฏฺฐา  กุสลา  วทนฺติ
          นกฺขตฺตราชาริว   ตารกานํ  ค
          สีลํ  สิรี  จาปิ  สตญฺจ  ธมฺโม  
          อนฺวายิกา  ปญฺญวโต  ภวนฺติ.    
    

          คนฉลาดกล่าวว่า  ปัญญาประเสริฐ  เหมือนพระจันทร์ประเสริฐ
          กว่าดาวทั้งหลาย   แม้ศีลสิริและธรรมของสัตบุรุษย่อมไปตามผู้มี 
          ปัญญา.
          (สภงฺคโพธิสตฺต)                                ขุ.  ชา.  จตฺตาฬีส.  ๒๗/๕๔๑.

       

๘๓.  มตฺตาสุขปริจฺจาคา                 ปสฺเส  เจ  วิปุลํ  สุขํ
        จเช  มตฺตาสุขํ  ธีโร                สมฺปสฺสํ  วิปุลํ  สุขํ.  
   

        ถ้าพึงเห็นสุขอันไพบูลย์   เพราะยอมเสียสละสุขส่วนน้อย  ผู้มี
        ปัญญาเล็งเห็นสุขอันไพบูลย์  ก็ควรสละสุขส่วนน้อยเสีย.
        (พุทฺธ)                                                ขุ.  ธ.  ๒๕/๕๓.

       

๘๔.  ยสํ  ลทฺธาน  ทุมฺเมโธ        อนตฺถํ  จรติ  อตฺตโน
         อตฺตโน  จ  ปเรสญฺจ          หึสาย  ปฏิปชฺชติ.    

         คนมีปัญญาทราม  ได้ยศแล้วย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
         แก่ตน  ย่อมปฏิบัติเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่น.
         (หตฺถาจริย)                                        ขุ.  ชา.  เอก.  ๒๗/๔๐.

 

๘๕.  ยาวเทว  อนตฺถาย                  ตฺตํ  พาลสฺส  ชายติ
         หนฺติ  พาลสฺส  สุกฺกํสํ             มุทฺธํ  อสฺส  วิปาตยํ.  
       

         ความรู้เกิดแก่คนพาล  ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย,  มันทำสมอง
         ของเขาให้เขว,  ย่อมฆ่าส่วนที่ขาวของคนพาลเสีย.
         (พุทฺธ)                                                ขุ.  ธ.  ๒๕/๒๔.

       

๘๖.  โย  จ  วสฺสสตํ  ชีเว                   ทุปฺปญฺโญ  อสมาหิโต
         เอกาหํ  ชีวิตํ  เสยฺโย                 ปญฺญวนฺตสฺส  ฌายิโน. 
   

        ผู้ใดมีปัญญาทราม  มีใจไม่มั่นคง  พึงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี,  ส่วนผู้มี
        ปัญญาเพ่งพินิจ  มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว  ดีกว่า.
        (พุทฺธ)                                                ขุ.  ธ.  ๒๕/๑๙.




พุทธศาสนสุภาษิต เล่ม ๒

๑. อัตตวรรค คือ หมวดตน article
๒. อัปปมาทวรรค คือ หมวดไม่ประมาท article
๓. กัมมวรรค คือ หมวดกรรม article
๔. กิเลสวรรค คือ หมวดกิเลส
๕. ขันติวรรค คือ หมวดอดทน
๖. จิตตวรรค คือ หมวดจิต
๗. ทานวรรค คือ หมวดทาน
๘. ธัมมวรรค คือ หมวดธรรม
๙. ปกิณณกวรรค คือ หมวดเบ็ดเตล็ด
๑๑. ปมาทวรรค คือ หมวดประมาท
๑๒. ปาปวรรค คือ หมวดบาป
๑๓. ปุคคลวรรค คือ หมวดบุคคล
๑๔. ปุญญวรรค คือ หมวดบุญ
๑๕. มัจจุวรรค คือ หมวดความตาย
๑๖. วาจาวรรค คือ หมวดวาจา
๑๗. วิริยวรรค คือ หมวดความเพียร
๑๘. สัทธาวรรค คือ หมวดศรัทธา
๑๙. สีลวรรค คือ หมวดศีล
๒๐. เสวนาวรรค คือ หมวดคบหา



[1]

ความคิดเห็นที่ 16 (155304)

 โยมไม่มีสมองควรใช้เหตุผลมาหักล้าง   จากการที่โยมได้กล่าวมาในความเห็นที่ 14 ตอนหนึ่งว่า   ".....เราต้องอย่าเชื่อแม้ว่าเป็นตำราของศาสนาเรา ...."  เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นความไม่ประสีประสาความไร้เรียงสา  ป่วยการที่จะเสวนา     พระพุทธองค์ทรงตรัสพระคาถานี้ แปลความว่า " บุคคลควรเตือนกัน ควรสอนกัน ควรป้องกันจากคนไม่ดี เพราะเขาย่อมเป็นที่รักของคนดี แต่ไม่เป็นที่รักของคนไม่ดี "

ผู้แสดงความคิดเห็น พระกฤษฎา กิตติญาโณ วันที่ตอบ 2013-05-17 20:52:37


ความคิดเห็นที่ 15 (154770)

แหะๆ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงละนะ  ต่างคนต่างก็มีความเห็นเป็นของตนเอง  ผิดถูกดีชั่วเป็นเรื่องเฉพาะตัว บุคคลอื่นจะยังบุคคลอื่นๆให้ดีหรือชั่วไม่ได้  ใครจะดีก็ต้องทำดีเอง  ใครจะชั่วก็ต้องทำชั่วเอง แล้วแต่กรรมเถอะนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ทีมงาน วันที่ตอบ 2013-02-12 23:57:10


ความคิดเห็นที่ 14 (154632)

ขอชมทีมงานนะ ที่อดทน แสดงเหตุผลกับบุคคลประเภทนี้ เขาไม่เชื่อสิ่งใดๆที่ไม่ตรงกับความเห็นของตน และความเห็นของเขาก็ถูกจำกัดแคบๆอยู่ในกะลาน้อยๆ เข้าใจอะไรแค่ไหนก็คิดว่าความจริงมีอยู่แค่นั้น สิ่งทีอยู่นอกกะลาคือสิ่งที่ไม่ควรเชื่อทั้งหมดทั้งสิ้น สิ่งใดที่แม้มีการพิสูจน์ได้แล้วแต่ตนเองไม่มีสมองพอที่จะเข้าใจก็ฟันธงไปเลยว่าสิ่งนั้นไม่จริงไม่ใช่ แล้วฝังหัวเชื่อตามนั้น แต่บอกว่าไม่เชื่อตามหลักกาลามสูตร ทั้งๆที่ไม่เชื่อตามหลักอัตตา ถึงขยาดกล่าวตู่ว่าคนอื่นถูกล้างสมองว่าไปเชื่อวิทยาศาสตร์ โดยไม่มีปัญญาเฉลียวใจคิดว่า ถ้าไม่เชื่อวิทยาศาตร์ด้วยเพียงแค่คิดว่าเขาหลอก แล้วตำราที่ตนเองยกมาทั้งหมด มีหละกฐานอะไรว่าเขาไม่ได้หลอก ธรรมะที่แท้เราไม่ควรเชื่อสิ่งไรๆ แต่ไม่ควรปฏิเสธสิ่งไรๆ เราจะไปปีกใจเชื่อสิ่งไรๆก่อนที่จะรู้แจ้งเห็นจริงสิ่งนั้นไม่ได้ ไม่ว่าพุทธศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ถ้ามาอ้างว่าวิทยาศาสตร์เชื่อไม่ได้ แล้วมาอ้างว่าพุทธศาสตร์เชื่อได้ ตำราว่ายังงั้นยังงี้ อีนนี้ผิดหลักกาลามสูตร เราต้องอย่าเชื่อแม้ว่าเป็นตำราของศาสนาเรา ต้องมีใจเป็นธรรม มีใจเป็นกลาง อย่าหลงในสิ่งใดจนโงหัวไม่ขึ้น ตัวอย่างที่ยกมากล่าวหาทีมงานว่าหลงผิดไปเชื่อเรื่องดวงจันทร์เรื่องดาวอังคาร ส่วนท่านรู้จริง แล้วท่านรู้จริงได้ิย่างไรว่าที่ท่านรู้มันถูกต้อง ท่านก็รู้มาจากการอ่านการฟังการดูเหมือนๆกัน ท่านผิดไปแล้ว ที่คิดว่าสิ่งที่คนอืนสัมผัสคือข้อมูลเท็จ แต่สิ่งที่ท่านสัมผัสคือข้อมูลจริง ที่ท่านเขียนมาทั้งหมดเป็นลักษณะนั้น ลักษณะที่ท่านมีแต่ข้อมูลจริงทั้งนั้น คนอื่นๆมีแต่ข้อมูลไม่จริง ความเห็นของคนอื่นๆจึงผิดหมด  ความจริงท่านไม่ได้เชื่อใครเลย ท่านเชื่อแต่ความเห็นที่เต็มไปด้วยอวิชชาขิงตัวท่านเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น คนไม่มีสมอง วันที่ตอบ 2013-02-01 09:34:12


ความคิดเห็นที่ 13 (154631)

 ...ชะรอย ความคิดคนแปลคงจะเขวเสียเอง  เรียนทางโลก(แบบเรียนฝรั่ง) มากไปหรือเปล่า...

ท่านผู้แสดงความคิดเห็น ไม่ทราบแม้กระทั่งภูมิหลังของผู้แปลพุทธภาษิตบทนี้ แต่กลับเพ่งโทษผู้อื่นโดยมิได้ใช้ปัญญาใคร่ครวญ จึงทำให้มีความคิดคับแคบ ประเด็นแปลถูกผิดเป็นประเด็นรอง แต่ประเด็นที่จะให้เปลี่ยนแปลงตำราเพียงเพราะแปลไม่ตรงกับความเห็นของตนเอง ทัศนคติแบบนี้เป็นทัศนคติที่อันตราย อันตรายต่อลูกศิษย์ลูกหาของผู้แสดงความคิดเห็นเลยเชียวล่ะ ทิฐิมานะ ทำให้คิดว่าความเห็นของตนเองถูก ขนาดครูบาอาจารย์ที่ชำนาญในอรรถและธรรม มีผลงานทางวิชาการเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ผู้แสดงความคิดเห็นยังเห็นว่ามีความผิดพลาด แล้วทำไมไม่ลองย้อนทบทวนดูบ้างว่า ผู้แสดงความคิดเห็นมั่นใจได้อย่างไรว่าตนเองไม่ผิดพลาด อย่างกรณีคำว่าสมองแค่นี้ ก็แถข้างๆคูๆ เหมือนเด็กๆเถียงคำไม่ตกฟาก ลองอ่านกาลามสูตรให้มากๆ เพราะท่านแถมานั้นผิดหลักกาลามสูตรทุกข้อ ท่านมิได้เชื่อสิ่งใดๆเลยนอกจากเชื่อความเห็นของตัวเอง หลงตัวเองชนิดเข้ากระดูกดำ เลยมองคนอื่นโง่ไปหมด อันตรายเหลือเกินสำหรับผู้เป็นครูบาอาจารย์เขา 

ผู้แสดงความคิดเห็น คนไม่มีสมอง วันที่ตอบ 2013-02-01 08:59:19


ความคิดเห็นที่ 12 (154630)

 สรุป ต้องเชื่อ ผู้แสดงความคิดเห็น ต้องเชื่อตำราที่ผู้แสดงความคิดเห็นยกมา ต้องเชื่อตรรกะที่ผู้แสดงความคิดเห็นเชื่อ ต้องเชื่อเหตุผลที่ผู้แสดงความคิดเห็นแสดง แค่คำว่า"สมอง"ยังไม่มี"สมอง"จะเข้าใจ แล้วจะไปเข้าใจอรรถและธรรมอะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้ 555 ขอเป็นกำลังใจให้ทีมงานจ้า สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น คนไม่มีสมอง วันที่ตอบ 2013-02-01 08:33:23


ความคิดเห็นที่ 11 (152303)

    ตามที่ทีมงานตอบในความเห็นที่ 10 วรรค 3 นั้น  ที่ว่า "เข้าใจว่ามีเหตุผลที่เขาอธิบายกันได้ " ถามทีมงานว่าเขาอธิบายว่าอย่างไร   แน่นอนทีมงานไม่รู้ว่าเขาอธิบายคำถามนี้ว่าอย่างไร  แต่ทีมงานใช้ความศรัทธาของตนที่มีต่อนักวิทยาศาสตร์นั่นว่าเขามีเหตุผลที่ถูกต้อง โดยที่ทีมงานไม่ลังเลใจเลยว่าเขาไม่มีคำตอบ    ก็เป็นซะอย่างนี้เล่า อาจารย์ว่าอย่างไรศิษย์ก็ว่าอย่างนั้น (เข้าหลักกาลามะสูตร)  เวลาฝรั่งพูดอะไรออกมาก็ว่านอนสอนง่าย  ซูฮกตามไปซะทุกเรื่อง   คนไทยเกือบทุกคนเป็นเหมือนอย่างทีมงานหรือเปล่าเนี๊ย  ฝร้่งก็คน ทีมงานก็คน     ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ก็รับรู้รับสัมผัสได้เหมือนๆกัน  แล้วทำไมต้องดูถูกตนเองว่าเป็นคนถ่อยด้อยสติปัญญา  แล้วยกฐานะของฝรั่งให้เป็นผู้ประเสริฐเลิศด้วยสติปัญญา   พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนพุทธบริษัททุกคนไม่ใช่หรือว่า ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟัง ให้ใช้โยนิโสมนัสสิการ(วินิจฉัยสอดส่องธรรมโดยแยบคาย)   เชื่อโดยไม่ไตร่ตรองอย่างนี้ ถ้าวันหนึ่งเขาประกาศว่า ดาวหางจะพุ่งชนโลก  แต่ชาติอเมริกาเหนือและยุโรปร่วมมือกันยิงขีปนาวุธสกัดกั้น จนดาวหางนั้นระเบิดแหลกเป็นจุล นับว่าได้ช่วยชีวิตชาวโลกไว้  ถึงวันนั้นคนที่เชื่องมงายคงหมอบแทบเท้าฝรั่งในทันทีที่เห็น

สิ่งที่วิทยาศาสตร์กล่าวถึงโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ จักรวาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ขัดแย้งกับคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง  ทีมงานเชื่อว่าโลกกลมเพราะกาลิเลโอบอกว่าใช้กล้องส่องไปที่ดวงดาวอื่นๆมีสัณฐานกลมทั้งหมด โลกก็ต้องกลมด้วย  นี่หรือคือเหตุผลที่น่าเชื่อถือ   พระพุทธองทรงตรัสเรื่องแผ่นดินอันเป็นที่อยู่ของมนุษย์ว่ามีอยู่ 4 ทวีป  ที่เรารู้จักทวีปเอเชีย ทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาไต้ ทวีปออสเตรเลีย รวมเรียกว่าชมพูทวีป   ส่วนอีก 3 ทวีป อยู่ทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ   เพราะฉะนั้นหากทีมงานยังยึดติดอยู่กับแบบเรียนที่คัดลอกแนวความคิดของฝรั่งมาสอนในโรงเรียน คงไม่ต่างอะไรกับกบใน..........

ศึกษาเรื่องจักรวาลตามคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาได้จาก พระไตรปิฎกและอภิธัมมัตสังคหะ ปริเฉที่ 5 ถ้าสงสัยตรงไหนลองถามมาไม่แน่อาจตอบได้ 

ผู้แสดงความคิดเห็น พระกฤษฎา กิตฺติญาโณ (narachon-at-manud-dot-com )วันที่ตอบ 2012-05-18 22:19:50


ความคิดเห็นที่ 10 (152233)

อันที่จริงเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เขาคิดค้นกันขึ้นมา ก็มีอยู่มากมาย บางทีพวกเราที่เป็นชาวบ้านธรรมดา ก็ไม่อาจเข้าใจ คงต้องปล่อยให้พวกนักวิทยาศาสตร์เขาไปถกเถียงรับรองกันเอง ซึ่งก็ต้องแล้วแต่พวกเขาจะว่ากันไป ตามกฏกติกาที่เขาตั้งกันขึ้นมาเอง  เราคงไปถกเถียงหรือรับรองแทนพวกเขาไม่ได้  คงทำได้แต่เพียง  อันใดใช้ประโยชน์ได้  ก็นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์  อันใดที่เห็นว่าไม่มีประโยชน์  ก็ปล่อยทิ้งไปเท่านั้น

ดังเช่น ยารักษาโรคที่คิดค้นกันขึ้นมา  เราเองก็ไม่รู้ว่าจะรักษาโรคได้จริงไหม?  แต่เมื่อเขาหรือวงการแพทย์รับรอง  เราแม้ไม่เข้าใจ ไม่รู้ไม่เห็น ในคุณสมบัติของยา  ก็ต้องพลอยยอมรับไปด้วย  และก็ไม่อาจปฏิเสธยาขนานดังกล่าวได้  เมื่อจำเป็นต้องกินยานั้น เพื่อรักษาโรคตามคำสั่งของหมอ   เราก็ต้องยอมกินทั้งที่ไม่รู้คุณสมบัติของยานั่นเลย  บางทียานั้นก็อาจทำให้คนไข้ตายก็ได้

ตามที่ท่านกฤษฏา ถามนั้น  เข้าใจว่ามีเหตุผลที่เขาอธิบายกันได้  แต่ไม่ขออธิบายในที่นี้  แต่ก็ยอมรับว่า นักวิทยาศาสตร์ไม่ว่าแขนงใดๆ  ล้วนเป็นคนมีกิเลส  บางทีก็อาจจะรวมหัวกันหลอกต้มคนทั้งโลก  เพื่อหวังผลทางธุรกิจอย่างใดๆก็ได้  อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ อย่างแน่นอน   ดังเช่น ถ้าไม่มีไวรัส แล้วโปรแกรมต้านไวรัส จะขายให้ใครได้ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์บางคนอาจนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในเชิงธุรกิจ ได้  ซึ่งก็มีผลทำให้คนทั้งโลกถูกหลอกได้ 

ดังนั้น ไม่มีใครไปรับรองได้ว่า นักวิทยาศาสตร์จะกระทำหรือคิดค้นในสิ่งที่ดีๆเพียงอย่างเดียว  สิ่งที่เลวทรามต่ำช้าก็อาจคิดค้นหรือกระทำได้ด้วย  อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับมโนธรรมของแต่ละคน พวกเราที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์  ก็ไม่สามารถหยิบยกเอาเหตุผลใดๆ ไปต่อสู้หรือลบล้างการกระทำผิดๆของเขาได้  เพราะทุกวันนี้ ก็ไม่มีใครจะรู้ว่า  สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นกันขึ้นมา  มันเป็นความจริงหรือเท็จ  ผิดหรือถูก แค่ไหนอย่างไร  เขาตกลงกันอย่างไร  ก็คงต้่องปล่อยไปตามเรื่องของเขา 

ส่วนการจะเชื่อถือหรือไม่  และจะยอมปฏิบัติตามที่เขารับรองกันแล้วหรือไม่  ก็เป็นสิทธิ์ของเรา ไม่มีใครบังคับเราได้  เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้  จะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้

วิทยาศาสตร์จะว่าอย่างไร ก็แล้วแต่จะว่ากันไป  แต่พวกเราก็ดูเฉพาะ  อันใดถือเอาประโยชน์ได้ในปัจจุบัน ก็นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตามสมควรแก่การนั้นๆ  ส่วนอันใดถือเอาประโยชน์ไม่ได้  ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนอื่นไป 

วิทยาการทางโลกสมัยใหม่ มันก็ต้องคิดค้นพัฒนากันไปตลอด   บางทีก็จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ผิดบ้างถูกบ้าง  ก็ตามเรื่องของโลกเขา  เราจะไปยึดถือเป็นจริงเป็นจังคงไม่ได้   เพราะวิทยาศาสตร์ไม่ว่าแขนงใดๆ   ก็ต้องแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา เพราะอยู่ใต้กฏแห่งไตรลักษณ์   ก็ถือว่า เป็นธรรมดาของโลกเขาต้องเป็นอย่างนี้  ไม่มีอะไรน่าติดใจ   วันนี้เขายึดถือ ทฤษฎีนี้  แต่พอมีการคิดค้นทฤษฎีใหม่ได้  วิทยาการต่างๆก็ต้องเปลี่ยนไปใช้ทฤษฎีใหม่ ที่เขายอมรับกัน 

ซึ่งต่างกับหลักการของศาสนาพุทธเรา ที่คงเส้นคงวาไปตลอด   ไม่มีคำสอนใหม่ๆของใคร จะมาลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าได้  พอที่จะมาบอกว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าแบบนี้ผิด  ต้องแบบนั้นจึงจะถูก  อย่างนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นในโลก

ดังนั้น  วิทยาศาสตร์ ถ้าพูดกันโดยแก่นของธรรมแล้ว  วิทยาศาสตร์ก็คือหลักวิชาปลอมๆ  ที่หลอกคนทั้งโลกให้หลงผิดนั่นเอง แม้นักวิทยาศาสตร์จะพากันรับรองว่าจริงก็ตาม    แต่มันก็คือความจริงที่อยู่ในความปลอมนั้นเอง  พวกเราที่เป็นนักปฏิบัติธรรม  อย่าไปให้ความสำคัญอะไรกับวิทยาศาสตร์นักเลย  ปล่อยไปตามเรื่องของโลกเขา  จะไปคัดค้านหรือสนับสนุนอย่างใด  ก็ไม่ช่วยทำให้ใครหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้

สู้คำสอนของพระพทุธเจ้าไม่ได้เลย  เพราะเป็นอมตวาจา ที่เป็นจริงอยู่ตลอดอนันตกาล  ไม่มีใครสามารถคิดค้นความจริง ที่ยิ่งไปกว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วได้อย่างแน่นอน  นี้คือ ความจริงที่ยิ่งกว่าความจริงใดๆ และที่สำคัญ คือ เราต้องพยายามเข้าถึงความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนี้ให้ได้ เท่านี้ก็พอ

ส่วนเรื่องราวของวิทยาศาสตร์  ถ้าว่าเป็นความจริง ก็เป็นความจริงประเภทที่จะต้องถกเถียงกันไปตลอดกาล ไม่มี่วันหาข้อยุติลงได้ว่า  นี้คือความจริงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างความจริงนี้ได้อีก

ผู้แสดงความคิดเห็น ทีมงาน วันที่ตอบ 2012-05-13 23:05:16


ความคิดเห็นที่ 9 (152228)

    รู้สึกว่าผู้ที่แสดงความคิดเห็นที่8 จะเป็นคนละคนกับที่ตอบผ่านๆมา  ความคิดอ่านดูสุขุม  ตามที่แสดงความคิดเห็นมาในวรรคที่4และที่5  ถ้าวิทยาศาสตร์รับรองแต่เรื่องที่มีหลักฐาน มีเหตุผล เป็นความจริง อย่างที่ทีมงานยืนยัน   ขอถามหน่อยว่า   การที่วิทยาศาสตร์กล่าวว่า

     1 ดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองนั้น  มีใครเคยเห็นอีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ไหม ถามคนรุ่นปู่รุ่นทวดก็ได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเคยเห็นด้านที่ไม่มีรูปคล้ายกระต่ายไหม   หรือจะไปถามคนอเมริกันก็ได้     ถ้าหมุนรอบตัวเองจริงมันต้องเห็น

     2 โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์นั้น  เราเห็นแต่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ทำไมดาวประจำเมือง ดาวอังคาร จึงไม่เคลื่นเปลี่ยนตำแหน่ง หรือเราควรเห็นดวงดาวอีกด้านหนึ่งของดวงอาทิตย์ หลังจากที่เราเห็นด้านนี้ 6 เดือนแรก  แต่ท้องฟ้าทั้งปีก็เห็นแต่ดาวเท่าที่เห็น  แสดงว่าดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เท่านั้นที่โครจร  แผ่นดินอยู่กับที่

     เอาแค่ 2 ข้อก่อน  ตามที่กระผมได้กล่าวไว้ในความคิดเห็นที่7 ว่า ถึงแม้ว่าจะมีปรากฏการณ์ที่ขัดแย้ง แต่ถ้าไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่า ก็จะคงทฤษฎีที่ไม่เข้าท่านั้นไว้ก่อน

     ถ้าจะว่าไปแล้ววิทยาศาสตร์ก็เป็นแค่ลัทธิหนึ่ง ที่ชี้คนที่เลื่อมใสให้คล้อยตาม ชีวิตของคนคอยเงียหูฟังนักวิทยาศาสตร์อยู่ตลอดเวลา  พอเขาบอกว่าโลกร้อน ก็เฮโลกันไม่เผาไฟ  แต่พอถึงหน้าหนาวก็หนาวสุดขีด ขนาดประเทศลิเบียไม่เคยมีหิมะตกก็มาตก น่าแปลกที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนออกมาพูดว่าโลกร้อนในเวลานั้น

      เพราะฉะนั้น ขอให้ทีมงานเลิกเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นความจริงทุกประการเถอะ  ขนาดเรื่องการส่งยานไปลงบนดวงจันทร์ ดาวอังคาร ก็ยังหลอกทีมงานว่าเป็นเรื่องจริงมาจนถึงทุกวันนี้

ผู้แสดงความคิดเห็น พระกฤษฎา กิตฺติญาโณ (narachon-at-manud-dot-com)วันที่ตอบ 2012-05-13 16:51:23


ความคิดเห็นที่ 8 (152191)

ก็ขอขอบคุณ ท่านกฤษฎา กิตฺติญาโณ ที่กรุณาให้ความเห็น   ถือเป็นเอกสิทธิ์ของท่านกฤษฎา  ที่ทางทีมงานไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย  ท่านผู้อ่านก็ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองเอาเอง

เรื่องของศาสนาพุทธนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ครอบคลุมทั้งด้านวัตถุ และ นามธรรม การอธิบายธรรมบางทีก็ต้องอิงกับวัตถุ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ  คือเรื่องของรูปธรรมทั้งมวล  ส่วนนามธรรมนั้น เป็นเรื่องภายในจิตล้วนๆ ซึ่งเป็นปัจจัตตัง คือเป็นความรู้เฉพาะ ของท่านผู้รู้เท่านั้น  ผู้ไม่รู้ปฏิบัติยังไม่ถึงแม้จะเรียนจบมหาเปรียญ ๙ ประโยคก็เถอะ  ถ้าปฏิบัติยังไม่ถึง ก็คือไม่รู้อยู่นั่นเอง  จะอรรถาธิบายไปอย่างไร  ก็ได้เพียงแค่จำมาจากตำราเท่านั้น

เราคงต้องยอมรับความจริงว่า วิทยการทางโลก เขาจำเป็นต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ คือ เป็นหลักวิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐาน และมีเหตุมีผลที่พิสูจน์ได้จริง จากการประจักษ์ทางธรรมชาติ  เมื่อทดสอบเป็นที่แน่นอนแล้ว ก็จัดเข้าระเบียบ เป็นวิชาการแขนงต่างๆ ให้โลกได้ศึกษากัน  ส่วนอันใดยังค้นคว้าไม่ถึง หรือยังพิสูจน์ไม่ได้  จะให้ยอมรับก็คงเป็นไปไม่ได้  ก็ต้องรอการพิสูจน์จนกว่าจะมีหลักฐานประจักษ์  เป็นที่แน่ชัด ก็ยอมรับกันเป็นเรื่องๆไปเช่นนี้ ดังนั้น วิทยาศาตร์จึงไม่ใช่หลักวิชาการที่ตายตัว แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอด เพราะมีกาาศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เกิดวิทยาการใหม่ๆมาแทนที่ของเก่าได้ตลอดเวลา  แต่มิได้หมายความว่า ของเก่าจะใช้ไม่ได้  แต่เมื่อมีสิ่งอื่่นที่ดีกว่า สามารถใช้แทนกันได้  คนจึงนิยมไปใช้ของใหม่ ก็เกิดเป็นวิวัฒนาการด้านต่างๆขึ้นมา  ดังเช่น เมื่อก่อนเขาคิดเครื่องร่อนได้ แต่ยังคิดเครื่องบินไม่ได้  ตอนหลังมีคนคิดเครื่องบินได้ มันดีกว่า ก็เลยไม่มีใครอยากจะขี่เครื่องร่อน  แต่ถ้ามีใครสักคนไม่ยอมรับเครื่องบิน จะขี่เครื่องร่อนอยู่ตามเดิม  ก็คงเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้  แต่อาจจะต้องทำเครื่องร่อนขึ้นมาเอง

ถ้าพูดถึงเหตุผลความจำเป็นทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่เขาต้องรับรองในสิ่งที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้าจนมีหลักฐานมีเหตมีผลเป็นความจริงปรากฏชัดเท่านั้น  เรื่องที่ยังค้นคว้าไม่ถึง หรือไม่มีหลักฐานปรากฎชัด เขาก็ยังรับรองไม่ได้ อันนี้ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะมีฉะนั้น ก็จะมีวิชาการแบบโมเมเต็มไปหมดทั้งโลก  แม้ปัจจุบันนี้ก็มีปรากฏอยู่ไม่น้อยแล้ว ดังจะเห็นได้จากการโฆษณาขายสินค้า หลอกลวงต้มตุ๋นกันอยู่ทุกวันนี้ จน อ.ย. ก็หมดปัญญาที่จะตรวจสอบ

ดังนั้นวิชาการแขนงต่างๆทีโลกยึดถือเป็นความรู้ จึงต้องอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องตรวจสอบหาเหตุผลเป็นที่่ยอมรับกันอย่างมีเหตุผลที่พิสูจน์ได้   ก็เป็นสิทธิของเขาที่จะปฏิเสธ และยังไม่ยอมรับในเรื่องที่ยังไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด  แม้เป็นความจริง แต่มันพิสูจน์ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้  เขาไม่ยอมรับ  ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปตำหนิติเตียนอะไรเขา

ศาสนาพุทธเป็นหลักวิชาที่ละเอียดพิสดารกว่าวิทยาศาสตร์อย่างมากมาย เพราะมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งรูปธรรม นามธรรม อย่างที่รู้กัน  และศาสนาพุทธก็สามารถที่จะอธิบายในเชิงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ได้  เช่น ทำเหตุดี ก็ย่อมได้รับผลดี ทำเหตุชั่ว ก็ย่อมได้รบผลชั่ว  นั่คือ หลักการของอริสัจสี่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้  หรือ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วต้องดับทั้งนั้น  ซึ่งก็คือหลักการของไตรลักษณ์ ซึ่งสามารถพิสูจน์ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์  การอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ ก็เพื่อให้เป็นที่น่าเชื่อถือของคนกลุ่มหนึ่งที่ยึดมั่นในเหตุผลที่พิสูจน์ได้  ซึ่งก็ไม่ขัดกับหลักการของศาสนาที่ตรงไหน  อันใดที่พุิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ก็พิสุจน์กันไป  ส่วนอันใดที่พิสูจน์ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ก็ยกไว้ให้ผู้อยากรู้ไปพิสูจน์เอาเอง ไม่ต้องบังคับให้ใครมาเชื่อถือ

ส่วนคำสอนของพุทะในส่วนที่เป็นเรื่องของนามธรรมนั้น ย่อมพิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันมีบางอย่างในพุทธศาสนา ทีอยู่เหนือวิสัย ของตาเนื้อ หูหนังจะรับรู้ได้   และศาสนาพุทธก็ไม่ได้บังคับให้ใครๆต้องมายอมรับ  ทุกคนมีสิทธิที่จะปฏิเสธํพุทะศาสนาได้ทั้งสิ้น  ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของแต่ละคน  แม้ชาวพุทธเอง ที่ปฏิเสธคำสอนของพุทธ ไม่ยอมปฏิบัติตามก็มีให้เห็นอยู่อย่างเกลี่อนกล่น 

สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามหลักศาสนาย่อมรู้ได้โดยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาวิทยาศาสตร์ก้ได้  แต่บางอย่างต้องอธิบายในเชิงของวิทยาศาสตร์  ก็เพื่อให้มีเหตุผลเป็นที่น่าเชื่อถือ ของผุ้ที่ที่ไม่รู้นั่นเอง  ศาสนาพุทธย่อมท้าทายต่อการพิสูจน์อยู่แล้วในทุกยุคทุกสมัย  ด้วยภาคปฏิบัติ จะเป็นวิทยาศาสตร์ หรือไม่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  และไม่จำเป็นต้องทำให้ใครยอมรับ หรือไม่ยอมรับ  ย่อมขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของแต่ละท่าน ที่มีไม่เท่าเทียมกัน  ใครยอมรับก็นำหลักศาสนาไปปฏิบัติให้เป็นหลักฐานปรากฏขึ้นที่ใจ ที่เรียกว่า สันทิฏฐิโก  ส่วนใครที่ไม่ยอมรับ  ก็ไม่ต้องนำไปปฏิบัติ  จะปฏิบัติไปตามอำเภอใจของตนอย่างไร ก็คงไม่มีใครว่า   เพราะทุกคนย่อมได้รับผลตามควรแก่การปฏิบัติของตนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องดี หรือเรื่องชั่ว  โดยที่ศาสนาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือ ไปเป็นทุกข์เดือดร้อน จากการปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติของใครๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น ทีมงาน (support-at-doisaengdham-dot-org)วันที่ตอบ 2012-05-11 14:17:27


ความคิดเห็นที่ 7 (152103)

 ดีแล้วหละนะ เพราะถ้ากระผมไม่ท้วงติง ผู้ที่มาอ่านความคิดเห็นก็จะพากันเข้าใจว่าทีมงานอธิบายถูกต้อง มิจฉาทิฏฐิก็จะพากันลงอบายกันหมด    ทุกวันนี้ อิทธิพลของวิทยาศาสตร์ ครอบงำความคิดของผู้คนทั้งโลก แม้แต่พระแทบจะทุกรูปก็ว่าได้ ยอมศิโรราบให้  โดย พยามอธิบายว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์   กระผมขอประกาศว่า พระธรรมคำสั่งสอนไม่มีการใช้สมมุติฐาน ไม่มีการตรึกนึกเอา ไม่มีการคาดคะเน และไม่เป็นทฤษฎีที่คอยการลบล้างเมื่อมีหลักฐานใหม่หรือคำอธิบายที่ดีกว่า    อันวิทยาศาสตร์ใช้การสมมติฐานขึ้นก่อน โดยใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้าไปสังเกตุ แล้วตั้งเป็นทฤษฎี ต่อมาได้สังเกตุพบปรากฎการณ์แปลกใหม่โดยขัดแย้งกับทฤษฎี  ทฤษฎีนั้นก็ยังไม่ถูกยกเลิกจนกว่ามีคำอธิบายที่ดีกว่าซึ่งสามารถอธิบายปรากฏการณ์แปลกใหม่นั้นได้ด้วย แล้วนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดให้การยอมรับ  คำอธิบายนั้นก็จะถูกยกให้เป็นทฤษฎ๊ใหม่แทน  ดังตัวอย่างความเป็นมาของทฤษฎ๊อะตอม  แต่ ทฤษฎีใหม่ที่มาแทนนั้นอย่าคิดว่าถูกต้อง   หากมีการสร้างเครื่องมือตรวจจับที่ละเอียดขึ้นแล้วพบปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่อีก ก็รอวันที่จะถูกยกเลิก     และที่สำคัญวิทยาศาสตร์ศึกษาเพียงรูปธรรมเท่านั้น คือสสารและพลังงาน  ทั้งหมดใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น เข้าไปรับรู้  ถ้าสิ่งไหนที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สามารถเข้าไปรับรู้ได้ก็จะถูกปฏิเสธ   แน่นอนที่สุด นามธรรม จะถูกวิทยาศาสตร์ปฏิเสธมาโดยตลอด เพราะใช้จิตอย่างเดียวเท่านั้นที่เข้าไปรับรู้     ดังนั้น เมื่อมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากนามธรรม  ก็จะอธิบายอย่างข้างๆคูๆด้วยการเอาสสารและพลังงานมาปะติดปะต่อตบแต่งเอา  อย่างเรื่องสมองนั่นไง พอถามลึกลงไปก็ตอบไม่ได้  แล้วต้องกระแนะกระแหนด้วยคำว่า เฮ้อ!!  เวรกรรมซะจิงจิ้ง

ผู้แสดงความคิดเห็น พระกฤษฎา กิตฺติญาโณ วันที่ตอบ 2012-05-05 23:04:25


ความคิดเห็นที่ 6 (151629)

เฮ้อ!!  เวรกรรมซะจริงๆ  ต้องขอขอบคุณท่านกฤษฎา กิตฺติญาโณ ที่กรุณาช่วยท้วงติงมา ณ ที่นี้  เอาเป็นว่า ทางทีมงานขอยอมรับผิดด้วยประการทั้งปวง  ทั้งที่เจตนา และไม่เจตนาอันได้กระทำไปแล้ว  หากให้อรรถาธิบายอันใด เป็นที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องตามหลักธรรม  ก็ขอให้ท่านผู้รู้โปรด ให้อภัยกับทีมงานที่มีสติปัญญาอันน้อยด้วยเถิดนะครับ  ส่วนความถูกต้องแท้จริงเป็นประการใด ก็ขอเชิญท่านผู้รู้ โปรดอรรถาธิบายให้ผู้ที่ไม่รู้ หรือรู้น้อย  ได้เข้าใจแจ่มแจ้งด้วย  ก็คงจะเป็นคุณูปการอย่างยิ่งเลยทีเดียว  ทางทีมงานยอมรับว่า หมดภูมิที่จะอธิบายแล้วครับ แหะๆๆ ความรู้มีอยู่อย่างจำกัดอ่ะ ถ้าเอาออกมาใช้มากๆ กลัวว่าความรู้จะหนีหายไปเสียหมด  ขอเอาออกมาใช้เท่าที่่จำเป็นละกัน ขอบคุณอีกครั้งครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ทีมงาน วันที่ตอบ 2012-03-21 11:46:38


ความคิดเห็นที่ 5 (151579)

 ทีมงานเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว   ไม่เพียงแต่จิตเท่านั้นที่เกิดดับ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งทั้งปวงย่อมเกิดดับ  ร่างกายมีการเกิดดับอย่างถี่ยิบ    พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสเลยว่าสมองมีส่วนช่วยให้เราจำ   ในเมื่อไม่มีความรู้พื้นฐานแม้แต่ขันธ์ ๕ เช่นสัญญาขันธ์คืออะไร   การมาอ้างตนว่ามีความรู้ในเชิงปฏิบัติ มันจะไม่น่าขันไปหน่อยหรือ    เจ้าของความคิดว่าสมองทำหน้าที่ช่วยคิดชวยจำก็คือฝรั่ง เป็นอาจารย์ใหญ่ที่ทีมงานสักการะบูชา ยังตอบคำถามในรายละเอียดลึกไม่ได้ว่าความจำในแต่ละเรื่องมีการเรียงตัวของธาตุแต่ละธาตุอย่างไร  มีธาตุเหล็ก หรือธาตุทองแดงหรือธาตุฮีเลี่ยมอยู่ในโมเลกุลหรือเปล่า  ความจำใบหน้าของคนๆหนึ่งกับคนอีกคนหนึ่งมีการเรียงตัวของธาตุของโมเลกุลแตกต่างกันอย่างไร  ไม่มีใครตอบได้    เพราะมันเป็นแค่การสันนิษฐานจากการที่คนเราคิดอะไรแล้วปวดหัว  จึงทึกทักไปว่าสมองคิดสมองจำ    จิตนั้นแม้จะเกิดดับแล้วเกิดดวงใหม่ขึ้นในทันทีก็ตาม  จิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลเหล่านั้นจะถูกเก็บบันทึกไว้ด้วยอำนาจของจิต ในข้อที่ว่าจิตมีอำนาจในการสั่งสมกรรม

ถ้าทีมงานยังคงดึงดัน ยืนกรานว่าสมองคิดสมองจำ ก็เท่ากับเป็นการกระทำการคัดค้านต่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับพระพุทธศาสนา จะต้องประสบผลร้าย   ช่างเป็นที่น่ายินดีที่ชาวตะวันตกมองเห็นความไม่มีแก่นสารในความรู้ที่ตนถูกพร่ำสอน จึงหันหน้าเข้าหาพระพุทธศาสนา  แต่เป็นที่น่าสังเวชที่ชาวพุทธแม้กระทั่งดำรงเพศเป็นบรรพชิตกลับหันหลังให้กับพระพุทธศาสนา ไปชื่นชมยินดีต่อความคิดของฝรั่งมังค่า  บางรูปเที่ยวเผยแพร่ว่า จิตคือกระแสไฟฟ้าในร่างกาย เป็นการทำลายพระสัทธรรมให้เลอะเลือน   นี่แหละนะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าพระพุทธศาสนาจะอันตระธานไปไม่ใช่ใครอื่น ก็พุทธบริษัทเหลวไหลนี่เอง  พระองค์ทรงวางสิกขาบทไว้แล้วไม่ใช่หรือ นอกพระปาฏิโมกข์ ว่าภิกษุใดเรียนในทางโลกต้องอาบัติทุกกฏ   ทุกวันนี้พอบวชเสร็จเรียนทางโลกเลย     พระอภิธรรมเรียนกันบ้างสิ ทีมงาน ??  

การมาอ้างว่าคัดลอกมาจากตำรา ถ้าผิด ก็ผิดอยู่ที่ตำรา ตนเองไม่ผิด อ้างอย่างนี้ไม่ได้ เหมือนสมุนโจรปัดความผิดให้หัวหน้าโจร

ผู้แสดงความคิดเห็น พระกฤษฎา กิตฺติญาโณ วันที่ตอบ 2012-03-16 11:39:50


ความคิดเห็นที่ 4 (151499)

ขอขอบคุณท่านกฤษฎา กิตฺติญาโณ ที่กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์  ทีมงานเป็นพระก็มี เป็นโยมก็มี  แต่ที่ตอบความเห็นนี้เป็นพระครับ ขอเรียนอย่างนี้นะครับ ว่า สมองไม่ใช่ตัวเก็บความคิดเสียเลยทีเดียว  มันเป็นอวัยวะส่วนที่ช่วยให้เราจำเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้  ถ้าสมองพิการ  ร่างกายส่วนต่างๆก็ย่ำแย่ไปหมด  ความคิดของคนเรา เกิดขึ้นมากมายก็จริงอยู่  แต่ต้องอย่าลืมว่า  ความคิดมันเป็นนามธรรม เกิดแล้วดับในตัวมันเอง  ความคิดจะมีมากมาย แต่มันก็ใช้เนื้อที่สมองเท่าที่มีอยู่ เพราะมันเกิดแล้วดับ ไม่ได้ตกค้างอยู่ในสมอง แต่ดับแล้วมันก็เกิดขึ้นใหม่ได้อีก  เมื่อมีเหตุการณ์มากระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดความคิดต่างๆขึ้นมาได้

ความคิดที่เกิดในจิต ก็แยกได้เป็นสองประเด็น คือ เกิดจากจิตล้วนๆหนึ่ง  สองเกิดโดยอาศัยกายเป็นเหตุให้เกิด  ความคิดที่เกิดโดยอาศัยกายเป็นเหตุ จะเกี่ยวข้องกับสมองนะครับ  แต่ความคิดที่เกิดจากจิตล้วนๆ  ไม่ต้องใช้สมองก็เกิดได้  พระพุทธเจ้าระลึกชาติ ไม่ได้เกิดจากสมองหรอกครับ  แต่เป็นญาณหยั่งรู้จากจิต แม้กิเลสตัณหาจะผลิตความคิดขึ้นมาได้มากมาย ก็จริงอย่างที่ท่านว่า ถ้าใช้สมองเก็บความคิด สมองคงใหญ่โตกว่าพระจันทร์ พระอาทิตย์แน่นอน แต่สมองไม่ใช่ที่เก็บความคิดอย่างนั้น สมองเป็นตัวช่วยให้เราระลึกเรื่องราวต่างๆที่ผ่านหู ผ่านตา ผ่านจมูก ผ่านลิ้น ผ่านกาย ผ่านใจ ซึ่งประสาทรับรู้ศูนย์รวมอยู่ที่สมอง ทำให้คนเราสามารถเรียนรู้เรื่องราวต่างๆได้ และได้ไม่เท่ากัน บางคนเรียนเก่ง บางคนเรียนไม่เก่ง

บางคนสมองดี ก็ทำให้ความจำดี บางคนสมองไม่ดี ก็ทำให้ความจำก็ไม่ดี สมองเสื่อม ความจำก็เสื่อม เพราะฉะนั้น การจำเรื่องราวต่างๆ ก็ใช้เนื้อที่สมองเท่าเดิม เพราะมันจำได้ไม่นาน แล้วก็ลืมเลือนไป  ถ้าทุกคนจำอะไรทุกอย่างได้โดยไม่ลืมเสียบ้างเลย คงจะลำบากแย่เลย  ขนาดลืมเรื่องราวต่างๆไปเองตั้งเยอะแยะ  คนยังเครียดและเป็นบ้าไปก็มีให้เห็นอยู่เกลื่อนกล่น ธรรมชาติเขาก็สร้างมาสมดุลย์ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปต่อเติมเสริมแต่งอะไรอีก

ที่อ้างตำรา ก็เฉพาะในกรณีนี้ ที่คัดลอกเขามานะครับ อย่าลืมว่า พุทธสุภาษิต ที่นำมาลงนี้ คัดลอกมาจากตำรา  ผิดถูกก็ต้องว่าไปตามตำราครับ ก็มีบาลีเป็นหลักอยู่แล้ว ส่วนการแปลก็อาจมีต่างกันบ้าง ตามความรู้ความเข้าใจของแต่ละคน ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน    ผมก็พยายามหาตำราอันเป็นที่ยอมรับกันแล้วในหมู่สงฆ์  ส่วนเขาจะแปลผิดหรือไม่  ผมก็ไม่อาจวินิจฉัยได้  เพราะไม่มีความรู้ในภาษาบาลี  หากท่านแน่ใจว่า เขาแปลผิดจริงๆ  ก็ลองทักท้วงไปที่มหามกุฎฯ ให้เขาทำการแก้ไข ก็น่าจะเป็นผลดีนี่ครับ

