![](/images_profiles/heading1.gif)
* บริขารพระป่าในปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์ บริขารพระป่าในปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องบริขารที่จำเป็นต้องใช้นั้น ในปฏิปทาของพระป่าสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็มีแบบอย่างที่ท่านพาปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมากท่านก็ยึดถือปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่ค่อยจะมีอะไรแปลกประหลาด หรือพิสดารแหวกแนวออกนอกลู่นอกทาง ปกติพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ค่อยจะส่งเสริมให้พระเณรในวัดป่าบ้านตาด มาหมกมุ่นเกี่ยวกับการจัดทำบริขารต่างๆมากนัก เพราะองค์ท่านเอง เคยทำกลดเพียงคันหนึ่ง แล้วเป็นเหตุให้จิตเสื่อมไปเป็นปี กว่าจะรื๊อฟื้นจิตใจให้มีสมาธิกลับคืนมาได้ดังเดิม ก็ต้องผ่านความทุกข์ทรมานเพราะจิตเสื่อมมาอย่างสุดแสนสาหัส เพราะเหตุนั้น องค์ท่านจึงต้องเข้มงวดกวดขัน และคอยป้องกัน ไม่ให้มีการงานใดๆ มาเป็นภัยต่อจิตภาวนาของพระเณร อันจะเป็นเหตุทำให้จิตใจเหินห่างจาก "พุทโธ" และอีกอย่างหนึ่ง สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานของสมาธิจิตมั่นคงดีแล้ว ก็ยังเป็นเหตุให้สมาธิเสื่อมได้ เพราะการทำบริขารแม้เพียงการทำกลดคันเดียวยังไม่ทันแล้วเสร็จ สมาธิที่เคยเข้าได้ตลอดเวลา ก็เริ่มปรากฏเข้าได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จนถึงขั้นสมาธิอันตรธานไม่หลงเหลือเลย ดังที่องค์ท่านได้เผชิญมาแล้ว และเห็นโทษของความที่จิตเสื่อมอย่างถึงใจ ดังนั้น การที่พ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ถึงกับส่งเสริมพระเณรในเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ และความจำเป็นที่ต้องฝึกหัดทำบริขารให้เป็น แม้องค์ท่านเอง พวกลูกศิษย์ก็ทราบกันดีว่า องค์ท่านมีฝีมือในการตัดเย็บจีวรที่ทั้งรวดเร็วและสวยงามไม่ธรรมดาเลย ดังนั้น การที่องค์ท่านไม่ส่งเสริม แต่ก็ไม่ถึงกับห้าม และยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการจัดทำบริขารอีกด้วย จึงน่าจะเป็นอุบายที่มุ่งสอนให้พระเณรรู้จักรักษาตนเอง มิให้เรื่องบริขารอันเป็นของภายนอก มาทำลายสาระสำคัญทางด้านภายในคือจิตภาวนานั่นเอง จะเห็นได้จากการที่วัดป่าบ้านตาดรับกฐินในแต่ละปี พ่อแม่ครูอาจารย์จะพาพระเณรกรานกฐิน และอนุโมทนากฐินทุกครั้งไป การกรานกฐินนั้น ต้องได้เอาผ้ากฐิน มา กะ ตัด เย็บ ย้อมให้ได้สี และเสร็จทันในวันนั้น ให้เป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง โดยมากก็ใช้เย็บเป็นสบง เพื่อให้ทันกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด และต้องได้ภิกษุผู้มีความสามารถ มีความชำนาญการ กะ ตัด เย็บ ย้อม จึงจะสำเร็จประโยชน์ ใช้ได้ทันกับเวลา ส่วนที่วัดป่าบ้านตาดนั้น เมื่อรับกฐินแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์ก็อนุญาตให้พระเณรตัดเย็บจีวรกันได้ โดยใช้ศาลาด้านใน ชั้นบน แต่องค์ท่านก็เข้มงวดกวดขันให้ตัดเย็บเป็นเวล่ำเวลา พอถึงเวลาทำข้อวัตรปัดกวาดก็ต้องหยุดทันที และหากมีทีท่าว่าจะยืดเยื้อไปนานหลายวัน ก็จะพูดเตือนสติให้พระเณรได้คิด และรู้จักความพอเหมาะพอดีในการจัดทำบริขาร เพื่อไม่ให้พระเณรเหินห่างจากจิตภาวนานานมากเกินไป สำหรับพระป่านั้น เรื่องบริขารท่านมักจะจัดทำกันเอง เพราะจะมีพระที่เก่งในการทำบริขารแต่ละอย่าง ตามจริตนิสัย บางองค์ก็เก่งเย็บจีวร บางองค์ก็เก่งทำขาบาตร บางองค์ก็เก่งทำกลด เป็นต้น ซึ่งบริขารแต่ละอย่างนั้น กว่าที่จะทำได้ สำเร็จ ก็ต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกหัดมาเป็นอย่างดี และต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมากมายเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่มีฝีมือในการทำบริขาร ส่วนใหญ่ท่านก็นิยมทำถวายครูบาอาจารย์ หรือสงเคราะห์แก่หมู่คณะที่ขาดแคลนตามโอกาสอันควร และถ่ายทอดวิชาสืบต่อกันมาในวงพระกรรมฐานด้วยกัน สำหรับบริขารที่พระป่านิยมทำกันเองนั้น ก็มี การตัดเย็บ สบง จีวร สังฆาฏิ ผ้าอังสะ ผ้าปูนั่ง ผ้าอาบน้ำ การทำถลกบาตร (สบบาตร) ขาบาตร ถุงบาตร ย่าม กลด มุ้งกลด และเครื่องใช้ต่างๆ เช่น การทำไม้สีฟัน (ไม้เจีย) ทำไม้กวาดสำหรับกวาดลานวัด เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งบางอย่างจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัย และบางอย่างก็จำเป็นต้องศึกษากรรมวิธีเป็นการเฉพาะ และมีครูบาอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอด จึงจะสามารถทำได้โดยถูกต้องและเหมาะกับการใช้งาน ดังนั้น หากพระเณรไม่ตั้งอกตั้งใจศึกษากันอย่างจริงๆจังๆ ก็ไม่อาจจะรักษาปฏิปทาในส่วนนี้ไว้ได้ ในลำดับนี้ ก็จักแสดงบริขารต่างๆที่นิยมทำกันในสายพระป่า พอให้เป็นแนวทางปฏิบัติโดยสังเขป และเป็นแบบอย่างแก่กุลบุตรผู้มาสุดท้ายภายหลังได้เรียนรู้ และสืบทอดปฏิปทาอันดีงาม และถูกต้องตามพระวินัย ดังต่อไปนี้ :-
จีวร เป็นบริขารสำคัญของพระที่จำเป็นต้องมี และต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัยด้วย สำหรับใช้นุ่งห่มปกปิดร่างกาย ประกอบด้วยผ้า ๓ ผืน เรียกว่า ไตรจีวร ดังนี้ สำหรับงานตัดเย็บจีวรนั้น ค่อนข้างเป็นงานที่สลับซับซ้อนพอสมควรทีเดียว หากมิได้ตั้งใจศึกษา ฝึกหัดกันอย่างจริงๆจังๆแล้ว คงทำสำเร็จได้ยากมาก เริ่มต้นจากการกะขนาดให้นุ่งห่มได้พอดีเสียก่อน ซึ่งก็มีมาตรฐานของแต่ละบุคคลดังนี้ ให้ผู้สวมใส่ งอข้อศอกตั้งฉาก แล้ววัดจากส่วนปลายข้อศอกถึงปลายนิ้วกลาง ว่ายาวเท่าไร ขนาดมาตรฐานของสบง คือ ยาว ๕ ศอก กับ ๑ คืบ ( ๑ คืบ = ๓๐ ซม.) จะได้ขนาดของสบง คือ ยาว (๔๕ x ๕) + ๓๐ = ๒๕๕ ซม. (คำว่า ศอกในที่นี้ คือความยาวศอกของผู้ใช้) ส่วนกว้างมาตรฐาน ๒ ศอก ก็จะได้ส่วนกว้างคือ ๔๕ x ๒ = ๙๐ ซม. ขนาดมาตรฐานคือ รูปร่างคนปกติ ไม่อ้วนใหญ่เกินไป หรือสูงเกินไป ถ้าคนอ้วนใหญ่ จะต้องเพิ่มด้านยาวออกไปอีก ส่วนคนสูงก็ต้องเพิ่มด้านกว้าง (สูง)ให้มากขึ้น โครงสร้างจีวร ขนาด ๙ ขัณฑ์ กรอบสี่เหลี่ยมโดยรอบเรียก อนุวาต โดยมาตรฐานนิยมใช้ กว้าง ๑๕ ซม. ที่เห็นเป็นเส้นคู่คั่นตามแนวตั้ง ของแต่ละขัณฑ์ เรียก กุสิ (หรือกุสิยาว) และที่เป็นเส้นคู่ คั่นขวาง ขนานกับด้านยาวของจีวร ทั้งข้างบน ข้างล่างสลับกัน เรียก อัฑฒกุสิ (หรือกุสิขวาง) ทั้งกุสิ และอัฑฒกุสิ ขนาดมาตรฐานนิยมใช้ กว้าง ๖ ซม. วิธีการคำนวน สมมติ ผู้ใช้จีวร ศอกยาว ๔๕ ซม. ต้องการจีวร ๙ ขัณฑ์ ความยาว จีวรมาตรฐานก็คือ ๖ ศอก กับ ๑ คืบ
ขัณฑ์กลาง ๑ ขัณฑ์ มี ๒ กุสิ จะได้ ขัณฑ์กลาง กว้าง = ๒๕ + ๖ + ๖ = ๓๗ ซม. ก็จะได้ขนาดความกว้างของแต่ละขัณฑ์ ตามต้องการ
เมื่อคำนวนขนาดของแต่ละขัณฑ์ได้แล้ว ก็ขีดเส้นกุสิ และอัฑฒกุสิ ให้ได้ตามรูปโครงสร้างจีวร การขีดอัฑฒกุสิ หรือที่เรียกว่า กุสิขวางนั้น ก็ขีดเป็นเส้นคู่ขนานห่างกัน ๖ ซม. ให้ได้แนวตรงกันทุกขัณฑ์ โดยมากจะใช้วิธีพับสามส่วน แล้วขีดอัฑฒกุสิ เข้าหากึ่งกลางของแต่ละขัณฑ์ หรือขีดออกไปทางด้านริมผ้าก็ได้ หรือใช้วิธีพับครึ่ง แล้ววัดจากกึ่งกลางแต่ละขัณฑ์ แบ่งให้ได้ระยะอัฑฒกุสิ ด้านบน ด้านล่าง สลับให้เท่าๆกัน ตามรูปโครงสร้างจีวรก็ได้ จากนั้นจึงลงมือตัดผ้าออกเป็น ๙ ชิ้น โดยต้องกำหนดหมายไว้ด้วยว่า ชิ้นไหนเป็นขัณฑ์ไหน เสร็จแล้ว จึงเข้าสู่ขั้นตอนการเย็บ โดยเอาแต่ละขัณฑ์มาต่อกัน โดยเย็บแบบล้มตะเข็บ หรือล้มดูก ซึ่งต้องมีความชำนาญไม่ใช่น้อย จึงจะเย็บได้สวยงาม ส่วนความกว้าง (สูง) ของจีวร เมื่อตัดเย็บแต่ละขัณฑ์ต่อกันเสร็จแล้ว ก่อนเข้าอนุวาต ก็ขึงเชือกตัดริมด้านบน และด้านล่าง ให้ได้ตามขนาดความกว้างมาตรฐานที่คำนวนไว้ โดยมากนิยมเว้าตรงขัณฑ์กลางเข้ามาประมาณ ๑ นิ้ว จากนั้นจึงเย็บเข้าอนุวาตก็สำเร็จเป็นจีวร ขั้นตอนสุดท้ายก็ติดรังดุมชายจีวร และติดรังดุมคอ ทั้งด้านบน และด้านล่าง เพื่อให้นุ่งห่มสลับกันได้ทั้งสองด้าน ก็เป็นอันจบสิ้นขั้นตอนการเย็บที่สมบูรณ์ สำหรับการติดรังดุมคอทั้งด้านบน ด้านล่าง และห่มคลุมจีวรสลับกัน วันหนึ่งเอาด้านบนขึ้น อีกวันหนึ่งเอาด้านล่างขึ้น ก็เป็นปฏิปทาที่ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ถ่ายทอดแก่ลูกศิษย์มาในยุคปัจจุบัน เหตุผลก็เพื่อ เมื่อห่มคลุมสลับกันทั้งสองด้าน ย่อมทำให้จีวรเปื่อยขาดพร้อมกันทั้งสองด้าน ไม่ใช่เปื่อยขาดอยู่เพียงด้านเดียว ก็เป็นเหตุยืดอายุจีวรให้ใช้ได้นานยิ่งขึ้นไปอีก ก็เป็นความจริงอย่างนั้น หากท่านผู้ใดเคยใช้จีวรจนถึงขั้นเปื่อยขาด และเย็บปะไปเรื่อยๆแล้ว ก็จะเห็นความจริงในข้อนี้ และเกิดความซาบซึ้งอย่างถึงใจทีเดียว
เมื่อผ่านขบวนการเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำไปสู่การย้อมแก่นขนุน โดยใช้เตาต้มแก่นขนุนขนาดใหญ่ เคี่ยวแก่นขนุนจนได้น้ำออกเป็นสีแดงคล้ำ จากนั้นจึงผสมสีย้อมผ้า โดยใช้ สีทอง สีกรัก สีแก่นขนุน สีแดง หรือใช้น้ำที่ฝนจากหินแดง ต้องผสมให้ได้สัดส่วนกันพอดี สำหรับปริมาณการผสมนั้น ขึ้นอยู่กับผ้าที่จะย้อม ว่าจะย้อมกี่ผืน ผ้าหนาหรือผ้าบาง ปริมาณการผสมก็แตกต่างกันไป ทั้งนี้ต้องอาศัยผู้มีประสบการณ์จึงจะสามารถผสมสี และย้อมออกมาได้สีมาตรฐานตามที่ใช้กัน หากผสมไม่เป็นก็อาจทำให้จีวรเสียสีได้ การผสมสีจึงกล่าวได้ว่า มีความสำคัญมิใช่น้อย สำหรับสีจีวรที่ใช้กันในวงพระป่านั้น จะออกเป็นสีเหลืองแกมแดง (สีเหลืองหม่น) หรือไม่ก็ สีวัวโทน ซึ่งเป็นสีที่ถูกต้อง และตรงตามปฏิปทาที่พ่อแม่ครูอาจารย์พาปฏิบัติมาแต่เดิม
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กว่าจะทำการ กะ ตัด เย็บ ย้อมให้สำเร็จเป็นจีวรแต่ละผืนได้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย และต้องใช้ฝีมือบวกกับความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว ฉะนั้น การที่พระเณรจะได้มีโอกาสนุ่งห่มผ้าจีวร ที่ผ่านการ กะ ตัด เย็บ ย้อม เช่นนี้ได้นั้น จึงไม่ใช่ของง่าย เพราะต้องอาศัยภิกษุผู้ฉลาด และมีความสามารถ อย่างยิ่งจริงๆ หากท่านผู้ใดมีโอกาสได้นุ่งห่มผ้าจีวรเช่นนี้แล้ว ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจได้เลยทีเดียว จริงอยู่ แม้ในยุคปัจจุบัน โรงงานทอผ้าสำเร็จรูป สามารถย้อมสีผ้าจากโรงงานได้ใกล้เคียงกับสีผ้าจีวรที่พระกรรมฐานใช้อยู่ ด้วยเทคโนโลยีที่ดีกว่า ทำให้สีติดทนนานกว่า และสามารถซักได้แม้กับน้ำเย็น หรือกับเครื่องซักผ้าสมัยใหม่ โดยที่สีไม่ลอก ไม่ต้องมาต้ม เคี่ยวแก่นขนุน ซัก ย้อมให้ยากลำบาก ซึ่งก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพระเณรได้ไม่ใช่น้อย ซึ่งก็น่าที่พระเณรจะควรยินดี แต่ในขณะเดียวกัน บนความสะดวกสบายเช่นนั้น ก็ไม่ผิดอะไร กับการเอาระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอน มากวาดล้างทำลายปฏิปทาในฝ่ายพระธุดงคกรรมฐานให้แตกสลายอย่างพินาศย่อยยับชนิดไม่เหลือซากเลยทีเดียว จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นคติเตือนใจแก่พระเณรผู้จะทรงไว้ซึ่งข้อวัตรปฏิปทาของครูบาอาจารย์ได้คิดอ่านใคร่ครวญให้รอบคอบ
รัดประคด หรือ ผ้ารัดเอว
รัดประคด หรือ ผ้ารัดเอว ถือเป็น ๑ ในบริขาร ๘ ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งทีเดียว ที่พระเณรจะต้องใช้อยู่ตลอดเวลา จะไม่ใช้เฉพาะตอนสรงน้ำเท่านั้น เวลาอื่นนอกนั้น ถ้าใครไม่ใช้รัดประคด อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็เป็นได้ รัดประคดที่ทำใช้กันในวงพระกรรมฐานนั้น ส่วนใหญ่จะถักทอด้วยไหมมีความประณีตสวยงามมาก นิยมทำถวายครูบาอาจารย์ และพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งวิธีการถักทอรัดประคดนี้ ต้องได้ศึกษาจากผู้ที่ทำเป็น และฝึกหัดทำไปด้วยจึงจะสามารถทำได้ เพราะมีกรรมวิธีที่ค่อนข้างละเอียดและซับซ้อนมาก กว่าจะถักได้รัดประคด ๑ เส้น ก็ต้องใช้ความอุตสาหพยายามอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
บริขารอื่นๆ ที่เป็นปฏิปทาในวงพระกรรมฐาน และสืบทอดกันมาในยุคปัจจุบัน
-การทำขาบาตร ถลกบาตร ถุงบาตร ย่าม ผู้สนใจกรุณาอ่านรายละเอียดได้ในไฟล์ PDF ดาวน์โหลดไฟล์ได้จากลิงค์นี้
|
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (156958) | |
บ่วิธีทำประคตเอวด้ยวนะครับอยากเป็น
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สามเณรกฤษฎา ทาคำมอง วันที่ตอบ 2014-02-19 11:08:12 |
ความคิดเห็นที่ 2 (157574) | |
มีแบบขั้นตอนการทำประคดเอวไหมครับ อยากถักเป็นจะได้ถักถวายครูบาอาจารย์ ถ้ามีกรุณาส่งลิ๊งค์มาที่เมลล์ด้วยนะครับ rafael_a_nes@hotmail.com | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พระกฤษณะ โชติธมฺโม (rafael_a_nes-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2014-07-05 12:16:04 |
ความคิดเห็นที่ 3 (157590) | |
การทำรัดประคดนั้น ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยตัวอักษร ต้องลงมือฝึกหัดทำไปพร้อม วัดที่ทำเป็นจะมีก็ทางภาคอีสาน ลองสอบถามที่ วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี, วัดป่าแก้วชุมพล สกลนคร วัดใหญ่ๆทางภาคอีสาน ที่มีแม่ชี น่าจะพอหาได้นะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทีมงาน วันที่ตอบ 2014-07-10 22:39:25 |
ความคิดเห็นที่ 4 (157705) | |
เว็ปไซต์นี้มีคุณค่า สมควรแก่การศึกษา ทั้งพระและฆราวาส อนุโมทนาครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น Akala วันที่ตอบ 2014-09-02 16:29:00 |
[1] |