ReadyPlanet.com
dot

dot
dot
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
bullet สมัครสมาชิก
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
ชมคลิปวีดีโอน่าสนใจ
ยังไม่มีสมาชิกที่ล็อกอินในขณะนี้
bulletบุคคลทั่วไป 21 คน
dot
dot

dot


ฟัง F.M. 103.25 MHz.
ชมทีวีช่องหลวงตา
ฟังวิทยุออนไลน์ วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
ชมคลิปวีดีโอน่าสนใจ
เข้าชม face book วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน


อาลัวพระเครื่อง ฉบับจบจริง

 

เรื่องขนมอาลัวพระเครื่อง จบ! ตอน ๒

.

ก็มีคนส่งคลิป ส่งบทความที่พูดเรื่องขนมอาลัวพระเครื่องนี้มาให้ดูให้อ่าน จนขี้เกียจดู ขี้เกียจอ่าน บางคนก็อ้างไปถึงประเทศญี่ปุ่นว่า มีการทำขนมแบบนี้เหมือนกัน กลายเป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่น ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรกัน

.

บางคนก็อ้างว่า เขาทำขนมเป็นรูปพระเครื่องไว้กินอิ่มท้องรับไม่ได้ แต่เขาทำพระเครื่องใส่ตะกร้าขายองค์ละ ๕ บาท ๑๐ มาปลุกเสกขายองค์ละหลายร้อยบาท ทำกำไรจนร่ำรวย กลับรับได้ ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวาย

.

แถมตำหนิชาวพุทธว่า ทำอะไรที่ผิดธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเยอะแยะไปหมด ดังเช่น ทำน้ำมนต์มากิน ทำพระขุนแผน ทำพิธีพุทธาภิเษก ปลุกเสกเลขยันต์ ทำเครื่องรางของขลัง อวดอ้างสรรพคุณวิเศษ มีเมตตามหานิยม ทำไอ้ไข่ไปไว้ในวัดจุดประทัดบูชาสนั่นหวั่นไหว บูชาราหู ทำพระพิฆเนศไว้ในวัดใหญ่กว่าหลังคาโบสถ์ ทำเรื่องไสยเวทย์ ไสยศาสตร์ เหล่านี้ มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น น่าจะทำลายศาสนามากกว่าที่เขาทำขนมอาลัวมาขายเสียอีก ทำไมรับได้ ทำไมไม่โวยวาย

.

นอกจากนั้น ยังมีพระบอกใบ้ให้หวย พระเป็นหมอดูทำนายทายทักอยู่ตามวัดต่าง ๆ แถมมีคนเข้าวัดตรึมอีกต่างหาก ไม่ต้องกลัวหรอกว่า ทำพระเครื่องเป็นขนมแล้วกินไม่หมด เขาเอาไปทิ้งถังขยะ จะเป็นการทำลายศาสนา ขนมนั่นไม่ใช่ตัวแทนศาสนา พระพุทธรูปจริง ๆ แตก ๆ หัก ๆ ก็มีคนเอาไปทิ้งที่วัดเยอะแยะไป

.

แล้วตั้งปัญหาถามว่า ทีอย่างนี้ทำไมรับได้ ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวายบ้าง มันน่าจะทำลายศาสนามากกว่าเขาทำขนมอาลัวที่เป็นรูปพระขายเสียอีก ไม่พอใจขนมอาลัวก็ไม่เป็นไร แต่ควรไม่พอใจการกระทำอย่างอื่น ๆ ด้วย ที่มันขัดต่อคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย อย่าดีแต่ปากว่าตาขยิบ ควรเคารพพระพุทธเจ้าให้มันจริง ๆ

.

เฮ้อ! ฟังแล้ว อ่านแล้ว ก็รู้สึกปวดเฮดเพลียฮาร์ท ช่างสรรหาเรื่องมาถกเถียงกันได้ดีแท้ ๆ

.

ไอ้ที่เขาพูดมา บางอย่างมันก็ถูกของเขา บางอย่างมันก็ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง บางอย่างก็ไปแบบเอาสีข้างเข้าถู ก็เลยต้องมาขยายความอีกสักเล็กน้อย เพื่อคนมีปัญญาจะได้เข้าใจอะไรได้อย่างถูกต้อง ไม่ไขว้เขวสับสนไปกับคำพูดแบบจับแพะชนแกะ

.

ต้องเข้าใจก่อนว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกที่ไม่ได้เชื้อเชิญให้ใครมานับถือ และไม่ได้บังคับว่า ผู้ที่นับถือแล้วจะต้องนับถือตลอดไป ห้ามมิให้ไปนับถือศาสนาอื่น ศาสนาพุทธเปิดประตูไว้อย่างกว้างขวางให้ทุกคนสามารถเดินเข้าเดินออกได้ตามปรารถนา เรียกว่า ศาสนาพุทธใจกว้างมากทีเดียว

.

สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้เองว่า “ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา” แปลความว่า

.

“กิจในอันประกอบความเพียรเป็นหน้าที่ที่ท่านทั้งหลายต้องทำเอง พระตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ดำเนินไปแล้ว ย่อมพ้นจากบ่วงแห่งมาร”

.

ถ้าเข้าใจพระพุทธภาษิตนี้ ปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาคงน้อยลง ปุถุชนคนทั่วไปที่ยังติดข้องอยู่ในสังโยชน์ ๑๐ ประการ ก็มีแต่กัลยาณปุถุชนที่จะปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาได้อย่างเคร่งครัด ส่วนปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสก็ยังอยู่ในขั้นล้มลุกคลุกคลาน คือปฏิบัติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่เห็นแปลกตรงไหนที่จะมีชาวพุทธทำผิดธรรมคำสอนของศาสนา ต่างกันแต่ว่า จะทำผิดโดยเจตนา หรือจะทำผิดโดยไม่รู้ว่าผิดเท่านั้นเอง

.

คำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของจอมปราชญ์ สอนคนโง่ให้ปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนฉลาด ไม่ได้สอนคนโง่ให้โง่ดักดานหนักเข้าไปอีก ต้องเข้าใจว่า คนโง่มันก็โง่มาก่อนแล้วด้วยตัวเขาเอง ไม่ใช่โง่เพราะศาสนามาทำให้เขาโง่ เมื่อเขามานับถือศาสนาพุทธ แล้วไม่ปรับปรุงตัวเอง มันก็โง่ต่อไป มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ถ้าเขาอยากจะทำอะไรโง่ ๆ  ไม่ใช่หน้าที่ของศาสนาที่จะไปทำให้เขาฉลาดขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุอันควร

.

ถ้าใครอยากจะเป็นคนฉลาด ก็ต้องน้อมนำเอาคำสอนของศาสนามาปฏิบัติต่อตัวเอง ไม่ใช่เพียงแค่นับถือศาสนา ต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาด้วย

.

ถ้าคนนับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพุทธ มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา จะไปด่าว่าเขา มันก็ไม่มีประโยชน์อันใด นอกจากจะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทถกเถียงกันไปเปล่า ๆ

.

ดังนั้น ใครอยากจะปฏิบัติต่อศาสนาอย่างไรก็ทำไป ใครทำดีก็ได้ดีเอง ใครทำไม่ดี มันก็ฉิบหายเอง ไม่ต้องไปเดือดร้อนแทนคนอื่นเขา ทำตัวเองให้มันดีก็พอ ถามตัวเองสิ! ทำดีพอแล้วหรือยัง?

.

สำหรับผู้ที่จะดับสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นได้ ก็มีแต่พระอริยเจ้าชั้นพระโสดาบันขึ้นไป คือ ละสักกายทิฏฐิได้ ไม่เห็นว่าร่างกายจิตใจเป็นตัวตน เรา เขา, ตัดความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้, ตัดขาดสีลัพพตปรามาสได้ คือเชื่อกรรม ไม่เชื่อโชคลางของขลัง ไม่ลูบ ๆ คลำ ๆ ศีล อันนี้เป็นคุณสมบัติของพระโสดาบันบุคคล

.

ส่วนวิสัยของปุถุชนนั้น ก็ยังติดข้องอยู่ในสังโยชน์ ๓ ประการ นี้ เป็นเบื้องต้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังติดข้องในราคะ โทสะอันเป็นสังโยชน์ที่ ๓ ที่ ๔ ที่พระอนาคามีเท่านั้นจะพึงละได้

.

ด้วยเหตุนี้ ชาวพุทธส่วนใหญ่ที่ยังไม่ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งถึงแก่น ก็ต้องปฏิบัติแหวกแนวออกไปบ้าง ซึ่งมันก็เป็นไปตามจริตนิสัย เป็นไปตามภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปดุด่าว่ากล่าวประณามกันเสีย ๆ หาย ๆ

.

หากใครมีศรัทธาเชื่อฟังในคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง ประกอบความเพียรในมรรคทั้ง ๘ ให้เป็นไป ก็จะหลุดพ้นจากบ่วงแห่งมารได้ สมดังพระพุทธภาษิตที่ทรงตรัสสอนเอาไว้ ที่ยกมาแสดงไว้ ณ เบื้องต้น

.

ลูกศิษย์พระตถาคต ก็ควรเดินตามรอยพระตถาคต คือ เป็นผู้ที่ชี้แจง แสดง บอกทางให้บุคคลผู้ยังหลงทาง ได้เดินทางที่ถูกต้องด้วยตัวเขาเอง มิใช่เห็นเขาเดินทางผิดแล้วไปตบกบาลเขา ไปทะเลาะกับเขา ไปด่าว่าเขา หรือจะไปอุ้มเขาให้ไปเดินในทางที่ถูกต้อง ล้วนทำไม่ได้ และไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น ทุกคนต้องแสวงหาหนทางที่ถูกต้องแล้วเดินไปด้วยตัวเองเท่านั้น

.

แม้ตัวพระเอง ถ้ายังดับสังโยชน์ ๓ ประการ เบื้องต้นยังไม่ได้ ก็ยังคงต้องเดินหลงทางเดินวนเวียนไปกับเขาด้วยเช่นกัน

.

การดับสังโยชน์ ๓ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งคัมภีรภาพมาก ไม่ใช่อ่านตำรามา หรือเรียนจบเปรียญ ๘-๙ ประโยค แล้วก็จะดับสังโยชน์ได้

.

ผู้รู้จริงเท่านั้นจึงจะเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่ไปดูถูกเหยียดหยาม หรือประณามด่าว่าคนอื่นที่กำลังเดินหลงทางอยู่ เพราะรู้ว่ามันยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหนที่จะไม่ให้หลงทาง จึงมีแต่ความเมตตาสงสารอยากช่วยให้เขาได้พ้นทุกข์ไปเท่าที่ควรจะช่วยได้

.

แต่บางที ถึงอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะกรรมของสัตว์ ที่ยังตามืดบอดอยู่ ก็ต้องปล่อยให้เดินหลงทางวกเวียนไปก่อนตามกรรมของเขา 

.

ยิ่งไม่ควรเอาความผิดอย่างหนึ่งไปเป็นข้ออ้างเพื่อส่งเสริมให้คนกระทำผิดอีกอย่างหนึ่ง ดังเช่นบอกว่า การทำเครื่องรางของขลัง ทำพระเครื่องขาย ยังทำกันได้ไม่เห็นมีใครต่อว่าอะไร พอมาทำขนมอาลัวเป็นพระเครื่องขายบ้าง กลับรับกันไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น

.

อันนี้เรียกว่า จับแพะมาชนแกะ มันเป็นคนละประเด็นกัน การทำพระพุทธรูปมาวางขายเป็นสินค้า ที่จริงก็ถือว่าไม่สมควร เพราะไม่เคารพในองค์พระศาสดา แต่เขาก็มีเจตนาที่ดี ให้คนเอาไปกราบไหว้บูชาเป็นเครื่องระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังนับว่ามีส่วนดีอยู่บ้าง

.

ถ้าเขาตั้งใจทำด้วยความเคารพเทิดทูน มีความสวยงามสมเป็นสัญลักษณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ใครได้มองเห็นจิตใจก็ชุ่มเย็นผ่องใสเบิกบาน ได้กราบไหว้น้อมรำลึกนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ มิให้ใจคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว ก็เห็นว่า ไม่เป็นความเสียหายต่อศาสนาแต่ประการใด

.

มิฉะนั้น พวกเราก็คงไม่มีพระพุทธรูปที่งดงามมากราบไหว้บูชาน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้า เขาจะทำมาค้าขายมีกำไรบ้างก็ช่างเขาเถิด ถ้าเขาทำด้วยความสุจริตใจ ไม่ต้องไปต่อว่าเขา เว้นไว้แต่พวกที่เป็นมิจฉาชีพโกหกหลอกลวงต้มตุ๋น ก็ค่อยจัดการกันไปตามกฎหมาย

.

บางคนอาจจะบอกว่า พระพุทธรูปไม่ใช่องค์แทนพระศาสดา เป็นเพียงวัตถุที่สมมติกันขึ้นมาเอง ไม่มีคำสอนให้กราบไหว้พระพุทธรูป มันก็จริงอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีคำสอนที่ห้ามมิให้กราบไหว้พระพุทธรูป เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตเตือนใจให้ทำดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

.

ครูบาอาจารย์นักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านก็พากราบพาไหว้พระพุทธรูปมานาน เจตนาที่กราบไหว้ ก็เพื่อน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสที่จะทำดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สมควร ไม่มีอะไรเสียหาย

.

พระธรรมวินัยเป็นองค์แทนพระศาสดา พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ แต่นั่นเป็นส่วนนามธรรมที่มองเห็นได้ยากนักหนา เพราะท่านหมายถึงธรรมวินัยที่อยู่ภายในใจของผู้ปฏิบัติ มิได้หมายถึงธรรมวินัยที่เป็นหนังสืออยู่ในตู้พระไตรปิฎก อันนั้นเป็นชื่อของธรรมวินัยเท่านั้น ธรรมวินัยแท้ต้องอยู่ในใจของผู้ปฏิบัติ

.

สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเราตถาคต ก็จริงอย่างนั้น แต่ผู้ที่จะเห็นธรรมได้ ก็ต้องระดับพระโสดาบันเป็นต้นไป ซึ่งต้องเป็นผู้สร้างบุญบารมีมามากมายอักโขอักขังแล้ว จนเหลือภพชาติความเกิดอีกเพียงแค่ ๗ ชาติ

.

เหตุนั้น นักปราชญ์โบราณาจารย์ ท่านจึงสมมติพระพุทธรูปเอาไว้ให้เป็นสักขีพยานทางภายนอกให้มองเห็นได้ เพื่อเป็นองค์แทนพระศาสดา ถ้ามีแต่พระธรรมวินัยซึ่งเป็นนามธรรม ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าพระพุทธเจ้า เป็นอย่างไร และเราจะปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไร  จึงต้องมีพระพุทธรูปอันเป็นส่วนรูปธรรมที่สัมผัสเห็นได้ ให้เราได้กราบไหว้บูชาพระคุณประหนึ่งว่า พระองค์ยังดำรงอยู่กับพวกเราตลอดไป จนกว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมสลายไปจากโลกนี้

.

เหตุนั้น ชาวพุทธจึงต้องรู้จักสมมติ เข้าใจสมมติ และปฏิบัติต่อสมมติให้ถูกกาลเทศะ รู้จักความเหมาะความควรที่จะปฏิบัติต่อพระพุทธรูปอย่างไร? จะเอาความเห็นของคนโง่ หรืออันธพาลมาเป็นแบบอย่าง แล้วทำไปตามใจชอบ หาได้ไม่

.

การทำขนมเป็นพระพุทธรูปให้คนมาเคี้ยวกินแปดเปื้อนนำ้ลายสกปรก ชาวพุทธไม่ใช่วัวไม่ใช่ควาย หากเป็นผู้มีปัญญา ก็ย่อมจะรู้ได้เองว่า มันสมควรทำ หรือไม่สมควรทำ ไม่จำเป็นต้องมาพูดทำให้สังคมสับสนไขว้เขว อะไรไม่สมควรทำ ก็คือไม่สมควรทำ ผิดก็บอกว่าผิด ถูกก็บอกว่าถูก ส่วนใครจะมองว่า มันสมควรด้วยเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ มันก็ยกให้เป็นมิจฉาทิฏฐิของคนนั้นไปก็เท่านั้นเอง

.

ความจริงก็คือความจริง จะเอาความเห็นของคนโง่ คนอันธพาล มาลบล้างความจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ อุปมาเหมือนดังไฟ นักปราชญ์บอกว่า ไฟมันร้อนอย่าไปจับ แต่คนอันธพาลบอกว่า ไฟไม่ร้อนจับไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ใครโง่ก็ไปจับไฟดูสิ! แล้วมันจะไม่ร้อนจริงอย่างที่คนอันธพาลมันบอกหรือไม่? จับเข้าไปก็รู้เอง แต่ถึงตอนนั้น มือก็ถูกไฟไหม้พองไปแล้ว

.

ผู้ที่ทำขนมอาลัวพระเครื่อง ก็เหมือนเล่นกับไฟนะ แต่เขาก็ไม่มีเจตนาจะดูหมิ่น อาจทำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะเป็นของที่เคยมีคนทำไว้แล้ว แต่ยังไม่แพร่หลาย ไม่เป็นข่าว พอมันกลายเป็นข่าวดัง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบมากขึ้น ทางเจ้าของร้านเขาก็หยุดทำ

.

มันก็ชอบแล้วที่หยุดทำ ถ้าขืนทำต่อไปก็จะเดือดร้อนกว่านี้ คนเราควรพูดกันด้วยเหตุผลความถูกต้อง จะทำขนมกินให้อิ่มท้อง ทำเป็นรูปอะไรก็ได้ ก็กินอิ่มท้องได้เช่นกัน ไฉนต้องไปทำให้เป็นพระพุทธรูป อันเป็นศาสนวัตถุที่คนส่วนใหญ่เคารพกราบไหว้บูชาให้เป็นเรื่องสะเทือนใจกัน ก็ขอชื่นชมทางเจ้าของร้านที่เขาเข้าใจ และไม่ติดใจที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก

.

ส่วนคำวิพากษ์วิจารณ์ของคน มันเอาเป็นประมาณไม่ได้ ใครอยากจะวิจารณ์อย่างไรก็ว่ากันไปตามความโง่และความฉลาดของเขา แต่สัจธรรมความจริงที่ถูกต้องเหมาะสมเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ย่อมมีอยู่อันเดียว ไม่ขึ้นอยู่กับคำวิจารณ์ของใคร มันหากเป็นความจริงในหลักธรรมชาติอยู่อย่างนั้น ใครวิจารณ์ถูกต้องตามความเป็นจริง เขาเรียกผู้เช่นนั้นว่า ผู้มีปัญญา

.

เหตุผลความเหมาะความควรมันก็มีแค่นี้ มันไม่เกี่ยวกับการที่มีคนไปกราบไหว้บูชาไอ้ไข่เหตุผลความเหมาะความควรมันก็มีแค่นี้ มันไม่เกี่ยวกับการที่มีคนไปกราบไหว้บูชาไอ้ไข่ เราก็ไม่รู้ว่า ไอ้ไข่มันคือใคร หรือไปบูชาราหู กราบไหว้พระพิฆเนศ เล่นพระเครื่อง เชื่อหมอดู ทำนายทายทัก มันก็เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล มันก็ผิดธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ยังมีมิจฉาทิฏฐิ ยังตัดสังโยชน์ ๓ ไม่ขาด เขาก็ทำไปตามความเห็นของเขา

.

มิใช่ว่า นับถือศาสนาพุทธแล้ว จะทำผิดธรรมคำสอนของศาสนาพุทธไม่ได้ ทุกวันนี้คนมันหลอกลวงต้มตุ๋นกัน โกงกัน ฆ่ากัน เป็นชู้กัน กินเหล้าเมายา มันก็ทำผิดธรรมคำสอนของศาสนาพุทธทั้งนั้น

.

จะกล่าวไปใยถึงเรื่องที่มีคนไปจุดประทัดบูชาไอ้ไข่ บูชาพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เชื่อหมอดู เชื่อโชคลาง เชื่อของขลัง ถึงจะผิดก็ผิดอยู่ที่ตัวเขา ซึ่งไม่ได้มาทำลายศาสนาโดยรวมให้เสื่อมเสีย ก็เขาพอใจจะทำอย่างนั้น ใครล่ะ! จะไปห้ามเขาได้ ก็ลองไปห้ามดูสิ! เขาไม่เอาตีนลูบหน้าให้ ก็บุญล่ะ!!

.

มันต้องแยกให้ออกระหว่างความเชื่อส่วนบุคคล กับศาสนธรรม ศาสนวัตถุ อันเป็นของส่วนรวม ขอเพียงอย่าเอาศาสนธรรม ศาสนวัตถุ อันเป็นที่เคารพนับถือของคนส่วนใหญ่มาทำให้เกิดความเสื่อมเสีย หรืออย่างที่เรียกว่า ไม่เหมาะไม่ควร ก็พออลุ้มอล่วยผ่อนหนักผ่อนเบากันไป

.

สังคมมันก็มีทั้งคนดี คนชั่ว ปะปนกันอยู่อย่างนี้ ใครทำผิดพอให้อภัยกันได้ ก็ให้อภัยกันไป อันใดควรต้องติติง ก็ต้องติติงกันไป ผิดก็ให้รู้ว่าผิด ถูกก็ให้รู้ว่าถูก ทำให้มันถูกต้องชัดเจน อย่าไปบิดเบือน สังคมก็อยู่ด้วยกันได้ด้วยความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกวันนี้สังคมไทยเกิดความแตกแยก ก็เพราะมีความพยายามที่จะทำให้เข้าใจผิดกันนั่นเอง

.

ใครเขาอยากจะเอาขี้ควายมากราบไหว้บูชา มันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขา อยากทำก็ให้เขาทำไปสิ! จะไปเดือดร้อนกับเขาทำไม เขาไม่ได้บังคับให้คุณไปกราบไหว้ด้วย

.

ส่วนวัดไหนที่ทำอะไรขัดต่อพระธรรมวินัย เขาก็มีขั้นตอนที่จะดำเนินการเอาผิดกับเจ้าอาวาสได้ตามกฏระเบียบอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าสิ่งใดไม่เหมาะสม ก็ทำหนังสือร้องเรียนไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขไปตามที่เห็น สมควร ทุกเรื่องมันมีทางออกอยู่แล้ว จะไปพูดให้มันขัดแย้งกันเปล่า ๆ มันก็ไม่เกิดประโยชน์

.

อย่างที่พวกเราชาวพุทธเห็นฝรั่งเอาพระเศียรของพระพุทธรูปไปวางเป็นเครื่องประดับในบาร์ในร้านอาหารในโรงแรมที่ประเทศของเขา เราเห็นก็สะเทือนใจ พวกเราชาวพุทธก็มองว่า ไม่เหมาะสม แต่พวกเขาไม่ได้เคารพในพระพุทธเจ้า เขาก็คงว่า เหมาะสมสวยงามดี พวกเราก็ไปว่าอะไรเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้นับถือ แต่เราชาวพุทธก็รู้สึกสลดใจใช่ไหม?

.

บางคนก็บอกว่า ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ไอ้นี่! ก็พูดอวดรู้อวดฉลาด มันก็ไม่เกี่ยวกับการยึดมั่นถือมั่น แต่มันเป็นเรื่องของความเหมาะ ความควร ความถูกต้องที่จะปฏิบัติต่อพระพุทธรูปที่พวกเราเคารพเทิดทูนให้ดีอย่างไรต่างหาก มิใช่ว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว จะปล่อยให้ใครเอาพระพุทธรูปไปทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น

.

ดังนั้น การจะมองว่า อะไรเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม มันจึงอยู่ที่ภูมิจิตภูมิธรรมของคนมองด้วย อยู่ที่ความเคารพศรัทธาในสิ่งนั้น ๆ ด้วย อยู่ที่คนมีใจสูง คนมีใจต่ำด้วย (ไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ จะเข้าใจดียิ่งขึ้น)

.

คนมีภูมิจิตภูมิธรรมต่างกัน ย่อมมีความเห็นต่างกันเป็นธรรมดา จะเอาความเห็นของคนมาเถียงกัน คงต้องเถียงกันไปจนวันตาย เพราะต่างคนต่างมีความเห็นเป็นของตนเอง ร้อยพ่อพันแม่ไม่มีทางที่จะเห็นเหมือนกัน คนโง่ก็เห็นไปอย่างหนึ่ง คนฉลาดก็เห็นไปอีกอย่างหนึ่ง

.

แต่ถ้ามองให้ลึกถึงความเป็นจริงของแต่ละเรื่อง มันก็มีความจริงที่จบอยู่ในตัวมันเอง คือถูกก็ต้องบอกว่าถูก แล้วทำให้มันดียิ่งขึ้น ผิดก็ต้องบอกว่าผิด แล้วหาทางแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น รู้แล้วว่าผิด ก็อย่าทำผิดซ้ำซากอีก อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เป็นคนดี

.

สมกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ ให้ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใสและบริสุทธิ์ เบื้องต้นก็ต้องรู้ว่า อะไรชั่ว อะไรดี เสียก่อน ก็จึงจะละชั่ว ทำดีได้ ถ้าชั่วก็ไม่รู้ ดีก็ไม่รู้ แล้วจะละชั่ว ทำดีได้อย่างไร

.

ชาวพุทธทุกคน ถ้าอยากจะเจริญในธรรมจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเรียนรู้สัจธรรม และเข้าใจถึงสัจธรรมตามความเป็นจริงในหลักธรรมชาติให้ได้  มิใช่ว่า จะพอใจทำตามความเห็นของตัวเองโดยถ่ายเดียว

.

ควรรู้ว่า ตราบใดที่เรายังละสังโยชน์ ๓ ไม่ได้ ใจเราก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ตราบนั้น  จึงไม่ต้องไปเพ่งโทษคนอื่น ไม่ต้องไปติเตียนคนอื่น เพราะความผิดในตัวเราเองก็ยังมีอยู่

.

จงตำหนิติเตียนตนเอง เพ่งโทษตัวเองให้มาก นั่นแหละดี ทำมิจฉาทิฏฐิให้หมดจากใจตัวเองให้ได้ก่อน จะทำได้มากได้น้อยก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเถอะ จึงค่อยเอาสัมมาทิฏฐิไปสอนคนได้ จะสอนได้มากได้น้อยแค่ไหน ก็อยู่ที่ตัวเองจะทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน

.

ข้อสำคัญคือ อย่าไปอยากให้คนอื่นเป็นสัมมาทิฏฐิ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่เต็มหัวใจ

.

#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๔

 

  

 

๑ พฤษภาคม ๒๔๖๔

 



สายธารธรรม โดย...เจ้าอาวาส

* ข้อวัตรปฏิปทาในพ่อแม่ครูอาจารย์
* บริขารพระป่าในปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์
* สุดรัก...สุดอาลัย... พ่อแม่ครูอาจารย์
* ประกาศวัดป่าบ้านตาด เรื่อง หนังสือภูริทัตตะ อัครเถราจารย์
* พระประวัติย่อ สมเด็จพระญาณสังวร ฯ
* ชมวีดีโอชิวิตที่วัดป่าบ้านตาด
* 100 ปี ชาตกาลองค์หลวงตา
* ชมวีดีโองานพระราชทานเพลิงสรีระสังขารองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
* ประวัติหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน (ย่อ)
* ทำเนียบพระสังฆาธิการจังหวัดเชียงใหม่
* คำพระอุปัชฌาย์สอนนาค
* สวดปาติโมกข์เมื่อ 30 พ.ค. 2546 ณ.วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
* สวดปาติโมกข์เมื่อ 1 มิ.ย. 2554 ณ.วัดพทธธัมมธโร สหรัฐอเมริกา
* เทศน์อบรมนักศึกษา ที่หอพระ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต 29 มิถุนายน 2555
* เทศน์อบรมนักศึกษา ที่ชมรมพุทธธรรมกรรมฐาน มช. 9 ส.ค. 2556
* เทศน์ที่เวที คปท. ๑๖ ก.พ. ๒๕๕๗
* เทศน์ที่วัชรธรรมสถาน ๒๕ เม.ย.๒๕๕๗
* เทศน์งานหลวงปู่เขียน ฐิตสีโล 5 ก.พ.2561
* เทศน์งานหลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต 8 มี.ค.2561
* เทศน์งานหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป 12 มี.ค.2561
* เทศน์งานหลวงปู่ท่อน ญาณธโร 11 ส.ค.2561
* เทศน์งานหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป 11 ก.พ.2562
* เทศน์งานวัดอโศการาม 17 มี.ค. 2562
* เทศน์งานหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป 15 พ.ย. 2562
* เทศน์งานวัดเจริญสมณกิจ 16 ธ.ค. 2562
* เทศน์งานวัดป่าภูผาสูง 8 ม.ค. 2563
* เทศน์งานบำเพ็ญกุศลศพ พระปลัดอนุพุทธ 12 ม.ค. 2563
* เทศน์งานประชุมเพลิง พระปลัดอนุพุทธ 13 ม.ค. 2563
* เทศน์งานวัดเจดีย์หลวง 20 ม.ค. 2563
* เทศน์งานวัดป่าสุขใจ ชะอม 23 ส.ค. 2563
* เทศน์งานผูกพัทธสีมา วัดป่ากิ่วดู่ 27 ก.พ. 2564
* เทศน์อบรมที่ วัดสำปะซิว 26 ธ.ค. 2564
* เทศน์งานหลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง 27 ม.ค. 2566
* เทศน์ที่วัดป่าบ้านตาด 29 มกราคม 2566
* เทศน์อบรมมูลนิธิบ้านอารีย์ วันที่ 5 ก.พ. 2566
* เทศน์สวนแสงธรรม 26 ก.พ.2566
* เทศน์คอร์สอบรมปฏิบัติภาวนา ณ.วัชรธรรมสถานวันที่ 24-26 มี.ค. 2566
* เทศน์คอร์สอบรมปฏิบัติภาวนา ณ.วัชรธรรมสถานวันที่ 26-28 พ.ค 2566
* เทศน์อบรมมูลนิธิบ้านอารีย์ สายธรรมวันสว่าง วันที่ 18 มิ.ย. 2566
* เทศน์สวนแสงธรรม 29 มิ.ย. 2566
* พระธรรมเทศนา ณ.วัดเกาะทอง ในพิธีอุปสมบทประจำปี ๒๕๖๖ ณ.วันที่ ๒ ก.ค. ๖๖
* เทศน์วัดป่าศรัทธาถวาย เนื่องในงานแสดงมุฑิตาสักการะฯ วันที่ 6 สิงหาคม 2566
* เทศน์วัดเกาะทอง วันที่ 8 กันยายน 2566
* เทศน์วัดอโศการาม ณ.ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วันที่ 26 พฤศจิกายน 2566
* เทศน์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ตำหนักบางขุนพรหม 24 ตุลาคม 2566
* เทศน์แสดงธรรม ณ.ชมรมพระพทธศานาเอไอเอสำนักงานใหญ่ชั้น 8 วันที่ 6 ธันวาคม 2566
* เทศน์แสดงธรรมเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2566 ณ.วัดเกาะทอง
* แสดงธรรมในงานครบรอบ 21 ปีวันละสังขาร หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล 5 ก.พ.67
* เทศนาธรรมที่มูลนิธิบ้านอารีย์วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567
* เทศนาธรรมที่ชมรมพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต 24 มีนาคม 2567
* พระธรรมเทศนาคอร์สอบรมปฏิบัติธรรม ณ.วัชรธรรมสถาน 29-31 มีนาคม 2567
* พระธรรมเทศนาอบรมจิตภาวนาวัดเกาะทอง วันที่ 5 เมษายน 2567
* เทศน์วัดอโศการาม ณ.ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วันที่ 14 เมษายน 2567
* เทศน์ภาคปฏิบัติ ณ.วัดอโศการาม วันที่ 25 เมษายน 2567 เนื่องในวาระครบรอบปีที่ 63 ท่านพ่อลี ละสังขาร
* เทศนาธรรมคอร์สปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ในหลวง ร.10 ภาวนาสัญจร 4-6 พ.ค. 2567 ณ บ้านนางฟ้า เขาใหญ่
* เทศนาธรรมที่ธนาคารแห่งประเทศไทย 20 มิ.ย.67
* เทศน์อบรมปฏิบัติภาวนาที่พิพิธภัณฑ์จรรโลงพระพุทธศาสนา 5 ก.ค.2567
* พระธรรมเทศนาคอร์สอบรมปฏิบัติธรรม ณ.วัชรธรรมสถาน 12-14 กรกฎาคม 2567
* พระธรรมเทศนาเฉลิมพระเกียรติในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ
* แสดงธรรมภาคปฏิบัติ ณ.วัดเกาะทอง ถวายเป็นพระราชกุศลฯ ในหลวงรัชกาลที่ 10 เมื่อ 28 ก.ค.67
* เทศน์แสดงธรรมภาคปฏิบัติ ณ.วัดอโศการาม วันที่ 10 พฤศจิกายน 2567
อาสาฬหบูชารำลึก ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗
มาฆบูชารำลึก ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
วิสาขบูชารำลึก ๓ มิถุนายน ๒๕๖๖
แม่นี้มีคุณอันใหญ่หลวง
วันเข้าพรรษา
ชมภาพบรรยากาศพิธีอุปสมบท ณ.พัทธสีมา วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
ตำแหน่งที่ควรค่าต้องได้มาเพราะคู่ควร
สุขใดเสมอสงบไม่มี
สื่อโซเชียลคุณอนันต์โทษมหันต์
ชีวิตติดPresentTense
ความสวยความงาม
บุพเพอาละวาด
ศีลคือรากแก้วของศาสนา
ได้ยินสักแต่ว่า ได้ยิน
พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี
จะหงุดหงิดใจกับคนโกงเพื่อ?
ทำใจให้มันเป็นสุข-EP2
ทำใจให้มันเป็นสุข-EP1
ธรรม!!!เตือนสติสังคมไทย
การใช้ชีวิตแบบพอเพียง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ดูท่าแล้วเก็บทรงไม่อยู่
มาเจริญศาสนาในใจกันดีกว่า
เรื่องของหัวหน้ากับลูกน้อง
โลกที่แท้จริงมีอยู่ในใจ
อย่าประมาทในชีวิตอันน้อยนิด
ทางสองแพร่ง
ทุกข์อันเกิดจากมิจฉาอาชีวะ
นักรบศิษย์พระตถาคต
สิกขาบทที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์
อเสวนา จ พาลานํ
พัฒนาสิ่งใหญ่ๆเริ่มได้จากพัฒนาตัวเอง
หากจะเปรียบธรรมะคือสินค้าพรีเมียมเกรดระดับโลก
ทำอย่างไรให้งามชาตินี้ ยันชาติหน้า ต่อไปชาติโน้น
เป็นห่วงชาติ
ถ้าโลกนี้มีแต่คนดี
คู่มือส่องพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
กฎธรรมชาติ
ไม่มีใครอยู่เหนือกรรม