ถ้าเป็นความรู้ในเชิงปฏิบัติ  ก็พอจะตอบได้ตามความรู้ของตัวเอง เท่าที่จะพอรู้จากการปฏิบัติ  ไม่จำเป็นต้องอ้างตำราเล่มไหนก็ได้ แต่ถ้าเกียวกับการแปลบาลี ก็ต้องขอยอมแพ้ครับ หากคำตอบไม่ต้องด้วยอัธยาศัย  ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทีมงาน วันที่ตอบ 2012-03-08 00:05:18


ความคิดเห็นที่ 3 (151405)

 พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงตัณหาว่า หากเปรียบตัณหาหนึ่งๆเท่ากับเม็ดกรวดแล้ว จักรวาลก็ไม่พอที่จะบรรจุตัณหา    พระดำรัสนี้ชี้ให้เห็นว่า ในชั่วเสี้ยวเวลาเดียว ความคิดของปุถุชน อันประกอบด้วยความหลงไหล ความอยากมีอยากเป็น ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น  เกิดดับๆนับล้านๆครั้ง     แน่นอนทีเดียว หากสมองเป็นตัวเก็บความคิด  หากเปรียบตัณหาเท่ากับ หนึ่งโมเลกุลในสมองแล้ว  ชั่วชีวิตของคนๆหนึ่งคงมีศรีษะโตกว่าดวงจันทร์เป็นแน่แท้   อาตมภาพ(ถ้าทีมงานเป็นฆราวาส)หรือกระผม(ถ้าทีมงานเป็นพระ)อยากจะถามทีมงานว่า  ในพระดำรัสที่กล่าวถึงการระลึกชาติ  ไม่ทราบว่าสมองส่วนไหนเก็บข้อมูลไว้   และอยากขอร้องทีมงานอย่างหนึ่งว่าอย่าเที่ยวอ้างว่าผู้นั้นควรเชื่อเพราะผู้นั้นเป็นมหาเปรียญ เป็นอาจารย์ระดับมหามกุฏฯ

ผู้แสดงความคิดเห็น พระกฤษฎา กิตฺติญาโณ วันที่ตอบ 2012-02-26 21:31:00


ความคิดเห็นที่ 2 (151144)

คำแปลข้อที่ ๘๕ นี้ คัดมาจาก หนังสือ พุทธศาสนสุภาษิต เล่ม ๒ ของมหามกุฏราชวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๒๑/๒๕๓๕ หน้า ๒๙ ต้องขอบคุณ ท่านกฤษฎา กิตฺติญาโณ ที่กรุณาให้ความคิดเห็น คำแปลที่ว่า

"ความรู้เกิดแก่คนพาล ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย,  มันทำสมองของเขาให้เขว, ย่อมฆ่าส่วนที่ขาวของคนพาลเสีย" 

เราเข้าใจเอาเองว่า ท่านผู้แปล ก็คงมีภูมิความรู้ระดับมหาเปรียญ คงไม่ใช่ประโยคต้นๆ คำว่า "สมอง" ในที่นี้ น่าจะแปลเอาใจความ หมายถึงส่วนที่เป็น "ปัญญา" เสียมากกว่า  ที่จะเป็นสมองที่เป็นเนื้อเยื่อในกระโหลกศีรษะ 

มันทำสมองของเขาให้เขว คงหมายความว่า ทำให้เขาเห็นผิดเป็นถูกทำนองนี้  เพราะ ชื่อว่า คนพาล ย่อมเห็นอะไรเป็นผิดไปหมดอยู่แล้ว  พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ ไม่ให้คบคนพาล  เพราะจะทำให้เรากลายเป็นพาลไปด้วยได้ คนพาลย่อมทำร้ายตัวเอง และผู้อื่น ตราบเท่าที่ยังเป็นพาล

แม้ภาษาไทยทุกวันนี้ บางทีเราก็ใช้คำว่า "สมอง" แทนคำว่า "ปัญญา" ก็เยอะนะ  เช่น "หัดใช้สมองเสียบ้างสิ"เป็นต้น  สมองเป็นหน่วยความจำ ความคิดเป็นส่วนสังขารออกจากจิต  จิตจะคิดปรุงแต่งเกี่ยวกับสมมติ ก็ต้องใช้สมองเป็นตัวช่วยจำ  ถ้าสมองพิการ ความจำก็เสื่อม จำอะไรไม่ได้ จิตก็คิดไม่ออก  ก็เลยจะพูดอะไรไม่ได้  แม้จะพูดได้อยู่ แต่นึกคำที่จะพูดไม่ได้  สมองกับจิต เป็นคนละส่วนกัน แต่มันทำงานอาศัยกันอยู่ ถ้าจะพูดภาษามนุษย์ ก็ต้องอาศัยสมอง ถ้ากายแตกดับไปแล้ว ก็มีภาษาใจอย่างเดียว

สมองในที่นี้ จึงเข้าใจเอาเองว่า ไม่น่าจะแปลว่า เยื่อในกระโหลกศีรษะ  ผิดถูกประการใดก็ต้องขออภัย  คัดลอกมาตามหนังสือ ไม่อาจแก้ไขเอาเองโดยพละการ หรือ แก้ไขตามใจตัวเองได้  เพราะ มหามกุฏราชวิทยาลัย คงต้องรับประกันความผิดอยู่แล้ว กรณีแปลผิด หากพิมพ์ผิด คงพอให้อภัยกันได้  แต่ถ้าถึงขั้นแปลผิด  คงไม่เอาไว้แน่

ขอขอบคุณที่ชี้แนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ทีมงาน วันที่ตอบ 2012-01-27 21:48:10


ความคิดเห็นที่ 1 (151089)

คำแปล ข้อที่ ๘๕ ที่ว่า มันทำสมองของเขาให้เขว นี้ไม่ถูกต้อง คำว่าสมอง ก็คือ เยื่อในกระโหลกศีรษะ ภาษาบาลีก็คือ มัตถะเก มัตถะลุงคัง      แต่คำนี้ไม่มีในข้อนี้ แล้วแปลออกมาได้อย่างไรอย่างนี้  อย่าลืมนะว่า นี่เป็นแบบเรียนของพระเณรทั่วประเทศ  ชะรอย ความคิดคนแปลคงจะเขวเสียเอง  เรียนทางโลก(แบบเรียนฝรั่ง) มากไปหรือเปล่า จึงเข้าใจว่าความคิดเกิดจากกระบวนการของสมอง  แล้วที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่า ความคิดเป็นนามธรรม มาจากธรรมชาติที่เรียกว่่าสังขารขันธ์  ไม่เชื่อแล้วหรือ

ผู้แสดงความคิดเห็น พระกฤษฎา กิตฺติญาโณ วันที่ตอบ 2012-01-27 21:40:35



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล