ทุกข์คือความจริงอันประเสริฐ ทุกข์คือความจริงอันประเสริฐ!!
.
ถ้าไปอยู่ที่ไหนแล้วมันอึดอัดใจ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ หาทางไปต่อไม่ได้ ก็ให้ถอยกลับออกมาทางเดิม แล้วตั้งต้นเดินทางใหม่ อย่าไปนอนรอความตายอยู่ตรงนั้น ในโลกนี้ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายรอเราอยู่
.
ขอเพียงเราอย่าท้อแท้ใจ อย่าหมดกำลังใจ จงปลุกปลอบใจให้มีพลังเข้มแข็งที่พร้อมจะก้าวเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคขวากหนามทุกชนิดที่ขวางกั้น ถ้าเดินไม่ไหวก็จงคลานไป ถ้าคลานไม่ไหวก็กลิ้งเกลือกไป อย่ายอมแพ้เหมือนคนสิ้นท่า แล้ววันหนึ่งความสำเร็จก็จะเป็นของเรา ไม่มีคำว่า “สาย” สำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า สำหรับผู้มีความเพียร
.
ความทุกข์ใจมันเกิดขึ้นเพราะเหตุ ๓ ประการคือ ทุกข์เพราะโลภ, ทุกข์เพราะโกรธ, ทุกข์เพราะหลง ถ้าไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ในใจ ทุกข์ทั้งหลายก็ไม่มี
.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรเกิดดับ”
.
หลายคนฟังแล้วก็งง ไม่เข้าใจทำไมจึงว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรเกิดดับ ในเมื่อทุกสรรพสิ่งในโลกต่างก็เกิดขึ้นแล้วดับไปเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ต้นไม้ ภูเขา ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ
.
ที่จริง พระพุทธพจน์อันนี้คือ ยอดธรรมในพระพุทธศาสนา ยากที่ใคร ๆ จะเข้าใจได้ง่าย ๆ เราจะบรรยายขยายความให้ผู้ใคร่ธรรมได้ฟังพอสังเขป เพื่อนำไปพิจารณาให้เกิดประโยชน์ และเห็นความจริงได้ตามสมควร
.
สิ่งต่าง ๆ เกิดดับ มันก็เป็นเรื่องของสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น จะเกิดจะดับ ไม่ได้มีอะไรมาเกี่ยวข้องกับเรา ถ้ามันอยู่ห่างไกลจากตัวเรา ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน สิ่งเหล่านั้นถึงมีอยู่ก็เหมือนไม่มี เพราะใจเราไม่ได้ไปรับรู้ถึงความมีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น และสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นจะเกิดจะดับ ก็ไม่อาจมาสร้างความทุกข์ให้กับใจเราได้ เพราะใจเราไม่ได้ไปคิดถึงมัน
.
แต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ใจเรา อันเกิดจาก รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ ที่มาสัมผัสเกี่ยวข้องกับร่างกายเรานี่แหละ ที่ทำให้ใจเกิดความคิดปรุงแต่งไปกับมันแบบผิด ๆ นี่! ต่างหาก ที่เป็นตัวการทำให้ใจเราเป็นทุกข์
.
ถ้าเราเห็นทุกข์เกิดดับอยู่ที่ใจเราได้ แสดงว่า เรามีสติปัญญามากพอ ที่จะสามารถค้นคว้าหาเหตุแห่งทุกข์ และทำลายเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงนั้นให้หมดสิ้นไปจากใจได้ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ทุกข์ในใจก็จะดับไปเอง
.
ข้อสำคัญคือ เราต้องกำหนดรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ใจให้ได้ก่อน จึงจะหาทางดับทุกข์ได้ เมื่อทุกข์เกิดต้องไม่กลัวทุกข์ ต้องไม่หนีทุกข์ พยายามวิเคราะห์ดูว่า ทุกข์เกิดมาจากเหตุอะไร และจะเอาชนะมันได้ด้วยอุบายแบบไหน
.
ดังนั้น ธรรมท่านจึงสอนว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดดับอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราดับทุกข์ที่อยู่ภายในใจได้แล้ว ใจก็จะไม่มีอะไรเกิดดับอีกเลยตลอดอนันตกาล
.
จึงว่า นี่! เป็นธรรมขั้นสุดยอดในพระพุทธศาสนา เพราะผู้ที่จะไม่มีทุกข์เกิดดับภายในใจได้ ก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นเอง ที่จะเห็นเหตุแห่งทุกข์ และเห็นการดับไปของทุกข์ทั้งปวง เพราะความดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างแท้จริง
.
นอกนั้นก็เป็นเพียงแค่รู้ทุกข์เห็นทุกข์เกิดดับไปตามสัญญาความทรงจำที่เป็นภาษาพูดเฉย ๆ เพราะถ้าเจริญมรรคยังไม่สมบูรณ์ ก็ไม่สามารถที่จะดับเหตุแห่งทุกข์ที่อยู่ภายในใจได้ เมื่อดับเหตุแห่งทุกข์ที่อยู่ภายในใจไม่ได้ ใจก็ต้องมีทุกข์เกิดดับอยู่ร่ำไป
.
ดังนั้น เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ จึงต้องย้อนจิตเข้าไปพิจารณาตรวจตรองดูทุกข์ว่า ทุกข์นั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไร ถ้าสติกล้า ปัญญาคม ก็จะเห็นได้ว่า มันมีความอยากอันหนึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ทุกข์เกิดอยู่เสมอ
.
ให้ค้นหาความอยากนั้น เอาความอยากนั้นเป็นหินลับสติปัญญา พยายามคิดค้นหาเหตุผลว่า ความอยากนั้นเป็นไปในทางดีหรือชั่ว ควรอยากหรือไม่ควรอยาก ความอยากที่เป็นไปในทางเสื่อมเสียต้องทำลายให้หมดสิ้นไป อย่าให้เกิดมีขึ้นได้ ความอยากอันใดเป็นไปในทางที่ดี ก็ส่งเสริมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป หมั่นพากเพียรพิจารณาทำดีไปเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงที่สุดแห่งความดีแล้ว สติปัญญามันจะย้อนมาปฏิวัติตัวมันเอง
.
ความอยากที่ยังต้องอาศัยกายแสดงออกมีอยู่ ๒ ประเภท คือ ความอยากที่มาจากความโกรธ มันก็จะเกิดความคิดเพ่งโทษคนอื่น ตำหนิติเตียนคนอื่น เกิดความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ถ้ามีมากจนเกินห้ามใจ ก็จะกลายเป็นการกระทำที่ไม่ดี เป็นเหตุให้ประทุษร้ายกัน หรือพูดวาจาเสียดแทงใจกัน ด้วยไม่หวังดีต่อกัน อาจถึงขั้นฆ่าฟันกันได้
.
กับความอยากที่มาจากความโลภ ถ้ามีความรักเจือปน ก็จะกลายเป็นความคิดถึงห่วงใยอาลัยอาวรณ์ อยากเห็น อยากอยู่ใกล้ อยากดูแล อยากพูดคุย อยากเอาอกเอาใจ ถ้าเป็นความโลภธรรมดา ๆ ก็จะเกิดเป็นความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบกัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
.
อันความโลภและความโกรธนี้ เป็นสิ่งที่ผู้มุ่งหวังความพ้นทุกข์จะต้องทำความเพียรเพื่อเอาชนะและกำจัดมันไปให้ได้ ความโลภเปรียบเหมือนแขนขวา ความโกรธเปรียบเหมือนแขนซ้าย ทั้งสองอย่างนี้ยังต้องอาศัยกาย วาจาเป็นเครื่องมือในการแสดงออก จึงเพียงสติปัญญาในระดับกลางที่พิจารณารู้เท่ากาย ก็สามารถทำลายลงได้อย่างเด็ดขาด
.
ส่วนความหลงเป็นเจ้าเรือนบงการอยู่เบื้องหลัง เป็นโคตรเหง้าเหล่ากอของอวิชชา ที่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาขั้นสูง ระดับมหาสติมหาปัญญาเท่านั้น จึงจะพอฟัดพอเหวี่ยง และทำลายกันลงได้แบบขุดรากถอนโคน สิ้นภพสิ้นชาติอยู่จบพรหมจรรย์แต่เพียงเท่านี้
.
เพราะเหตุนั้น ทุกข์จึงไม่มีในใจของท่านผู้สิ้นกิเลส สิ้นโลภ สิ้นโกรธ สิ้นหลง เมื่อทุกข์ดับจากใจ ใจก็ไม่มีทุกข์ ใจจึงไม่มีอะไรเกิดดับอีกเลย จึงเป็นเอกันตบรมสุข ยืนหนึ่งตั้งเที่ยงอยู่อย่างนั้นตลอดอนันตกาล
.
สมดังธรรมท่านสอนไว้ว่า “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง” แปลว่า “นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง” ความที่ทุกข์ดับไปหมดแล้วนั่นแล จึงเป็นเอกันตบรมสุข คือ เป็นสุขอย่างยิ่งในหลักธรรมชาติ เป็นสุขที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งด้วยประการทั้งปวง
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๕_๑๑
|
สายธารธรรม โดย...เจ้าอาวาส