
ภูมิจิตภูมิธรรม หลายคนแสดงความห่วงใยพระพุทธศาสนาเกรงว่า จะถูกรุกราน และถูกทำลายให้เสื่อมสลายไปจากเมืองไทย เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นที่อินเดียมาก่อน
.
ถ้าเป็นห่วงศาสนากันจริง ๆ พวกเราก็ต้องช่วยกันกระทำเหตุในปัจจุบันให้ดีที่สุด จงช่วยกันปกปักรักษาศาสนาพุทธเอาไว้ อย่าให้ใครมาจาบจ้วงล่วงเกินได้
.
ญาติโยมก็ต้องตั้งตนอยู่ในศีลในธรรม พระเณรก็ต้องประพฤติวัตรปฏิบัติสำรวมกาย วาจา ใจ ตั้งอยู่ในธรรมในวินัย พระพุทธศาสนาก็จะดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในปัจจุบัน ส่วนอนาคตมันก็เป็นผลไปจากปัจจุบันนี่เอง หากทำศาสนาพุทธในปัจจุบันให้ดีแล้ว ศาสนาพุทธในอนาคตมันหากดีเอง
.
ส่วนเรื่องของศาสนาพุทธที่จะเป็นไปอย่างไรในอนาคตจริง ๆ มันก็ไม่มีใครไปรู้ล่วงหน้าได้ว่า จะเป็นอย่างไร เว้นไว้แต่ผู้ที่มีญาณหยั่งรู้อดีตรู้อนาคตได้ ที่ท่านหยั่งรู้อย่างถึงอรรถถึงธรรมจริง ๆ เท่านั้น ไม่ใช่รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง พอแค่ให้ได้เอามาคุยโม้โอ้อวดหลอกลวงโลก รู้อย่างนี้ไม่เรียกว่ารู้จริง เพราะยังเอาตัวเองให้รอดพ้นจากขุมนรกไม่ได้
.
มีคำกล่าวว่า ต่อไปศาสนาพุทธจะไปเจริญอยู่ที่ต่างประเทศ เพราะพระไทยไปเผยแผ่ศาสนาพุทธอยู่ในต่างแดนเป็นจำนวนมาก ทั้งทางแถบยุโรป และอเมริกา ชาวต่างชาติก็สนใจคำสอนของพระพุทธศาสนา หันมานับถือพระพุทธศาสนากันมากขึ้น บางพวกก็สนใจปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเจริญภาวนาอย่างที่เคยปรากฏเป็นข่าว
.
ถ้าเรามองกันอย่างผิวเผิน ก็ดูเหมือนว่าน่าปลาบปลื้มใจนักที่ศาสนาพุทธจะไปเจริญรุ่งเรืองที่ต่างแดน มีชาวต่างชาติหันมานับถือศาสนาพุทธมากขึ้น มีฝรั่งมาบวชเป็นพระมากขึ้น วัดวาอาวาสก็เจริญรุ่งเรืองมีโบสถ์ มีวิหาร มีศาลา มีกุฏิสวยงาม อีกทั้งมีพระไทยไปปฏิบัติศาสนกิจยังต่างแดนมากขึ้น
.
แต่เราจะพูดให้ฟังนะ ฟังแล้วก็เก็บไปคิดเอาเอง ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเราก็ได้
.
การที่ศาสนาพุทธจะไปเจริญรุ่งเรือง ณ ที่ไหนก็ตาม อย่ามองเพียงแค่ว่ามีศาสนวัตถุสวยงามบริบูรณ์ อย่ามองเพียงแค่ว่ามีคนศรัทธาเลื่อมใสมาก อย่ามองเพียงแค่ว่ามีลาภสักการะมาก อย่ามองเพียงแค่ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องยืนยันความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา หากจะพูดว่าศาสนวัตถุเจริญ ก็คงพออนุโลม แต่มันเป็นได้แค่สะเก็ดหรือเปลือกของศาสนาเท่านั้น
.
แท้จริง ศาสนาพุทธย่อมเจริญอยู่ที่ใจคน ใจพระ ใจเณร เท่านั้น ถ้าใจใดทรงไว้ซึ่งศาสนธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาที่ถูกต้อง มีข้อวัตรปฏิบัติอันเป็นไปเพื่อการทรมานกิเลส เผากิเลสให้เร่าร้อน จนถึงขั้นสามารถกำจัดอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจได้ จะโดยบางส่วน หรือโดยสิ้นเชิงก็ตาม อันจักเป็นเหตุยังพระอริยบุคคล ๔ จำพวกให้ปรากฏขึ้นได้ ณ ที่ใด ที่นั้นแล คือที่ที่ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองได้อย่างแท้จริง
.
ดังนั้น การที่จะพูดว่า ศาสนาพุทธจะไปเจริญรุ่งเรืองยังต่างประเทศ ทุกคนก็คงพอมองเห็นภาพกันแล้วว่า ศาสนาพุทธจะไปเจริญได้อย่างไร จะมีเพียงศาสนวัตถุเจริญ หรือจะมีศาสนธรรมไปเจริญรุ่งเรืองด้วย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ที่จะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่นั้น ๆ ว่า มีภูมิจิตภูมิธรรมมากพอที่จะไปสั่งสอนเขาไหม
.
ในส่วนของพระเณรที่จะไปเผยแผ่ศาสนาพุทธให้เจริญรุ่งเรืองยังต่างประเทศ ถ้าจะเอาแบบหวังผลได้ ก็ต้องเป็นพระเณรที่มีศาสนธรรมอยู่ภายในใจแล้วอย่างมั่นคง มีข้อวัตรปฏิบัติอันเข้มแข็งแกร่งกร้าวแล้วเท่านั้น
.
ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น เห็นมีแต่เอาจีวรไปทิ้งอยู่ต่างประเทศเสียเยอะแยะนัก หรือไม่ก็ซมซานกลับมาไทยด้วยบาดแผลเต็มตัว หรือไม่ก็อยู่ที่นั่นพอให้มีพระรักษาศาสนวัตถุเอาไว้ ส่วนการที่จะปฏิบัติรักษาพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด มีข้อวัตรปฏิบัติมุ่งสู่แดนหลุดพ้นอย่างจริงจังก็อาจจะมีอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่ทรงธรรมทรงวินัยคอยให้คำแนะนำพร่ำสอน ก็คงยากที่จะฝ่าดงกิเลสไปได้ตลอดรอดฝั่ง
.
การจะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังต่างแดน มันไม่ง่ายอย่างที่คิด การไปอยู่ในสังคมที่เขาไม่รู้จักคุ้นเคยกับการปฏิบัติของพระเณร ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของชาวพุทธ ไม่รู้จักการอุปัฏฐากพระที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
.
ถ้าพระไม่ฉลาดที่จะรักษาพระธรรมวินัยให้ดี เอาแต่จะอนุโลมตามญาติโยม เพราะกลัวแต่เขาจะไม่เลื่อมใสศรัทธา กลัวเขาจะไม่มาปฏิบัติรับใช้ ก็อนุโลมตามโยมไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเลยกลายเป็นอนุแหลก แล้วย้อนกลับมาเป็นภัยกับตัวเองฆ่าตัวเองตายไปเท่านั้นแล!! อย่าว่าแต่พระในต่างแดนเลย พระที่อยู่ในเมืองไทยเองก็เถอะ ถ้าปฏิบัติแบบโง่ ๆ ก็ตายกันไปเยอะแล้ว
.
ดังนั้น ศาสนาพุทธถึงแม้ไม่มีใครมาทำให้เสื่อม ศาสนาพุทธก็จะต้องเสื่อมอยู่เอง ด้วยการที่ชาวพุทธแต่ละคนทำร้ายตัวเอง คือการยอมตัวเป็นขี้ข้าของกิเลสอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์เอาไว้ ศาสนาพุทธจะดำรงอยู่ได้ประมาณแค่ ๕๐๐๐ ปี หลังจากนั้นแล้ว จิตใจของสัตว์โลกไม่อาจยอมรับธรรมได้อีกเลยตลอดกาลนานแสนนาน
.
มาพูดถึงเรื่องของศาสนาโดยทั่วไปบ้าง มีคำกล่าวว่า ศาสนาทุกศาสนาย่อมสอนให้คนเป็นคนดี คุณว่าจริงไหม?
.
คำตอบ : มันก็จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เพราะแต่ละศาสนาย่อมมีศาสดาที่เป็นผู้ตั้งศาสนานั้น ๆ เป็นเจ้าของอยู่ การจะสอนให้คนเป็นคนดีได้ ศาสดาของแต่ละศาสนาก็ต้องเป็นคนดีให้ได้ก่อน และการเป็นคนดีก็มีหลายระดับ อยู่ที่ใครจะเข้าถึงความดีได้ในระดับใด
.
ธรรมชาติของโลกเป็นมาอย่างนี้ เป็นมานานแสนนาน จะมีใครรู้หรือไม่มีใครรู้ก็ตาม ก็หนีความเป็นอย่างนี้ไม่พ้น โลกนี้จึงมีทั้ง “ดี” และ “ชั่ว”คละเคล้าปะปนกันไป จะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้
.
มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีรักก็ต้องมีเกลียด มีร้อนก็ต้องมีเย็น มีกลางวันก็ต้องมีกลางคืน มีเกิดก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย นี่คือความสมดุลย์ในหลักธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้
.
เรื่องดี ๆ ในโลกนี้ก็มีอยู่มากมาย เรื่องชั่ว ๆ ก็มีอยู่ไม่ได้ด้อยกว่ากันนัก อีกทั้งคนดีก็มีหลายระดับชั้นดังกล่าวแล้ว ไล่ไปตั้งแต่คนดีทั่ว ๆ ไปที่โลกนิยมยกย่องว่าดี เลยนั้นไปก็เป็นคนดีที่มีศีลธรรมประจำใจที่เรียกว่ากัลยาณปุถุชน สูงกว่านั้นขึ้นไปอีกก็เป็นคนดีแบบสุด ๆ ที่สามารถระงับดับกิเลสได้บ้าง จนถึงสามารถดับกิเลสได้อย่างสิ้นเชิงเข้าถึงพระนิพพานที่เรียกว่า พระอริยบุคคล
.
ส่วนคนชั่วก็มีหลายระดับเช่นกัน ที่ชั่วสุด ๆ ก็พวกที่ชอบไปอยู่ในอเวจีมหานรกจนถึงโลกันตมหานรก คือพวกที่ไม่รู้จักว่าอะไรคือบุญ อะไรคือบาป แต่ตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมแต่บาป
.
ดังนั้น ความดีของแต่ละศาสนาอาจมีแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับว่า ศาสดาของแต่ละศาสนาจะมีสติปัญญาเข้าถึงความดีได้ในระดับใด ก็เป็นคนดีได้แค่นั้น และสอนคนอื่นให้ดีได้แค่นั้น ไม่มีทางเลยนั้นไปได้
.
นิยามของคำว่า “คนดี” จึงมีได้หลายนัย แล้วแต่ภูมิสติปัญญาของแต่ละศาสดาว่าจะสามารถรู้ลึกรู้ตื้นในสภาวธรรมทั้งปวง หากเป็นความรู้ที่ยังมีกิเลสครอบงำอยู่ ก็อาจจะรู้ผิดบ้าง รู้ถูกบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
.
คำสอนของศาสนาพุทธเป็นคำสอนของท่านผู้สิ้นกิเลสย่อมปราศจากอคติทั้งสี่ จึงไม่มีทางที่จะไปเหมือนกับคำสอนของคนมีกิเลสอย่างแน่นอน จะมีเหมือนกันบ้างก็เฉพาะการทำความดีในระดับพื้นฐานที่คนมีกิเลสพอจะทำได้รู้ได้เห็นได้เท่านั้น
.
พอก้าวเข้าสู่ความดีที่เป็นธรรมชั้นสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป คนมีกิเลสทั่วไปก็ชักจะรู้ไม่ได้ จำกัดแต่เฉพาะผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตามแนวทางแห่งมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น จนจุดสุดท้ายก้าวถึงความดีอันเป็นธรรมขั้นโลกุตระ ก็ยิ่งจำกัดให้รู้ได้แต่จำเพาะพระอริยบุคคลสี่จำพวก ผู้เข้าถึงอริยมรรค อริยผลในขั้นนั้น ๆ จนถึงที่สุดแห่งธรรมคือสำเร็จพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน ก็มีแต่พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกเท่านั้น จะพึงรู้ได้เห็นได้
.
ที่กล่าวมานี้ คือความจริงในหลักธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนไปบันดาลให้ธรรมในหลักธรรมชาตินี้ แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้ แม้ตัวพระเจ้าเอง ถ้าไม่ได้เดินบนหนทางแห่งมรรคมีองค์ ๘ ก็ยังต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของกิเลสอย่างไม่มีทางหนีพ้น
.
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า คำสอนของศาสนาพุทธ ไม่ใช่คำสอนที่สอนแค่ให้คนเรา ละชั่ว ทำดี แต่สอนให้ก้าวไปถึงขั้นทำใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส ซึ่งไม่มีในคำสอนของศาสนาอื่น
.
มีคำถามแย้งว่า จะไปพูดอะไรถึงธรรมขั้นหลุดพ้น มันเป็นธรรมชาติลึกลับที่ไม่มีใครมองเห็นและสัมผัสได้ เอาแค่ว่าสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในโลกใบนี้ มีงานทำ มีเงินเดือน มีกินมีใช้ ไม่ต้องไปคดโกงใคร ไม่ไปปล้นจี้ลักขโมยของใคร ไม่ไปอาฆาตพยาบาทใคร ไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ไปทำร้ายใครให้เดือดร้อน ทำได้แค่นี้ก็น่าจะดีแล้วนะ
.
หรือเห็นใครเดือดร้อนประสบกับภัยพิบัติ อยากช่วยเขาก็บริจาคทรัพย์ช่วยเหลือกันไปด้วยมนุษยธรรม ไม่ต้องเลือกว่าเป็นใครก็ช่วยได้ ไม่จำเป็นจะต้องไปทำบุญกับพระที่วัดอย่างเดียว จะทำบุญที่ไหนก็ทำได้ ทำไมจะต้องให้พระในพระพุทธศาสนามาผูกขาดการทำบุญเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว กระนั้นหรือ?
.
ส่วนธรรมขั้นหลุดพ้นอะไรนั่นที่พูดมา มันก็สัมผัสจับต้องได้ยาก แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับธรรมที่เราไม่อาจรู้ได้เห็นได้ ทำอะไรแล้วมันสุขกายสบายใจก็ทำไปเถอะ มันก็น่าจะโอเคแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ให้ต้องมาถกเถียงกันว่า ศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน ใครจะสอนผิดหรือใครจะสอนถูก จริงไหมครับท่าน?
.
คำตอบ : ทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมมีคุณค่าอยู่ในตัวมันเอง บางอย่างก็มีคุณค่ามาก บางอย่างก็มีคุณค่าน้อย ผู้ฉลาดย่อมรู้จักที่จะถือเอาประโยชน์จากสิ่งต่าง ๆ ได้ ตามสมควรแก่คุณค่าของมัน
.
ธรรมที่มีอยู่ในหลักธรรมชาติ ก็มีตั้งแต่ธรรมขั้นพื้น ๆ ไปจนถึงธรรมขั้นกลาง ขั้นละเอียด และขั้นละเอียดสุดของธรรม ธรรมแต่ละขั้นก็ย่อมจะอำนวยผลให้แก่ผู้ปฏิบัติตามสมควรแก่ความปฏิบัติ คงไม่มีใครสามารถไปกำหนดได้ว่า ควรปฏิบัติธรรมถึงขั้นไหนจึงจะพอ ต้องให้ผู้ปฏิบัติแต่ละรายเข้าไปตัดสินด้วยความรู้ความเห็นของตนเอง
.
ดังนั้น หากคุณมีสติปัญญาถือเอาประโยชน์จากธรรมได้แค่ไหน ก็จงถือเอาประโยชน์ไปตามนั้น ตามที่คุณเห็นสมควร ไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะไปบงการผู้อื่นที่เขาอาจมีสติปัญญาสูงกว่า ที่สามารถถือเอาประโยชน์จากธรรมได้สูงส่งกว่าคุณ
.
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็จะพูดอย่างนี้ว่า ธรรมมี ๒ อย่าง คือ
.
๑. โลกียธรรม คือธรรมของคนที่ยังมีกิเลสครองใจอยู่ ธรรมชั้นนี้ยังเอาแน่นอนไม่ได้ มีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ยังตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เดี๋ยวว่าดี เดี๋ยวว่าไม่ดี เป็นธรรมขั้นพื้นฐานที่อาจมีในคำสอนของศาสนาอื่น ๆ ได้
.
ที่บอกว่า ทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน ก็คืออยู่ในธรรมขั้นนี้ ซึ่งอาจสำคัญผิดว่าชั่วเป็นดี หรืออาจสำคัญผิดว่าดีเป็นชั่วได้ ถ้าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีได้จริง สัตว์โลกก็ควรอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่ต้องมาทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน รบราฆ่าฟันกันเหมือนอย่างทุกวันนี้
.
แต่เพราะโลกียธรรมเป็นธรรมที่ยังอยู่ภายใต้การกดขี่บังคับควบคุมของกิเลส คนเราจึงเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง หาความเสียสละหวังดีต่อกันอย่างจริงใจมิค่อยได้ มักใช้เล่ห์เพทุบายประทุษร้ายซึ่งกันและกัน เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ “ดี” ของคนหนึ่ง อาจกลายเป็น ”ไม่ดี” ของอีกคนหนึ่งก็ได้
.
เราก็พูดได้แต่เพียงว่า คำสอนในส่วนที่ทำให้คนเป็นคนดีจริง ๆ ย่อมมีสมบูรณ์ในคำสอนของศาสนาพุทธที่ผู้ปฏิบัติจะพึงรู้เองเห็นเอง ศาสนาอื่นอาจสอนให้ทำดีแตกต่างกันไป ดีของศาสนาหนึ่งอาจจะกลายเป็นชั่วของอีกศาสนาหนึ่งก็ย่อมได้ เพราะศาสดาของแต่ละศาสนาอาจบัญญัติความดีแตกต่างกันไป
.
ที่ศาสนาพุทธสอนว่า “ดี” แต่อาจกลายเป็น “ไม่ดี” ในศาสนาอื่น หรือที่ศาสนาอื่นสอนว่า “ดี” แต่อาจกลายเป็น “ไม่ดี” ในศาสนาพุทธ จึงเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติจะพึงพิจารณาเอาเอง เพราะศาสนาเป็นเพียงคำสอน หน้าที่ปฏิบัติตาม เป็นหน้าที่ของผู้นับถือศาสนาต้องนำคำสอนไปปฏิบัติเอาเอง และเป็นผู้ได้รับผลเอง ถ้าปฏิบัติแล้วดีจริงก็จะได้รับผลเป็นสุข แต่ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ดีจริงก็จะให้ผลเป็นทุกข์อันผู้ปฏิบัติจะรู้ได้ด้วยตนเอง
.
แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรต้องตระหนักรู้เอาไว้ว่า ไม่สามารถเอาคำสอนของศาสนาใดไปเปลี่ยนแปลง “ความดี“ “ความชั่ว” อันเป็นกฏธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่ในหลักธรรมชาติได้ เช่น จะทำให้ดีกลายเป็นชั่ว หรือจะทำให้ชั่วกลายเป็นดี ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
.
ดังนั้น ถ้าคำสอนของศาสนาไหนสอนถูกต้องตามความเป็นจริง หากสอนว่า “ดี” ก็คือ “ดีจริง” หากสอนว่า “ชั่ว” ก็คือ “ชั่วจริง” ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนานั้น ๆ ย่อมเห็นผลได้อย่างประจักษ์ใจ จากการปฏิบัติของตัวเอง สิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวงว่า เป็นธรรมที่สามารถทำใจให้พ้นจากทุกข์ได้จริง
.
๒. โลกุตรธรรม คือธรรมขั้นวิมุตติหลุดพ้น เป็นคำสอนที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่เป็นการสาธารณะแก่บุคคลทั่วไป พูดง่าย ๆ ว่า หากนับถือศาสดาอื่นที่มิใช่พระพุทธเจ้า ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงธรรมขั้นนี้ ผู้ที่จะเข้าถึงโลกุตรธรรมได้ มีเพียงบุคคล ๓ จำพวกเท่านั้น คือ
.
๑. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
๓. พระอรหันตสาวก
.
ถ้าเปรียบธรรมเป็นสินค้า ก็เป็นสินค้าชั้นดี มีคุณภาพสุดยอด ราคาแพง วางขายอยู่แต่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ผู้ที่ต้องการสินค้านั้น ต้องศึกษาให้รู้จักคุณภาพของสินค้าแล้วเสาะแสวงหาเอาเอง ธรรมไม่ใช่สินค้าประเภทวางแบกับดินอยู่ตามริมถนนหนทาง ที่ผู้ขายต้องคอยร้องเรียกกวักมือให้คนเข้ามาซื้อหา ธรรมไม่ใช่สินค้าอย่างนั้น
.
ดังนั้น ใครจะถือเอาประโยชน์จากธรรมในหลักธรรมชาติได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละบุคคลว่า จะสามารถเข้าถึงธรรมได้ในระดับใด เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นเพียงแค่ผู้บอกทาง ส่วนการที่จะเดินทางไปอย่างไรให้ถูกทางและถึงจุดหมายได้ เป็นหน้าที่ที่ท่านทั้งหลายต้องทำเอง
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๔
๒๗ มีนาคม ๒๕๖๔
|
สายธารธรรม โดย...เจ้าอาวาส