
ความรู้เรื่อง"กฐิน" จะพูดเรื่องการทอดกฐินให้ฟังสักนิด
.
นี่! ก็ใกล้จะถึงวันปวารณาออกพรรษาแล้ว
วัดใดมีพระสงฆ์จำพรรษาครบ ๕ รูป วัดนั้นก็ได้รับพระพุทธานุญาตให้รับกฐินได้ เหตุที่ต้องกำหนดให้มี ๕ รูป ก็เพราะว่า การสวดกฐินเป็นสังฆกรรม ประเภทญัตติทุติยกรรมวาจา คือ กรรมวาจามีญัตติเป็นที่สอง หนึ่งรูปเป็นผู้กรานกฐิน อีกสี่รูปจึงครบจำนวนเป็นสงฆ์ สามารถอปโลกน์กฐินได้
.
ช่วงที่กำหนดให้ทอดกฐินได้ คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ไปจนถึง วันเพ็ญเดือน ๑๒ ถือเป็นช่วงจีวรกาล เป็นคราวที่ภิกษุทั้งหลายหาผ้าทำจีวรเปลี่ยนของเดิม จึงเป็นคราวที่ทายกถวายผ้าแก่สงฆ์เพื่อประโยชน์แห่งการนี้
.
พระที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส จะได้รับอานิสงส์จำพรรษา ๕ ประการ คือ
.
๑. เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลา
๒. เที่ยวไปโดยไม่ต้องเอาจีวรไปครบสำรับมี สบง จีวร สังฆาฏิ เป็นต้น คืออยู่ปราศจากไตรจีวรได้ไม่เป็นอาบัติ
๓. ฉันคณโภชน์ คือ ฉันเป็นหมู่ นิมนต์ออกชื่อโภชนะได้ ฉันปรัมปรโภชน์ คือรับนิมนต์ที่หนึ่ง แล้วไปฉันอีกที่หนึ่งได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ปกติจะเก็บได้ไม่เกิน ๑๐ วัน
๕. จีวรลาภอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอทั้งหลาย
.
ทั้งได้โอกาสเพื่อจะกรานกฐิน และได้รับอานิสงส์ ๕ ข้างต้นนั้น เรียกว่า อานิสงส์กฐิน เพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดฤดูเหมันต์
.
เหตุนั้น จึงมีพระพุทธานุญาตเป็นพิเศษไว้ เพื่อสงฆ์ยกผ้าอันไม่พอแจกกันให้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง รับเอาไปทำจีวรผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวร นิยมทำเป็นผ้าสบง ภิกษุนั้น หรือภิกษุอื่นช่วยกันทำก็ได้ ตั้งแต่ กะ ตัด เย็บ ย้อม เสร็จในวันนั้น ทำพินทุกัปปะ อธิษฐานเป็นจีวรครองเป็นจีวรกฐิน เรียกว่า กรานกฐิน แปลว่า ขึงไม้สะดึง
.
อธิบายว่า ครั้งก่อนพระไม่ชำนาญในการเย็บจีวร ต้องเอาเข้าขึงที่ไม้สะดึงเย็บ เสร็จแล้วบอกแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่ออนุโมทนา ภิกษุเหล่านั้นอนุโมทนา ทั้งภิกษุผู้กราน ทั้งภิกษุผู้อนุโมทนา ย่อมได้อานิสงส์แห่งการกรานกฐิน เลื่อนเขตอานิสงส์จำพรรษาทั้ง ๕ ออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดฤดูเหมันต์
.
ดังนั้น หลังออกพรรษาแล้ว ๑ เดือน จึงเป็นช่วงฤดูทอดกฐินของพวกเราชาวพุทธ ก็คือการเอาผ้าจีวรไปถวายสงฆ์นั่นเอง ถ้าเป็นผ้ากฐินมักใช้เป็นผ้าขาวสำหรับทำสบง เพื่อให้พระท่านกรานกฐินได้ เพราะท่านต้อง กะ ตัด เย็บ ย้อม ให้เสร็จในวันนั้น แล้วอธิษฐานใช้ผ้าสบงกฐินเป็นผ้าสบงครอง ให้สงฆ์อนุโมทนา จึงจะได้รับอานิสงส์แห่งการกรานกฐินตามที่มีพระพุทธานุญาตไว้
.
ต้องแยกแยะนะว่า ถ้าเป็นผ้ากฐิน พระท่านต้องอปโลกน์ ๔ รูป เพื่อให้สงฆ์พิจารณาว่าจะให้ผ้าแก่ท่านใดเป็นผู้กรานกฐิน โดยมากก็จะเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุด ผ้ากฐินจะต้องหนาสักนิดเพราะใช้ทำเป็นผ้าสบง หนาประมาณผ้าซันฟลอไรซ์ เบอร์หนึ่งหมื่น ส่วนผ้าจีวร กับผ้าสังฆาฏิ ก็จะบางลงมาหน่อย ถือเป็นผ้าบริวาร จะไปตัดเย็บวันอื่น ๆ ก็ได้
.
เฉพาะผ้ากฐิน ต้อง กะ ตัด เย็บ ย้อม ให้เสร็จในวันนั้น เพื่อให้ทันการกรานกฐิน ส่วนผ้าอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้ในการกรานกฐิน จะตัดเย็บย้อม เมื่อไหร่ก็ได้
.
ถ้าจะถวายเป็นผ้าไตรจีวรสำเร็จรูปก็ถวายได้ ถือเป็นผ้าบริวาร แต่จะเอาไปกรานกฐินไม่ได้ ต้องมีผ้าขาวแนบไปด้วยเพื่อนำไปกะ ตัด เย็บ ย้อม เป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง จึงจะกรานกฐินสำเร็จ
.
แต่บางวัดท่านอาจรับกฐินแล้ว ไม่ได้กรานกฐินก็ได้ เอาผ้าจีวรสำเร็จที่เขาถวาย ทำพินทุกัปปะ แล้วอธิษฐานใช้เป็นผ้าครองเลยก็ได้ มันก็แล้วแต่ปฏิปทาของแต่ละวัด
.
ที่พูดให้ฟังนี่เป็นปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านจะให้เอาผ้ากฐินไป กะ ตัด เย็บ ย้อม เป็นผ้าสบงให้เสร็จ พระทั้งวัดที่มีฝีมือรุมทำกันพรึ่บเดียว เพราะใคร ๆ ก็อยากเอาบุญกับท่าน แต่ผู้เย็บนี่ต้องฝีมือชั้นเซียนจริง ๆ ถึงจะได้ขึ้นจักรนะ
.
มันเริ่มตั้งแต่ กะ ตัด เย็บ ย้อม ตั้งเตาต้มแก่นขนุน เตรียมผสมสีย้อมผ้า พอเย็บเสร็จก็ย้อมสี ตากให้แห้ง แล้วเอามาตัดเศษด้ายออกให้หมด สำรวจตรวจตราความเรียบร้อยหมดจดทุกอย่างแล้ว ก็พับเก็บไว้
.
พอตอนค่ำองค์ท่านก็ให้ประชุมสงฆ์ อธิษฐานถอนผ้าสบงครองเก่าออกก่อน แล้วเอาผ้าสบงกฐินมาอธิษฐานเป็นผ้าสบงกฐินครองแทน แล้วให้สงฆ์ทั้งนั้นอนุโมทนา การกรานกฐินก็ถือว่า เสร็จพิธี ก็เห็นท่านพาทำแบบนี้ทุกครั้ง ไม่เคยเห็นองค์ท่านใช้จีวรสำเร็จรูปสักที
.
ส่วนวัดใดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป ศรัทธาญาติโยมก็อย่าไปบังคับให้ท่านต้องรับกฐิน มันจะทำให้ท่านกระอักกระอ่วนใจ ควรเลี่ยงไปเป็นทอดผ้าป่าก็ได้
.
จะเป็นการทอดกฐิน หรือทอดผ้าป่า ถ้ามีพระสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไปเป็นผู้รับ มันก็คือสังฆทานเหมือนกันนี่แหละ ต่างกันแค่กรรมวิธีในการรับ กับกาลเวลาที่รับเท่านั้น
.
บางคนก็อ้างสรรพคุณมาแข่งกันว่า ทอดกฐินมีอานิสงส์มากกว่าทอดผ้าป่า ก็เลยจะเอาแต่ทอดกฐิน ตั้งท่าจะทอดกฐิน ๑๐ วัด ๑๐๐ วัด ไปเจอวัดไหนมีพระสงฆ์จำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป เห็นวัดท่านขาดแคลนก็อยากจะช่วยท่าน ก็ไปบังคับให้ท่านต้องรับกฐิน
.
เพราะญาติโยมอยากจะทอดกฐิน เนื่องจากคิดว่า การทอดกฐินได้บุญเยอะกว่าทอดผ้าป่า พระท่านก็จำต้องยอมตามใจญาติโยม จำเป็นก็ต้องไปนิมนต์พระวัดอื่นมารับกฐินแทน
.
ถามว่า พระจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป จะรับกฐินได้ไหม? ก็ตอบว่า ถ้าจะทำ มันก็ทำได้ เพียงแต่ว่า มันไม่เป็นกฐินที่ถูกต้องตามพระพุทธานุญาตเท่านั้นเอง ก็เป็นเหมือนกฐินหลอก ๆ บ้างก็ว่า เป็นกฐินของโยม ไม่ใช่กฐินของพระ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป
.
คือมีพระจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป ก็นิมนต์พระที่อื่นมาสวดอปโลกน์ สวดญัตติทำพิธีให้เสร็จไปก็เท่านั้น พระที่รับกฐิน ก็ไม่ได้รับอานิสงส์กฐินตามพระวินัย เพราะไม่ใช่กฐินก็ไม่จำเป็นต้องกรานกฐิน ซึ่งตามปกติพระป่า ท่านก็ไม่เอาอานิสงส์กฐินกันอยู่แล้ว
.
ถ้าพระท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ถ้ามีพระจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป โดยมากท่านก็จะไม่รับกฐิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พระที่จำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป แล้วรับกฐิน จะไปว่าท่านไม่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ก็ว่าไม่ได้นะ!! บางทีอย่างอื่น ๆ ท่านอาจจะเคร่งครัดก็ได้
.
เรื่องรับกฐินนี่! บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับเจตนา และ เหตุผลในความจำเป็นของแต่ละท่าน แต่ละสถานที่ด้วย จะเอาการรับกฐิน หรือไม่รับกฐิน มาเป็นเกณฑ์ตัดสินความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระ หาได้ไม่
.
บางที่ท่านมีพระจำพรรษาเกิน ๕ รูป ท่านไม่รับกฐินก็มี เพราะพระพุทธานุญาตให้รับกฐินนี้ ท่านให้ไว้สำหรับผู้มีความจำเป็นต้องใช้ข้ออนุญาตนั้น ๆ เฉพาะกิจเฉพาะกาล ถ้าไม่มีความจำเป็น จะไม่เอาก็ไม่เป็นไร
.
เรื่องกฐินมันเป็นเรื่องของญาติโยมจะทำกันเอง พระไปเกี่ยวข้องไม่ได้ ใครอยากทอดกฐินวัดไหน ก็ไปแจ้งความจำนงกับพระที่อยู่ในวัดนั้น บางทีพระท่านก็จำเป็นต้องอนุโลมไปตามญาติโยม เหตุผลเพราะ
๑. ท่านไม่อยากไปขัดศรัทธาของเขา
๒. ท่านไม่มีตัวเลือกมากนัก
๓. ภาระค่าใช้จ่ายที่วัดแบกรับอยู่
.
อีกทั้งพระวินัยก็ไม่ได้ถึงขั้นปรับอาบัติโดยตรง แต่ที่เป็นปัญหาคือ พระวินัยก็ไม่ได้ห้ามไว้ว่า ถ้าพระจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป ห้ามรับกฐิน ถ้าขืนรับกฐิน จะปรับอาบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่มีบัญญัติไว้โดยตรง
.
จึงต้องปล่อยให้อยู่ในดุลพินิจของพระท่านจะใช้มหาปเทส ๔ พิจารณากันเองตามอัธยาศัย แต่ถ้าจะให้ดี ก็ต้องเว้นข้อที่ห้าม ทำตามข้อที่อนุญาต นั่นแหละดีที่สุด
.
ถ้าพระรูปไหนคิดว่า มีพระจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป ไม่ควรรับกฐิน ก็จงอย่ารับกฐิน
.
ถ้าพระรูปไหนคิดว่า มีพระจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป แต่มันมีเหตุจำเป็นต้องรับกฐิน ก็รับไป จะทนเจ็บทนปวดทางพระวินัยเอาเอง ก็ไม่ว่ากัน
.
เรื่องของปฏิปทาการปฏิบัติธรรม มันก็มีตึงมีหย่อนไม่เท่ากัน จะไปบังคับให้พระท่านทำเหมือนกันหมด มันก็สุดวิสัย บางทีเรื่องเลวร้ายหนักกว่านี้อีกมากมาย ก็ยังทำกันได้อย่างหน้าตาเฉยเลย ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
.
ส่วนทำแล้วจะทำให้การบำเพ็ญจิตภาวนาราบรื่นไปจนสำเร็จถึงมรรคถึงผล ได้หรือไม่ ก็ยกให้เป็นเรื่องของแต่ละท่านไปพิสูจน์ทราบเอาเอง ถ้าเถียงกันไป ก็จะทะเลาะกันเปล่า ๆ เป็นเหตุให้สงฆ์แตกแยกกัน ยิ่งเป็นกรรมหนักกว่าเข้าไปอีก
.
สุดท้ายเรื่องเล็ก ๆ ก็เลยจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตโดยไม่จำเป็น ต่างคนต่างทำไปเองก็แล้วกัน พระวินัยก็บอกไว้หมดแล้ว ถ้าเคารพในพระธรรมวินัย ก็รู้ได้เองว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
.
ญาติโยมก็จงอย่าไปบังคับท่าน ให้ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างโน้น ถ้าช่วยส่งเสริมให้พระท่านทำให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยได้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศประเสริฐที่สุด
.
ถามว่า แล้วญาติโยมได้รับอานิสงส์ไหม ตอบว่า ย่อมได้รับอานิสงส์ตามสมควรแก่กำลังศรัทธา และปัญญาของแต่ละท่าน มันก็เป็นเหมือนการถวายสังฆทาน ต่างกันแค่ว่า ทอดกฐินเป็นกาลทานมีระยะเวลาให้ทำได้แค่ ๑ เดือน หลังออกพรรษาแล้ว ไปจนถึงวันลอยกระทงเป็นวันสุดท้าย
.
ผู้ทำจึงต้องมีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะต้องทำให้เสร็จทันภายในเวลาที่กำหนด อาจต้องทุ่มเทความตั้งใจมากกว่า ส่วนการทอดผ้าป่า การถวายสังฆทาน นั้น สามารถทำได้ถวายได้ตลอดไป ไม่มีจำกัดกาลเวลา ก็ทำได้ตามอัธยาศัย
.
ถ้าคุณเอาผ้า ๑ ผืนไปถวายทอดกฐิน กับเอาไปทอดผ้าป่า หรือไปถวายสังฆทานในสงฆ์เดียวกัน ก็ถือเป็นการถวายเป็นของสงฆ์ดุจเดียวกัน จะต่างกันแค่วิธีการถวาย กับกาลเวลาเท่านั้น ในส่วนของผู้ให้ อานิสงส์จะได้มากหรือได้น้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการถวาย หรือกาลเวลาที่ถวาย แต่ขึ้นอยู่กับใจของผู้ถวายเองต่างหาก ว่ามีศรัทธา มีปัญญามากน้อยแค่ไหน
.
จะพูดอานิสงส์ของการทอดกฐิน การทอดผ้าป่า และการถวายสังฆทาน ให้ฟัง ว่ามีอานิสงส์มากน้อยต่างกันแค่ไหนอย่างไร ฟังแล้วก็เก็บไปคิด ถ้าเห็นดีเห็นงามจึงค่อยเชื่อ ถ้าไม่เห็นดีเห็นงาม ก็ไม่ต้องเชื่อก็ได้
.
ถ้าจะถวายทานให้มีอานิสงส์มากสูงสุด ต้องประกอบด้วยองค์ ๖ ประการ
…
๑. ผู้รับเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ไต่ลำดับไปตั้งแต่ ขั้นต่ำเป็น พระปุถุชน ไปจนถึงพระอริยเจ้า ๔ จำพวก ไปจนถึงพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ไปสิ้นสุดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นสงฆ์ที่มีท่านเหล่านี้ประชุมอยู่ในสงฆ์ ก็ยิ่งมีอานิสงส์มากยิ่งขึ้นไปอีก แต่กับท่านเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่า ใครจะได้เจอท่านเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าโอกาสหนึ่งในล้านก็ยังยากที่จะได้เจอเลย
…
๒. วัตถุทานได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปกระทำทุจริตได้มา ส่วนจะมีมาก หรือมีน้อยไม่สำคัญนัก ขึ้นอยู่กับกำลังศรัทธาและปัญญาของแต่ละคน ถ้าตั้งจิตไว้ถูก ถึงวัตถุทานน้อย ก็มีอานิสงส์มากได้ ถ้าตั้งจิตไว้ผิด แม้วัตถุทานมาก ก็มีอานิสงส์น้อยได้
…
๓. ผู้ให้ก็เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นเบื้องต้น ถ้ามีสมาธิ มีปัญญาประกอบด้วย ก็ยิ่งมีอานิสงส์มากขึ้นไปโดยลำดับ เป็นร้อยเท่าพันทวี
…
๔. ก่อนให้มีศรัทธาความเชื่อ มีปสาทะ ความเลื่อมใส มีความตั้งใจที่จะให้ ไม่หวังผลตอบแทน
…
๕. ขณะที่ให้ก็มีความเลื่อมใสศรัทธา มีความตั้งใจ มีความยินดีที่จะให้
…
๖. หลังให้แล้วก็มีศรัทธา มีปิติอิ่มเอิบใจ มีใจยินดีผ่องใสเบิกบาน ไม่นึกเสียดายในวัตถุทานที่ให้ไป
…
ทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ เช่นนี้ ไม่ว่าจะทอดกฐิน ทอดผ้าป่า หรือถวายสังฆทานธรรมดา ๆ ก็มีอานิสงส์มากทั้งสิ้น
…
ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเลือก ควรทอดกฐินได้ก็จงทอดกฐิน ควรทอดผ้าป่าได้ก็จงทอดผ้าป่า ควรถวายสังฆทานได้ก็ถวายสังฆทาน หรือแม้จะมีอานิสงส์ไม่สูงสุดก็ตาม แต่ช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้ก็ถือว่าควรทำเช่นกัน อาทิ ให้ทานแก่คนทุกข์คนยาก ที่ประสบภัยพิบัติ หรือแม้แต่การช่วยชีวิตสัตว์ ถึงไม่มีอานิสงส์มาก ก็ช่วยได้ทำได้ทั้งนั้น เพื่อให้ใจมีความเสียสละที่ยิ่งใหญ่กว้างขวาง ไม่ถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ
…
การถวายทานที่มีอานิสงส์มากอย่างแท้จริง คือ การถวายทานแล้วทำให้ตัวเราเกิดความปฏิบัติดี สามารถชำระกิเลสภายในใจได้ เป็นกำลังหนุนให้เกิดสติปัญญา รักษาศีล เจริญสมาธิ อบรมปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้ จนทำใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส ได้ อย่างนี้ถือว่า มีอานิสงส์สูงสุดอย่างแท้จริง
…
ดังนั้น จึงไม่ต้องมานั่งเถียงกันให้กิเลสมันหัวเราะเยาะ ว่า ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน อะไรจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน ไม่ต้องไปอยากรู้มันหรอก แต่ละอย่างส่งผลให้ถึงพระนิพพานได้ทั้งนั้น เราอยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ก็ตายจากกันไปหมดแล้ว ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ มีโอกาสทำบุญอะไรได้ก็ทำไปเถอะ อย่ามัวเป็นบ้าเอาอานิสงส์มากให้งมงายอยู่เลย
…
ได้ยินใครบางคนพูดว่า ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า มันเป็นเรื่องของการถวายผ้าจีวร ไม่จำเป็นต้องไปเน้นเรื่องเงินก็ได้ พระท่านไม่ได้ต้องการเงิน เห็นหลายวัดประกาศยอดเงินกฐิน บางวัดได้เป็นสิบล้าน เลยหาเรื่องไปว่าท่านว่า ผิดวัตถุประสงค์ของการทอดกฐิน
…
เอ้า! ก็ญาติโยมเขามีศรัทธาที่จะถวายปัจจัย พระท่านมีความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนเขาอยากถวาย จะไปห้ามเขาได้ที่ไหน มันจะได้ปัจจัย ได้มากได้น้อย ก็ต้องแล้วแต่ศรัทธาของญาติโยม
…
ถ้าพระไม่ได้เที่ยวไปบอกบุญเรี่ยไรเชิญชวนให้เขาเอาเงินมาถวาย มันก็ไม่ผิดหรอก ใครอยากถวายเงินร้อยล้านก็ถวายได้ ถวายสลึงหนึ่งก็ถวายได้ จงทำตามที่สบายใจเลย
…
ที่เขาบอกว่า พระท่านก็ไม่ได้ต้องการเงินหรอก เขาก็พูดถูกนะ แต่มันถูกไม่หมด ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนต่างเอาแต่ผ้าจีวรไปถวายพระ มันคงจะกองเท่าภูเขา พระท่านจะเอาผ้าไปใช้ทำอะไรตั้งเยอะแยะ มันก็มากเกินความจำเป็น
…
เพราะแต่ละวัดก็มีภาระค่าใช้จ่ายที่มันต้องใช้เงินต่างกัน ญาติโยมก็ต้องรู้จักฉลาดว่า ควรจะถวายอะไร มีประมาณมากน้อยแค่ไหนอย่างไร จึงจะเหมาะจะควรกับความจำเป็นของแต่ละวัด และเหมาะกับกำลังความสามารถของตัวเองด้วย อย่างนี้จึงเรียกว่า ถวายทานอย่างมีปัญญา ไม่ใช่มีแต่ศรัทธาที่งมงาย
…
การถวายผ้าจีวรเป็นหัวใจหลักของการทอดกฐิน เพราะพระท่านต้องใช้ผ้านั้นนำไป กะ ตัด เย็บ ย้อม ให้สำเร็จเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง เพื่อการกรานกฐิน ส่วนบริวารกฐินจะเป็นเงิน เป็นข้าวของเครื่องใช้จำเป็นอย่างอื่น ก็ทำได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังศรัทธา และปัญญาของญาติโยม
…
ได้ยอดกฐินเยอะ ๆ ก็ดี พระดีท่านก็รู้จักเอาเงินไปทำประโยชน์สงเคราะห์โลกได้อย่างมากมาย ท่านไม่ได้คิดจะเก็บสั่งสมเงินเอาไว้ แล้วตายทิ้งไปเปล่า ๆ หรอก
…
มีข้อควรระวัง!! สำหรับการทอดผ้าป่านิดหนึ่ง ถ้ากล่าวคำถวายเป็น ภิกขุสังฆัสสะ/ภิกขุสังโฆ พระจะไปชักบังสุกุลไม่ได้ เพราะถือว่า ถวายเป็นของสงฆ์ ถ้าจะให้พระชักบังสุกุลได้ ต้องเปลี่ยน สังฆัสสะ เป็น สีละวันตัสสะ เปลี่ยน สังโฆ เป็น สีละวา เช่นนี้ พระชักบังสุกุลก็ไม่เป็นอาบัติ และต้องไม่ถวายถึงมือ แค่เอาไปวางไว้ จึงเป็นการทอดผ้าป่าที่ถูกต้อง
…
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๔
|
สายธารธรรม โดย...เจ้าอาวาส