ตะวันจะลาลับขอบฟ้า
ตะวันจะลาลับขอบฟ้า ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ๆ ตะวันและขอบฟ้าก็ยังคงต่างอยู่ต่างเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติของเขา ไม่เคยจากกัน ไม่เคยพบกัน
.
ในขณะที่เรามองเห็นว่า ตะวันกำลังจะจากไป ความมืดกำลังจะปกคลุม แต่ในอีกมุมหนึ่งของโลกกลับมองเห็นว่า ตะวันกำลังจะโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า แล้วส่องแสงสีทองเจิดจ้าอำไพ
.
ใครบางคนอาจโศกเศร้าเพราะตะวันลาลับหายไป แต่ในขณะเดียวกัน ใครบางคนก็อาจกำลังยินดีปรีดาในความงามของแสงสีทองแห่งตะวันยามเช้า
.
คนที่ยินดีในสุขอย่างหนึ่ง ก็มักต้องเผชิญกับทุกข์อย่างหนึ่ง เมื่อเหตุแห่งสุขนั้นแปรเปลี่ยนไป
.
ดังเช่น ตะวันที่หมุนเวียนไปตามธรรมดา แต่หากใครไปยึดถือแล้วยินดียินร้าย ว่า นั่นตะวันขึ้น โน่นตะวันตก คนนั้นก็ไม่มีวันจะหนีพ้นไปจากสุขหรือทุกข์ได้ เพราะเหตุแห่งตะวันขึ้น และตะวันตก
.
ที่จริงตะวันไม่เคยขึ้น ตะวันไม่เคยตก ตะวันก็ยังคงเป็นอยู่ดังเดิม ขอบฟ้าก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน ตะวันกับขอบฟ้า ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย แต่ใจเราก็ไปสำคัญผิด เห็นผิดเอามาเกี่ยวข้องกันเองต่างหาก
.
ดังนั้น ใจจึงต้องเผชิญสุข และทุกข์ เพราะตะวันขึ้น และตะวันตกอยู่ร่ำไป ตราบเท่าที่ยังยินดีและพอใจในการไป ๆ มา ๆ ของตะวัน
.
เทียบได้กับใจและกาย วันหนึ่งใจก็ต้องลาลับจากกายไป และหากใจยังหลงกายอยู่ ใจนั้นก็จะหวนกลับคืนมาหากายใหม่อีก เป็นอยู่เช่นนี้
.
แต่ใจที่ยังหลงอยู่ ก็มักมองเห็นการที่ใจจากกายไปว่า นั่นคือตาย และมองเห็นการที่ใจกลับมาหากายใหม่อีกว่า นั่นคือ เกิด
.
คนเราจึงเป็นทุกข์บ้าง สุขบ้าง เพราะการตาย การเกิด เนื่องจากไม่มีใครอยากให้ตาย มีแต่คนอยากให้เกิดมากกว่า
.
เห็นไหม? วันเกิดทีไร ต้องจัดงานฉลองวันเกิดกันใหญ่โต แต่ไม่มีใครจะจัดงานฉลองวันตายให้กับใครเลย
.
จนกว่าจะทำใจให้หมดสิ้นหลงได้ คือไม่สำคัญผิดคิดยึดถือว่า กายและใจ เป็นเราอีกตลอดไป
.
อุปมาเหมือนบุคคลที่พิจารณาเห็นว่า ตะวันไม่เคยขึ้น ตะวันไม่เคยตก ที่ว่าขึ้น และตก ล้วนเป็นเพราะจิตเห็นผิดไปว่าเอาเองต่างหาก
.
ที่จริง ตะวันก็ไม่มี ขอบฟ้าก็ไม่มี แล้วการขึ้น การตก จะมีมาแต่ไหน มันเป็นเพียงสิ่งที่ใจเราไปสมมติว่าเป็นตะวัน ไปสมมติว่าเป็นขอบฟ้าเท่านั้นเอง
.
ธรรมชาติจริง ๆ ก็ยังคงเป็นธรรมชาติของเขาอยู่ดังเดิม มิได้แปรเปลี่ยนไปตามความสมมติแต่อย่างใดเลย
.
เมื่อบุคคลใดมาเพิกถอนสมมติออกจากใจเสียได้ ก็จะเหลือไว้แต่ความรู้ตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าสมมติไว้ตามอาการหนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง หาได้มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ใด ๆ อยู่ในสมมตินั้น ๆ ไม่
.
การท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารของใจที่ยังไม่รู้แจ้งสัจธรรม ก็เป็นเฉกเช่นนั้น
.
เป็นธรรมดาธรรมชาติของใจที่ยังหลงสมมติ หากยังพอใจยึดถือว่า นี่เป็นกายเรา โน่นเป็นกายเขา ก็ยังคงหนีไม่พ้นที่จะต้องมาเกิดมีกายเช่นนี้อีก และก็ต้องมาตายเมื่อกายแตกดับอีก และก็จะหลงสำคัญผิดคิดว่า เราเกิด เราตาย อยู่เช่นนี้ตลอดไป
.
ถ้าใจยังสำคัญผิดว่า การมีกายคือ การเกิด เมื่อกายแตกนั่นคือ การตาย ใจก็จะต้องเป็นสุข เป็นทุกข์ เพราะการเกิดการตายไปอีกนานแสนนาน เนื่องจากทุกคนที่เกิดมา แม้อาจจะไม่อยากเกิด แต่เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ไม่มีใครอยากที่จะตาย
.
ถ้าใจดวงไหนมาทำลายความหลงผิดที่คิดว่าเกิดว่าตายเสียได้ ใจดวงนั้นก็จะหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดไปตลอดอนันตกาล