วิถีแห่งจิตในภาคปฎิบัติธรรม ตอน ๑ ถ้าพูดถึงเรื่องของการปฏิบัติธรรม ก็ต้องเริ่มต้นที่การรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ให้ได้ก่อน บริสุทธิ์ในที่นี้คือ บริสุทธิ์ด้วยการตั้งเจตนาไว้ว่า จะไม่ล่วงเกินศีลข้อใดข้อหนึ่งแล้วทำให้ได้ ยังไม่ใช่บริสุทธิ์ในหลักธรรมชาติที่ดับเจตนาที่จะล่วงเกินศีลได้แล้ว
.
เพราะถ้ายังรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ก็ยังไม่พ้นจากอบาย จึงยังไม่เรียกว่า ปฏิบัติธรรมก่อน เพราะถ้าปฏิบัติธรรมก็ต้องพาตัวเองให้พ้นจากอบายได้ แม้ยังไม่พ้นไปก็ต้องมีความเพียรพยายามที่จะทำให้พ้นไป จึงจำเป็นต้องมีเจตนาที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์
.
ถ้าใจไม่มีศีลเสียแล้ว จะไปเจริญสมาธิ ก็ไม่มีทางที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นได้ อาจมีบ้างที่จิตสงบอยู่ชั่วพักชั่วครู่ แต่เป็นได้ไม่นานเดี๋ยวจิตก็เสื่อม เพราะการที่จิตจะเป็นสมาธิตั้งมั่นได้ จิตต้องมีศีลเป็นฐานรองรับ
.
ถ้าจิตไม่มีศีลเป็นฐานรองรับ ก็เท่ากับเดินมรรคไม่สมบูรณ์ อริยมรรค อริยผลก็เกิดไม่ได้ แม้เจริญสมาธิก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิ จะมีก็แต่เป็นมิจฉาสมาธิเท่านั้นเอง คือไม่เป็นสมาธิที่เป็นไปเพื่อให้เกิดสติปัญญาสัมมาทิฏฐิที่จะดับทุกข์ได้
.
เพียงปัญญาในชั้นของศีล ยังทำให้การรักษาศีลบริสุทธิ์ไม่ได้ ปัญญาที่จะตัดความคิดฟุ้งซ่านรำคาญที่ทำให้จิตไม่สงบก็เกิดได้ยาก ยังมีปัญญาชั้นสูงที่จะดับทุกข์ในใจยิ่งมิอาจเป็นไปได้เลย
.
ดังนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์จึงย้ำนักย้ำหนาว่า ศีลเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา เป็นบ่อเกิดแห่งธรรมทั้งปวง ถ้าไม่มีศีลอย่างเดียวเท่านั้น ธรรมอื่น ๆ ในองค์อริยมรรคทั้ง ๘ ไม่มีธรรมอันใดจะพึงเกิดขึ้นได้เลย
.
เพราะเหตุนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมหวังก้าวล่วงจากทุกข์พึงรักษาศีลไว้ให้ดีเถิด ให้ศีลเป็นสมบัติของตน เมื่อรักษาศีลดีแล้ว สมาธิก็จะเป็นไปเพื่อสัมมาสมาธิ ปัญญาก็จะเป็นไปเพื่อสัมมาทิฏฐิ อันจะพึงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้ และดับทุกข์ได้จริง
.
นักปฏิบัติธรรมถ้าไม่เน้นหนักในเรื่องของศีลให้บริสุทธิ์แล้ว จะพากเพียรภาวนาเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางที่จะก้าวหน้าไปไหนได้เลย อันการทำบุญทำทานนั้นเป็นเพียงช่วยให้มีทรัพย์สมบัติอยู่ดีกินดี แต่ต้องมีศีลเป็นพี่เลี้ยง ทานจึงจะมีผลมีอานิสงส์มากได้ อย่าเอาแต่ทำบุญทำทานโดยไม่ใส่ใจเรื่องศีล จะหนีไม่พ้นอบาย
.
ถ้ารู้สึกว่า ภาวนาแล้วทำไมจิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ก็จงย้อนไปตรวจตรองดูศีลของตนเอง และชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์เถิด
.
จากนั้นตั้งใจเจริญสมาธิ อบรมปัญญาเสียใหม่ จิตก็จะค่อย ๆ เป็นไป เริ่มคิดในทางที่ดีขึ้น เริ่มทำดี เริ่มพูดดี เริ่มเห็นโทษของตัวเองที่คิดไม่ดี ทำไม่ดี พูดไม่ดี จิตใจมีความระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ไม่ยอมปล่อยให้ใจคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่วได้อย่างง่าย ๆ เหมือนแต่ก่อน
.
จิตมีความละอายต่อบาป มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากทำอะไรที่ทำแล้วทำให้ใจเป็นบาป ถึงแม้ทำแล้วร่างกายจะได้ประโยชน์ก็ตาม แต่ถ้าทำให้ใจเป็นบาป จิตก็จะระมัดระวังยับยั้งกันทันที
.
นั่นคือ สัญญาณบ่งชี้ว่า จิตเริ่มดีขึ้นแล้ว จิตได้ดื่มรสของธรรมแล้ว และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อฝึกสมาธิ สมาธิก็จะดีขึ้น ปัญญาก็คมกล้ายิ่งขึ้น ตราบใดที่ยังรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้อยู่ จนกว่าศีลจะบริสุทธิ์ได้โดยหลักธรรมชาติเป็นเอง อย่างนี้จึงเรียกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมจริงแท้
.
แต่ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจิตไม่เป็นอย่างนี้ จิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จิตเป็นอยู่เหมือนเดิม ยังพอใจทำบาปอยู่ แต่ก็หลงเข้าใจว่า ตัวเองปฏิบัติธรรมอยู่ ก็ให้รู้ไว้เถิดว่า จิตกำลังถูกกิเลสมันหลอกต้มจวนเจียนจะล้มละลายอยู่แล้ว ถ้าไม่รีบกลับจิตกลับใจโดยเร็ว ก็มีหวังได้ล้มละลายจริง ๆ
.
|
สายธารธรรม โดย...เจ้าอาวาส