
ศีลคือรากแก้วของพุทธศาสนา
ศีล คือ รากแก้วของพระพุทธศาสนา . ถ้าผู้ใดปรารถนาความพ้นทุกข์ ผู้นั้นก็ต้องตั้งใจกระทำเหตุ คือทำความดีทุกประเภท เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงส่งยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนสามารถที่จะรองรับอริยมรรค อริยผลขั้นใดขั้นหนึ่งได้ จิตนั้นก็จะสามารถดับทุกข์ได้อย่างถาวร . ไม่ว่าใครจะเกิดมานับถือศาสนาไหน หรือจะไม่นับถือศาสนาไหนเลยก็ตาม แต่ถ้าคนนั้นปรารถนาความดับทุกข์ในใจได้จริง ก็จะต้องมาเรียนรู้วิธีการดับทุกข์จากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น มิฉะนั้น ก็จะไม่มีโอกาสเข้าถึงความดับทุกข์ที่แท้จริงได้เลยตลอดอนันตกาล . อริยสัจ ๔ คือ ความจริงที่มีอยู่คู่โลกมานานแสนนาน ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นธรรมเครื่องสังหารทุกข์ภายในใจได้อย่างราบคาบ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะมาอุบัติตรัสรู้หรือไม่ก็ตาม อริยสัจ ๔ ก็คงมีอยู่ดังเดิม และ ไม่เคยสูญหายไปจากโลกนี้ แม้โลกจะแตกสลายไปก็ตาม แต่อริยสัจ ๔ ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ไม่มีสัตว์รายใดจะสามารถเข้าไปรู้ไปเห็นได้เท่านั้นเอง . ทำไมครูบาอาจารย์จึงเน้นย้ำนักหนาว่า ศีล คือ รากแก้วของพระพุทธศาสนา เพราะศีลเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานที่สามารถต่อยอดให้เป็นคุณธรรมขั้นสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้ ถ้าปราศจากศีลเสียแล้ว คุณธรรมอื่น ๆ ก็เกิดมีไม่ได้ . ที่จริงก็ไม่จำเพาะเจาะจงผูกขาดว่า ศีลจะต้องเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ว่าศาสนาไหน ๆ ก็ตาม ถ้าคำสอนเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ภายในใจได้จริงแท้ ศาสนานั้น ๆ ก็ต้องมีศีลเป็นรากแก้วของศาสนาด้วยกันหมดทั้งสิ้น . อาจจะไม่ใช้คำว่า “ศีล” จะเปลี่ยนไปใช้คำอื่น เช่น ข้อห้าม หรือ บทบัญญัติอะไรก็แล้วแต่ ขอให้มีเจตนางดเว้นจากการกระทำไม่ดี ๕ ประการนี้ คือ ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่โกหกหลอกลวง, ไม่ดื่มเหล้าหรือของมึนเมาทุกชนิด . ถ้าเว้นจากโทษ ๕ ประการ นี้ได้ จะเรียกว่า ศีล, ข้อห้าม หรือ บทบัญญัติอะไรก็ตาม ก็มีความหมายอันเดียวกัน เพราะโทษ ๕ ประการ นี้ เป็นความจริงในหลักธรรมชาติ ที่ถ้าใครทำผิดแล้ว ก็เป็นเหตุให้ได้รับผลไม่ดีดุจเดียวกัน. . ไม่มีการยกเว้นว่า จะต้องเป็นชาวพุทธ หรือไม่เป็นชาวพุทธ จะนับถือศาสนาไหน หรือไม่นับถือศาสนาไหนก็ตาม และศาสนานั้น ๆ จะสอนอย่างนี้ หรือไม่สอนอย่างนี้ ก็แล้วแต่ศาสดาของศาสนานั้น ๆ แต่ไม่อาจไปลบล้างความจริงในหลักธรรมชาติได้ . ถ้าใครทำผิดศีล ๕ ข้อ หรือกระทำโทษ ๕ ประการนี้ ก็จะต้องได้รับผลแห่งการกระทำไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง นั่นคือ จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบาย ๔ มี สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก อันเป็นที่ซึ่งหาความสบายมิได้เลย . ดังนั้น ถ้าใครอยากทำดี อยากได้ดีทั้งในชีวิตปัจจุบัน และอนาคต จงตั้งใจรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ด้วยดีเถิด อย่าไปสนใจเพ่งโทษคนอื่น ใครเขาจะทำดีทำชั่วอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการทำดีทำชั่วของคนอื่น จึงไม่ควรไปเก็บเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นอารมณ์ทำให้ใจตนเองขุ่นมัวไปโดยใช่เหตุ หากไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดจาตักเตือนเขาได้ พึงนิ่งเสีย เพราะพูดไปก็รังแต่จะทะเลาะกันไปเปล่า ๆ . อยากให้เขาทำอย่างนั้น ไม่อยากให้เขาทำอย่างโน้น พอเขาไม่ทำอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็หงุดหงิดรำคาญเดือดร้อนใจหนักเข้าก็โกรธกันเขม่นกัน ดีไม่ดีก็ถึงขั้นทำร้ายกันจนต้องติดคุกติดตาราง ต้นเหตุก็เพราะตัวเองทำตัวเองทั้งนั้น แล้วก็ไปหาเรื่องโทษคนอื่น ทำให้เป็นฟืนเป็นไฟไปเผาคนอื่นอีกต่างหาก . ธรรมท่านจึงสอนว่า ใครทำดีก็ได้ดีเอง ใครทำชั่วก็ได้ชั่วเอง ไม่ต้องไปแช่งชักหักกระดูกกันก็ได้ ถึงเวลากรรมชั่วให้ผล มันหากฉิบหายเอง ไม่ต้องไปอยากให้เขาฉิบหายเร็ว ๆ มันจะพลอยทำให้ตัวเองเดือดร้อนไปด้วย เพราะความอยากให้คนอื่นฉิบหาย มันเป็นความอยากที่ไม่ดี เพราะทำให้ใจตนเองโหดร้ายขาดความเมตตา ใจที่โหดร้ายขาดความเมตตาก็ยิ่งจะห่างไกลจากมรรคผลนิพพาน . #ดอยแสงธรรม_๒๕๖๔ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ |