
อาลัวพระเครื่อง ฉบับจบจริง เรื่องขนมอาลัวพระเครื่อง จบ! ตอน ๒ . ก็มีคนส่งคลิป ส่งบทความที่พูดเรื่องขนมอาลัวพระเครื่องนี้มาให้ดูให้อ่าน จนขี้เกียจดู ขี้เกียจอ่าน บางคนก็อ้างไปถึงประเทศญี่ปุ่นว่า มีการทำขนมแบบนี้เหมือนกัน กลายเป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่น ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรกัน . บางคนก็อ้างว่า เขาทำขนมเป็นรูปพระเครื่องไว้กินอิ่มท้องรับไม่ได้ แต่เขาทำพระเครื่องใส่ตะกร้าขายองค์ละ ๕ บาท ๑๐ มาปลุกเสกขายองค์ละหลายร้อยบาท ทำกำไรจนร่ำรวย กลับรับได้ ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวาย . แถมตำหนิชาวพุทธว่า ทำอะไรที่ผิดธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเยอะแยะไปหมด ดังเช่น ทำน้ำมนต์มากิน ทำพระขุนแผน ทำพิธีพุทธาภิเษก ปลุกเสกเลขยันต์ ทำเครื่องรางของขลัง อวดอ้างสรรพคุณวิเศษ มีเมตตามหานิยม ทำไอ้ไข่ไปไว้ในวัดจุดประทัดบูชาสนั่นหวั่นไหว บูชาราหู ทำพระพิฆเนศไว้ในวัดใหญ่กว่าหลังคาโบสถ์ ทำเรื่องไสยเวทย์ ไสยศาสตร์ เหล่านี้ มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น น่าจะทำลายศาสนามากกว่าที่เขาทำขนมอาลัวมาขายเสียอีก ทำไมรับได้ ทำไมไม่โวยวาย . นอกจากนั้น ยังมีพระบอกใบ้ให้หวย พระเป็นหมอดูทำนายทายทักอยู่ตามวัดต่าง ๆ แถมมีคนเข้าวัดตรึมอีกต่างหาก ไม่ต้องกลัวหรอกว่า ทำพระเครื่องเป็นขนมแล้วกินไม่หมด เขาเอาไปทิ้งถังขยะ จะเป็นการทำลายศาสนา ขนมนั่นไม่ใช่ตัวแทนศาสนา พระพุทธรูปจริง ๆ แตก ๆ หัก ๆ ก็มีคนเอาไปทิ้งที่วัดเยอะแยะไป . แล้วตั้งปัญหาถามว่า ทีอย่างนี้ทำไมรับได้ ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวายบ้าง มันน่าจะทำลายศาสนามากกว่าเขาทำขนมอาลัวที่เป็นรูปพระขายเสียอีก ไม่พอใจขนมอาลัวก็ไม่เป็นไร แต่ควรไม่พอใจการกระทำอย่างอื่น ๆ ด้วย ที่มันขัดต่อคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย อย่าดีแต่ปากว่าตาขยิบ ควรเคารพพระพุทธเจ้าให้มันจริง ๆ . เฮ้อ! ฟังแล้ว อ่านแล้ว ก็รู้สึกปวดเฮดเพลียฮาร์ท ช่างสรรหาเรื่องมาถกเถียงกันได้ดีแท้ ๆ . ไอ้ที่เขาพูดมา บางอย่างมันก็ถูกของเขา บางอย่างมันก็ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง บางอย่างก็ไปแบบเอาสีข้างเข้าถู ก็เลยต้องมาขยายความอีกสักเล็กน้อย เพื่อคนมีปัญญาจะได้เข้าใจอะไรได้อย่างถูกต้อง ไม่ไขว้เขวสับสนไปกับคำพูดแบบจับแพะชนแกะ . ต้องเข้าใจก่อนว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกที่ไม่ได้เชื้อเชิญให้ใครมานับถือ และไม่ได้บังคับว่า ผู้ที่นับถือแล้วจะต้องนับถือตลอดไป ห้ามมิให้ไปนับถือศาสนาอื่น ศาสนาพุทธเปิดประตูไว้อย่างกว้างขวางให้ทุกคนสามารถเดินเข้าเดินออกได้ตามปรารถนา เรียกว่า ศาสนาพุทธใจกว้างมากทีเดียว . สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้เองว่า “ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา” แปลความว่า . “กิจในอันประกอบความเพียรเป็นหน้าที่ที่ท่านทั้งหลายต้องทำเอง พระตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ดำเนินไปแล้ว ย่อมพ้นจากบ่วงแห่งมาร” . ถ้าเข้าใจพระพุทธภาษิตนี้ ปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาคงน้อยลง ปุถุชนคนทั่วไปที่ยังติดข้องอยู่ในสังโยชน์ ๑๐ ประการ ก็มีแต่กัลยาณปุถุชนที่จะปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาได้อย่างเคร่งครัด ส่วนปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสก็ยังอยู่ในขั้นล้มลุกคลุกคลาน คือปฏิบัติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่เห็นแปลกตรงไหนที่จะมีชาวพุทธทำผิดธรรมคำสอนของศาสนา ต่างกันแต่ว่า จะทำผิดโดยเจตนา หรือจะทำผิดโดยไม่รู้ว่าผิดเท่านั้นเอง . คำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของจอมปราชญ์ สอนคนโง่ให้ปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนฉลาด ไม่ได้สอนคนโง่ให้โง่ดักดานหนักเข้าไปอีก ต้องเข้าใจว่า คนโง่มันก็โง่มาก่อนแล้วด้วยตัวเขาเอง ไม่ใช่โง่เพราะศาสนามาทำให้เขาโง่ เมื่อเขามานับถือศาสนาพุทธ แล้วไม่ปรับปรุงตัวเอง มันก็โง่ต่อไป มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ถ้าเขาอยากจะทำอะไรโง่ ๆ ไม่ใช่หน้าที่ของศาสนาที่จะไปทำให้เขาฉลาดขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุอันควร . ถ้าใครอยากจะเป็นคนฉลาด ก็ต้องน้อมนำเอาคำสอนของศาสนามาปฏิบัติต่อตัวเอง ไม่ใช่เพียงแค่นับถือศาสนา ต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาด้วย . ถ้าคนนับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพุทธ มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา จะไปด่าว่าเขา มันก็ไม่มีประโยชน์อันใด นอกจากจะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทถกเถียงกันไปเปล่า ๆ . ดังนั้น ใครอยากจะปฏิบัติต่อศาสนาอย่างไรก็ทำไป ใครทำดีก็ได้ดีเอง ใครทำไม่ดี มันก็ฉิบหายเอง ไม่ต้องไปเดือดร้อนแทนคนอื่นเขา ทำตัวเองให้มันดีก็พอ ถามตัวเองสิ! ทำดีพอแล้วหรือยัง? . สำหรับผู้ที่จะดับสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นได้ ก็มีแต่พระอริยเจ้าชั้นพระโสดาบันขึ้นไป คือ ละสักกายทิฏฐิได้ ไม่เห็นว่าร่างกายจิตใจเป็นตัวตน เรา เขา, ตัดความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้, ตัดขาดสีลัพพตปรามาสได้ คือเชื่อกรรม ไม่เชื่อโชคลางของขลัง ไม่ลูบ ๆ คลำ ๆ ศีล อันนี้เป็นคุณสมบัติของพระโสดาบันบุคคล . ส่วนวิสัยของปุถุชนนั้น ก็ยังติดข้องอยู่ในสังโยชน์ ๓ ประการ นี้ เป็นเบื้องต้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังติดข้องในราคะ โทสะอันเป็นสังโยชน์ที่ ๓ ที่ ๔ ที่พระอนาคามีเท่านั้นจะพึงละได้ . ด้วยเหตุนี้ ชาวพุทธส่วนใหญ่ที่ยังไม่ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งถึงแก่น ก็ต้องปฏิบัติแหวกแนวออกไปบ้าง ซึ่งมันก็เป็นไปตามจริตนิสัย เป็นไปตามภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปดุด่าว่ากล่าวประณามกันเสีย ๆ หาย ๆ . หากใครมีศรัทธาเชื่อฟังในคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง ประกอบความเพียรในมรรคทั้ง ๘ ให้เป็นไป ก็จะหลุดพ้นจากบ่วงแห่งมารได้ สมดังพระพุทธภาษิตที่ทรงตรัสสอนเอาไว้ ที่ยกมาแสดงไว้ ณ เบื้องต้น . ลูกศิษย์พระตถาคต ก็ควรเดินตามรอยพระตถาคต คือ เป็นผู้ที่ชี้แจง แสดง บอกทางให้บุคคลผู้ยังหลงทาง ได้เดินทางที่ถูกต้องด้วยตัวเขาเอง มิใช่เห็นเขาเดินทางผิดแล้วไปตบกบาลเขา ไปทะเลาะกับเขา ไปด่าว่าเขา หรือจะไปอุ้มเขาให้ไปเดินในทางที่ถูกต้อง ล้วนทำไม่ได้ และไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น ทุกคนต้องแสวงหาหนทางที่ถูกต้องแล้วเดินไปด้วยตัวเองเท่านั้น . แม้ตัวพระเอง ถ้ายังดับสังโยชน์ ๓ ประการ เบื้องต้นยังไม่ได้ ก็ยังคงต้องเดินหลงทางเดินวนเวียนไปกับเขาด้วยเช่นกัน . การดับสังโยชน์ ๓ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งคัมภีรภาพมาก ไม่ใช่อ่านตำรามา หรือเรียนจบเปรียญ ๘-๙ ประโยค แล้วก็จะดับสังโยชน์ได้ . ผู้รู้จริงเท่านั้นจึงจะเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่ไปดูถูกเหยียดหยาม หรือประณามด่าว่าคนอื่นที่กำลังเดินหลงทางอยู่ เพราะรู้ว่ามันยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหนที่จะไม่ให้หลงทาง จึงมีแต่ความเมตตาสงสารอยากช่วยให้เขาได้พ้นทุกข์ไปเท่าที่ควรจะช่วยได้ . แต่บางที ถึงอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะกรรมของสัตว์ ที่ยังตามืดบอดอยู่ ก็ต้องปล่อยให้เดินหลงทางวกเวียนไปก่อนตามกรรมของเขา . ยิ่งไม่ควรเอาความผิดอย่างหนึ่งไปเป็นข้ออ้างเพื่อส่งเสริมให้คนกระทำผิดอีกอย่างหนึ่ง ดังเช่นบอกว่า การทำเครื่องรางของขลัง ทำพระเครื่องขาย ยังทำกันได้ไม่เห็นมีใครต่อว่าอะไร พอมาทำขนมอาลัวเป็นพระเครื่องขายบ้าง กลับรับกันไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น . อันนี้เรียกว่า จับแพะมาชนแกะ มันเป็นคนละประเด็นกัน การทำพระพุทธรูปมาวางขายเป็นสินค้า ที่จริงก็ถือว่าไม่สมควร เพราะไม่เคารพในองค์พระศาสดา แต่เขาก็มีเจตนาที่ดี ให้คนเอาไปกราบไหว้บูชาเป็นเครื่องระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังนับว่ามีส่วนดีอยู่บ้าง . ถ้าเขาตั้งใจทำด้วยความเคารพเทิดทูน มีความสวยงามสมเป็นสัญลักษณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ใครได้มองเห็นจิตใจก็ชุ่มเย็นผ่องใสเบิกบาน ได้กราบไหว้น้อมรำลึกนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ มิให้ใจคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว ก็เห็นว่า ไม่เป็นความเสียหายต่อศาสนาแต่ประการใด . มิฉะนั้น พวกเราก็คงไม่มีพระพุทธรูปที่งดงามมากราบไหว้บูชาน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้า เขาจะทำมาค้าขายมีกำไรบ้างก็ช่างเขาเถิด ถ้าเขาทำด้วยความสุจริตใจ ไม่ต้องไปต่อว่าเขา เว้นไว้แต่พวกที่เป็นมิจฉาชีพโกหกหลอกลวงต้มตุ๋น ก็ค่อยจัดการกันไปตามกฎหมาย . บางคนอาจจะบอกว่า พระพุทธรูปไม่ใช่องค์แทนพระศาสดา เป็นเพียงวัตถุที่สมมติกันขึ้นมาเอง ไม่มีคำสอนให้กราบไหว้พระพุทธรูป มันก็จริงอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีคำสอนที่ห้ามมิให้กราบไหว้พระพุทธรูป เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตเตือนใจให้ทำดียิ่ง ๆ ขึ้นไป . ครูบาอาจารย์นักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านก็พากราบพาไหว้พระพุทธรูปมานาน เจตนาที่กราบไหว้ ก็เพื่อน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสที่จะทำดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สมควร ไม่มีอะไรเสียหาย . พระธรรมวินัยเป็นองค์แทนพระศาสดา พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ แต่นั่นเป็นส่วนนามธรรมที่มองเห็นได้ยากนักหนา เพราะท่านหมายถึงธรรมวินัยที่อยู่ภายในใจของผู้ปฏิบัติ มิได้หมายถึงธรรมวินัยที่เป็นหนังสืออยู่ในตู้พระไตรปิฎก อันนั้นเป็นชื่อของธรรมวินัยเท่านั้น ธรรมวินัยแท้ต้องอยู่ในใจของผู้ปฏิบัติ . สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเราตถาคต ก็จริงอย่างนั้น แต่ผู้ที่จะเห็นธรรมได้ ก็ต้องระดับพระโสดาบันเป็นต้นไป ซึ่งต้องเป็นผู้สร้างบุญบารมีมามากมายอักโขอักขังแล้ว จนเหลือภพชาติความเกิดอีกเพียงแค่ ๗ ชาติ . เหตุนั้น นักปราชญ์โบราณาจารย์ ท่านจึงสมมติพระพุทธรูปเอาไว้ให้เป็นสักขีพยานทางภายนอกให้มองเห็นได้ เพื่อเป็นองค์แทนพระศาสดา ถ้ามีแต่พระธรรมวินัยซึ่งเป็นนามธรรม ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าพระพุทธเจ้า เป็นอย่างไร และเราจะปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไร จึงต้องมีพระพุทธรูปอันเป็นส่วนรูปธรรมที่สัมผัสเห็นได้ ให้เราได้กราบไหว้บูชาพระคุณประหนึ่งว่า พระองค์ยังดำรงอยู่กับพวกเราตลอดไป จนกว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมสลายไปจากโลกนี้ . เหตุนั้น ชาวพุทธจึงต้องรู้จักสมมติ เข้าใจสมมติ และปฏิบัติต่อสมมติให้ถูกกาลเทศะ รู้จักความเหมาะความควรที่จะปฏิบัติต่อพระพุทธรูปอย่างไร? จะเอาความเห็นของคนโง่ หรืออันธพาลมาเป็นแบบอย่าง แล้วทำไปตามใจชอบ หาได้ไม่ . การทำขนมเป็นพระพุทธรูปให้คนมาเคี้ยวกินแปดเปื้อนนำ้ลายสกปรก ชาวพุทธไม่ใช่วัวไม่ใช่ควาย หากเป็นผู้มีปัญญา ก็ย่อมจะรู้ได้เองว่า มันสมควรทำ หรือไม่สมควรทำ ไม่จำเป็นต้องมาพูดทำให้สังคมสับสนไขว้เขว อะไรไม่สมควรทำ ก็คือไม่สมควรทำ ผิดก็บอกว่าผิด ถูกก็บอกว่าถูก ส่วนใครจะมองว่า มันสมควรด้วยเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ มันก็ยกให้เป็นมิจฉาทิฏฐิของคนนั้นไปก็เท่านั้นเอง . ความจริงก็คือความจริง จะเอาความเห็นของคนโง่ คนอันธพาล มาลบล้างความจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ อุปมาเหมือนดังไฟ นักปราชญ์บอกว่า ไฟมันร้อนอย่าไปจับ แต่คนอันธพาลบอกว่า ไฟไม่ร้อนจับไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ใครโง่ก็ไปจับไฟดูสิ! แล้วมันจะไม่ร้อนจริงอย่างที่คนอันธพาลมันบอกหรือไม่? จับเข้าไปก็รู้เอง แต่ถึงตอนนั้น มือก็ถูกไฟไหม้พองไปแล้ว . ผู้ที่ทำขนมอาลัวพระเครื่อง ก็เหมือนเล่นกับไฟนะ แต่เขาก็ไม่มีเจตนาจะดูหมิ่น อาจทำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะเป็นของที่เคยมีคนทำไว้แล้ว แต่ยังไม่แพร่หลาย ไม่เป็นข่าว พอมันกลายเป็นข่าวดัง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบมากขึ้น ทางเจ้าของร้านเขาก็หยุดทำ . มันก็ชอบแล้วที่หยุดทำ ถ้าขืนทำต่อไปก็จะเดือดร้อนกว่านี้ คนเราควรพูดกันด้วยเหตุผลความถูกต้อง จะทำขนมกินให้อิ่มท้อง ทำเป็นรูปอะไรก็ได้ ก็กินอิ่มท้องได้เช่นกัน ไฉนต้องไปทำให้เป็นพระพุทธรูป อันเป็นศาสนวัตถุที่คนส่วนใหญ่เคารพกราบไหว้บูชาให้เป็นเรื่องสะเทือนใจกัน ก็ขอชื่นชมทางเจ้าของร้านที่เขาเข้าใจ และไม่ติดใจที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก . ส่วนคำวิพากษ์วิจารณ์ของคน มันเอาเป็นประมาณไม่ได้ ใครอยากจะวิจารณ์อย่างไรก็ว่ากันไปตามความโง่และความฉลาดของเขา แต่สัจธรรมความจริงที่ถูกต้องเหมาะสมเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ย่อมมีอยู่อันเดียว ไม่ขึ้นอยู่กับคำวิจารณ์ของใคร มันหากเป็นความจริงในหลักธรรมชาติอยู่อย่างนั้น ใครวิจารณ์ถูกต้องตามความเป็นจริง เขาเรียกผู้เช่นนั้นว่า ผู้มีปัญญา . เหตุผลความเหมาะความควรมันก็มีแค่นี้ มันไม่เกี่ยวกับการที่มีคนไปกราบไหว้บูชาไอ้ไข่เหตุผลความเหมาะความควรมันก็มีแค่นี้ มันไม่เกี่ยวกับการที่มีคนไปกราบไหว้บูชาไอ้ไข่ เราก็ไม่รู้ว่า ไอ้ไข่มันคือใคร หรือไปบูชาราหู กราบไหว้พระพิฆเนศ เล่นพระเครื่อง เชื่อหมอดู ทำนายทายทัก มันก็เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล มันก็ผิดธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ยังมีมิจฉาทิฏฐิ ยังตัดสังโยชน์ ๓ ไม่ขาด เขาก็ทำไปตามความเห็นของเขา . มิใช่ว่า นับถือศาสนาพุทธแล้ว จะทำผิดธรรมคำสอนของศาสนาพุทธไม่ได้ ทุกวันนี้คนมันหลอกลวงต้มตุ๋นกัน โกงกัน ฆ่ากัน เป็นชู้กัน กินเหล้าเมายา มันก็ทำผิดธรรมคำสอนของศาสนาพุทธทั้งนั้น . จะกล่าวไปใยถึงเรื่องที่มีคนไปจุดประทัดบูชาไอ้ไข่ บูชาพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เชื่อหมอดู เชื่อโชคลาง เชื่อของขลัง ถึงจะผิดก็ผิดอยู่ที่ตัวเขา ซึ่งไม่ได้มาทำลายศาสนาโดยรวมให้เสื่อมเสีย ก็เขาพอใจจะทำอย่างนั้น ใครล่ะ! จะไปห้ามเขาได้ ก็ลองไปห้ามดูสิ! เขาไม่เอาตีนลูบหน้าให้ ก็บุญล่ะ!! . มันต้องแยกให้ออกระหว่างความเชื่อส่วนบุคคล กับศาสนธรรม ศาสนวัตถุ อันเป็นของส่วนรวม ขอเพียงอย่าเอาศาสนธรรม ศาสนวัตถุ อันเป็นที่เคารพนับถือของคนส่วนใหญ่มาทำให้เกิดความเสื่อมเสีย หรืออย่างที่เรียกว่า ไม่เหมาะไม่ควร ก็พออลุ้มอล่วยผ่อนหนักผ่อนเบากันไป . สังคมมันก็มีทั้งคนดี คนชั่ว ปะปนกันอยู่อย่างนี้ ใครทำผิดพอให้อภัยกันได้ ก็ให้อภัยกันไป อันใดควรต้องติติง ก็ต้องติติงกันไป ผิดก็ให้รู้ว่าผิด ถูกก็ให้รู้ว่าถูก ทำให้มันถูกต้องชัดเจน อย่าไปบิดเบือน สังคมก็อยู่ด้วยกันได้ด้วยความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกวันนี้สังคมไทยเกิดความแตกแยก ก็เพราะมีความพยายามที่จะทำให้เข้าใจผิดกันนั่นเอง . ใครเขาอยากจะเอาขี้ควายมากราบไหว้บูชา มันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขา อยากทำก็ให้เขาทำไปสิ! จะไปเดือดร้อนกับเขาทำไม เขาไม่ได้บังคับให้คุณไปกราบไหว้ด้วย . ส่วนวัดไหนที่ทำอะไรขัดต่อพระธรรมวินัย เขาก็มีขั้นตอนที่จะดำเนินการเอาผิดกับเจ้าอาวาสได้ตามกฏระเบียบอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าสิ่งใดไม่เหมาะสม ก็ทำหนังสือร้องเรียนไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขไปตามที่เห็น สมควร ทุกเรื่องมันมีทางออกอยู่แล้ว จะไปพูดให้มันขัดแย้งกันเปล่า ๆ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ . อย่างที่พวกเราชาวพุทธเห็นฝรั่งเอาพระเศียรของพระพุทธรูปไปวางเป็นเครื่องประดับในบาร์ในร้านอาหารในโรงแรมที่ประเทศของเขา เราเห็นก็สะเทือนใจ พวกเราชาวพุทธก็มองว่า ไม่เหมาะสม แต่พวกเขาไม่ได้เคารพในพระพุทธเจ้า เขาก็คงว่า เหมาะสมสวยงามดี พวกเราก็ไปว่าอะไรเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้นับถือ แต่เราชาวพุทธก็รู้สึกสลดใจใช่ไหม? . บางคนก็บอกว่า ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ไอ้นี่! ก็พูดอวดรู้อวดฉลาด มันก็ไม่เกี่ยวกับการยึดมั่นถือมั่น แต่มันเป็นเรื่องของความเหมาะ ความควร ความถูกต้องที่จะปฏิบัติต่อพระพุทธรูปที่พวกเราเคารพเทิดทูนให้ดีอย่างไรต่างหาก มิใช่ว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว จะปล่อยให้ใครเอาพระพุทธรูปไปทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น . ดังนั้น การจะมองว่า อะไรเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม มันจึงอยู่ที่ภูมิจิตภูมิธรรมของคนมองด้วย อยู่ที่ความเคารพศรัทธาในสิ่งนั้น ๆ ด้วย อยู่ที่คนมีใจสูง คนมีใจต่ำด้วย (ไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ จะเข้าใจดียิ่งขึ้น) . คนมีภูมิจิตภูมิธรรมต่างกัน ย่อมมีความเห็นต่างกันเป็นธรรมดา จะเอาความเห็นของคนมาเถียงกัน คงต้องเถียงกันไปจนวันตาย เพราะต่างคนต่างมีความเห็นเป็นของตนเอง ร้อยพ่อพันแม่ไม่มีทางที่จะเห็นเหมือนกัน คนโง่ก็เห็นไปอย่างหนึ่ง คนฉลาดก็เห็นไปอีกอย่างหนึ่ง . แต่ถ้ามองให้ลึกถึงความเป็นจริงของแต่ละเรื่อง มันก็มีความจริงที่จบอยู่ในตัวมันเอง คือถูกก็ต้องบอกว่าถูก แล้วทำให้มันดียิ่งขึ้น ผิดก็ต้องบอกว่าผิด แล้วหาทางแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น รู้แล้วว่าผิด ก็อย่าทำผิดซ้ำซากอีก อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เป็นคนดี . สมกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ ให้ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใสและบริสุทธิ์ เบื้องต้นก็ต้องรู้ว่า อะไรชั่ว อะไรดี เสียก่อน ก็จึงจะละชั่ว ทำดีได้ ถ้าชั่วก็ไม่รู้ ดีก็ไม่รู้ แล้วจะละชั่ว ทำดีได้อย่างไร . ชาวพุทธทุกคน ถ้าอยากจะเจริญในธรรมจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเรียนรู้สัจธรรม และเข้าใจถึงสัจธรรมตามความเป็นจริงในหลักธรรมชาติให้ได้ มิใช่ว่า จะพอใจทำตามความเห็นของตัวเองโดยถ่ายเดียว . ควรรู้ว่า ตราบใดที่เรายังละสังโยชน์ ๓ ไม่ได้ ใจเราก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ตราบนั้น จึงไม่ต้องไปเพ่งโทษคนอื่น ไม่ต้องไปติเตียนคนอื่น เพราะความผิดในตัวเราเองก็ยังมีอยู่ . จงตำหนิติเตียนตนเอง เพ่งโทษตัวเองให้มาก นั่นแหละดี ทำมิจฉาทิฏฐิให้หมดจากใจตัวเองให้ได้ก่อน จะทำได้มากได้น้อยก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเถอะ จึงค่อยเอาสัมมาทิฏฐิไปสอนคนได้ จะสอนได้มากได้น้อยแค่ไหน ก็อยู่ที่ตัวเองจะทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน . ข้อสำคัญคือ อย่าไปอยากให้คนอื่นเป็นสัมมาทิฏฐิ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่เต็มหัวใจ . #ดอยแสงธรรม_๒๕๖๔
๑ พฤษภาคม ๒๔๖๔ |