
มาฆบูชารำลึก ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
มาฆบูชารำลึก ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ .
ในวาระที่ วันมาฆบูชา มหามงคลเวียนมาบรรจบครบ ซึ่งปีนี้ตรงกับ วันพุธ ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล เป็นเดือนมาฆะ มีสวดปาติโมกข์ ปักข์ถ้วน นับเป็นอุโบสถที่ ๖ ยังเหลืออีก ๒ อุโบสถ จึงจะสิ้นสุดฤดูหนาว
.
ความสำคัญในวันนี้ เป็นวันประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ ที่เรียกว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ นี้ ได้แก่
.
๑. เป็นวันเพ็ญเดือน ๓ เดือนมาฆะ (เดือน ๔ ในปีอธิกมาส) จึงเรียกว่า วันมาฆปูรณมีบูชา ถือเป็นวันกตัญญูแห่งชาติ เป็นวันแห่งความรักอันบริสุทธิ์,
.
๒. พระอรหันตสาวกเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ด้วยเพราะต่างรำลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยใจรักและเคารพอันประกอบด้วยกตัญญูกตเวทิตาธรรมตักเตือน จึงพร้อมใจกันมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร,
.
๓. พระอรหันต์เหล่านั้นล้วนเป็น เอหิ ภิกขุ อุปสัมปทา คือเป็นพุทธเวไนย ผู้ที่อันพระพุทธเจ้าเท่านั้นจักพึงบวชให้ได้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ" แปลว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด (ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ปรากฏโดยชอบเถิด -หากผู้นั้นยังไม่สำเร็จพระอรหันต์)
.
การที่พระพุทธองค์จะทรงประทาน "เอหิ ภิกขุ" แก่ผู้ใด หมายความว่า ผู้นั้นจักต้องสร้างบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว และเคยให้ทานผ้าจีวรในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสประทาน เอหิ ภิกขุ แล้ว จึงมีจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์มาสวมกายในทันที สำเร็จเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แม้บวชใหม่ แต่มีศีลาจารวัตรอันหมดจดงดงาม มีสติสำรวมปานพระเถระมีพรรษาตั้ง ๑๐๐
.
๔. พระอรหันต์เหล่านั้นล้วนทรงอภิญญา ๖ อันเป็นคุณธรรมอันยิ่งที่สำเร็จได้ด้วยยาก ประกอบด้วย
๑. อิทธิวิธิ หมายถึง แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบนได้
๒. ทิพพโสต หมายถึง มีหูทิพย์ ๓. เจโตปริยญาณ หมายถึง กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ ๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ หมายถึง ระลึกชาติได้ ๕. ทิพพจักขุ หมายถึง มีตาทิพย์ ๖. อาสวักขยญาณ หมายถึง รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป . และมีเหตุการณ์พิเศษอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในวันนี้ ครั้งนั้นทีฆนขปริพพาชก ผู้เป็นหลานของพระสารีบุตร เที่ยวเดินตามหาพระสารีบุตรผู้เป็นลุงของตนอยู่ มาพบพระสารีบุตร กำลังถวายงานพัดอยู่เบื้องหลังพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ จึงรู้สึกไม่พอใจนัก จึงกล่าวในเชิงกระทบกระเทียบว่า “พระโคดม ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่พอใจทั้งหมด”
.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบโต้ด้วยคำพูดที่แทงใจดำของทีฆนขปริพพาชก จนไม่อาจหาเหตุผลมาโต้แย้งว่า “ถ้าเช่นนั้น เธอก็ควรไม่พอใจความเห็นอันนั้นของเธอเสียด้วย” พร้อมทั้งทรงแสดงธรรมอื่น ๆ อีกเป็นอเนกปริยาย พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่ ฟังไปพิจารณาไปก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนทีฆขปริพพาชกก็ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุพระโสดาบัน
.
วันมาฆบูชานี้ จึงเป็นวันถือกำเนิดแห่งพระธรรมเสนาบดี ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้านปัญญา ผู้เป็นพลังสำคัญแห่งกองทัพธรรมในการขับเคลื่อนกงล้อแห่งธรรมจักรของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้หมุนไปในไตรโลกธาตุ
.
เมื่อพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ต่างเดินทางมาถึงพระเวฬุวันมหาวิหารในเวลาตะวันบ่าย ก็เข้าสู่ในที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาต นั่งสงบนิ่งเงียบอย่างสำรวม มิได้มีเสียงพูดคุย สนทนาปราศรัยใด ๆ เป็นสังฆโสภณา คือความงดงามพร้อมพรั่งแห่งสงฆ์
.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่ที่ประชุม และทรงประทับนั่งบนพุทธอาสน์ในท่ามกลางสงฆ์แล้ว แม้จะมีภิกษุสงฆ์ประชุมกันอยู่ถึง ๑,๒๕๐ รูป แต่ในที่ประชุมนั้น นอกจากเสียงธรรมชาติแล้ว กลับมิได้มีเสียงใด ๆ ปรากฏ ยังคงสภาพสงบเงียบสงัด ปานประหนึ่งเป็นสถานที่ว่างเปล่าปราศจากผู้คนใด ๆ
. นี่คือ ความมหัศจรรย์ของการที่ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ทรงอภิญญา ๖ ล้วนเป็นเอหิ ภิกขุ อุปสัมปทา ได้มาประชุมพร้อมกันในที่เฉพาะพระพักตร์ โดยมิได้นัดหมาย ไม่มีใครอาราธนาให้มา ต่างมากันเองด้วยดวงใจรักเคารพเทิดทูนในพระผู้มีพระภาคเจ้า .
เป็นมหาสังฆสันนิบาตอันงาม เช่นนี้ ย่อมปรากฏมีเพียงครั้งเดียว ในสมัยของพระโคดมพุทธเจ้าของพวกเรา เนื่องจากพระองค์มาอุบัติในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัยต่ำสุด คือ ๑๐๐ ปี เพราะช่วงอายุขัยของมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติตรัสรู้ธรรมได้นั้น ต่ำสุด คือ ๑๐๐ ปี และสูงสุดไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ ปี ดังเช่น พระศรีอริยเมตไตรย มีอายุขัย ถึง ๘๐,๐๐๐ ปี มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ เช่นนี้มากกว่า ๑ ครั้ง
. และในวาระดิถีที่ ๑๕ นี้ พระผู้มีพระภาคทรงกระทำวิสุทธอุโบสถ คือทรงแสดงพระปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ ที่ล้วนเป็นพระอรหันต์ ซึ่งจะมีได้ก็เฉพาะในมหาสังฆสันนิบาตเช่นนี้เท่านั้น และทรงตรัสโอวาทปาติโมกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา .
ในวันมาฆบูชานี้ พระสงฆ์ทั่วประเทศก็จะกระทำสังฆอุโบสถ แสดงพระปาติโมกข์ เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล เมื่อจบแล้ว ก็จะมีการสวดท้ายปาติโมกข์ด้วยคาถาโอวาทปาติโมกข์ มีใจความดังต่อไปนี้ :-
. ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโตฯ . ขันติ คือความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวพระนิพพานว่า เป็นเยี่ยม ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ . สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนังฯ . การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใสและบริสุทธิ์ ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย . อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต ปาติโมกเข จะ สังวะโร มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสสะมิง ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง อะธิจิตเต จะ อาโยโค เอตัง พุทธานะ สาสะนังฯ . การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย . ดังนั้น ในโอกาสอันเป็นมหามงคลสมัย วันมาฆบูชา เวียนมาบรรจบครบ บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกท่าน จงอย่าได้พลาดโอกาสอันดีงาม ต่างมีมือถือดอกไม้ธูปเทียน ของหอม และภัตตาหารหวานคาว ไปสู่อารามที่ตนเลื่อมใสศรัทธา เพื่อกระทำอามิสบูชา ทำบุญตักบาตรในยามเช้า จากนั้น ก็สมาทาน ศีล ๕, ศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถ ตามกำลังความสามารถของตน เป็นปฏิบัติบูชา .
แล้วนั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนา เป็นปฏิบัติบูชาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตกเย็นก็มีการเดินทำประทักษิณเวียนเทียนรอบโบสถ์ วิหาร มีทำวัตรค่ำ และสวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน ปิดท้ายด้วยการสวดโอวาทปาติโมกข์ พระเถระผู้ทรงพรรษายุกาล ก็จักแสดงธรรม เพื่อปลุกเร้าใจให้เกิดความอาจหาญ ให้ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติสืบไป
. #ดอยแสงธรรม_๒๕๖๕
|
สายธารธรรม โดย...เจ้าอาวาส