
เหตุแห่งการเกิดและตาย มูลเหตุแห่งการเกิดและตาย
.
อันที่จริงทุกคนเกิดมาก็ต้องมาอาศัยร่างกายอันเป็นส่วนรูปธรรมแสดงความเป็นตัวตนให้ผู้อื่นรู้จัก เพราะใจเป็นส่วนนามธรรมที่มองไม่เห็น แต่เพราะใจเป็นต้นเหตุให้เกิดร่างกายนี้ขึ้นมา ใจจึงมีความรักสงวนในร่างกายของตนเองนี้อย่างยากที่จะเพิกถอนได้
.
ไม่มีใครอยากให้ร่างกายอันเป็นที่อยู่อาศัยของใจนี้ ต้องพิกลพิการ ขี้ริ้วขี้เหร่อัปลักษณ์ ทุกคนอยากให้กายมีรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณที่ประณีตสวยงามด้วยกันทั้งนั้น แต่มันสุดวิสัยที่จะบังคับให้เป็นไปตามความอยากของตัวเองได้ จึงต้องสู้ทนยอมรับกันไป แบบอยู่ในภาระจำยอม จะสวย หรือจะขี้เหร่อัปลักษณ์ ก็ต้องยอมรับ และชีวิตก็เป็นสิ่งที่ทุกคนรักและหวงแหน ไม่มีใครไม่รักตัวกลัวตาย แม้จะเป็นคนทุกข์ คนจน คนขี้เหร่อัปลักษณ์ ก็ไม่มีใครอยากตาย
.
เพราะอาศัยกิเลสกามที่ฝังจมอยู่ในใจ จึงทำให้พวกเราทุกคนต้องมาเกิดนอนเนื่องในครรภ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น ต้องกลายเป็นสัตว์เสพกาม หลงมัวเมาอยู่ในรสของกามจนไม่อาจพรากใจให้ออกจากกามได้
.
วัตถุกามอันได้แก่ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ที่น่ารักน่าใคร่น่าปรารถนา ได้กลายเป็นเหยื่อล่อให้ใจติดในรสของกามจนยากที่จะถอนตัวได้
.
นอกจากผู้ที่มีจิตใจมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์อย่างแรงกล้าเท่านั้น ที่จะมองเห็นความเพลินในรสแห่งกามว่า เป็นมหันตภัยอันยิ่งใหญ่ เพราะการที่สัตว์โลกหลงมัวเมาเพลิดเพลินอยู่ในรสแห่งกามนี้ จึงเป็นมูลเหตุให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
.
นอกจากความเมาในรสของกามแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดในสามโลกธาตุที่จะมีอิทธิพลบีบบังคับจิตใจของสัตว์โลกให้ต้องดิ้นรนทุรนทุรายเกลือกกลั้วอยู่ในความทุกข์ทรมานได้อย่างแสนสาหัสเท่านี้ ย่อมไม่มีอีกแล้ว
.
กิเลสกามคือ ความหลงมัวเมาเพลิดเพลินอยู่ในรสของกามนี้ ถ้าดูอย่างผิวเผิน มันก็คือพวงดอกไม้ที่ประดับโลกให้สวยงามอยู่ตลอดเวลา สร้างสีสัน สร้างความดื่มด่ำประทับใจ สัตว์โลกจึงติดใจพอใจจนแทบจะไม่มีสัตว์โลกแม้รายเดียวที่จะสลัดตัวให้หลุดพ้นจากบ่วงแห่งกามได้ เว้นไว้แต่ศิษย์พระตถาคตผู้มีความเพียรมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์เท่านั้น ที่จะมองเห็นว่า กิเลสกามเป็นข้าศึกตัวร้ายกาจที่ต้องประหัตประหารให้สิ้นซากโดยถ่ายเดียว
.
ผู้มุ่งหวังความหลุดพ้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนพวงดอกไม้ของพระยามาร ให้เป็นพวงดอกไม้ของพระอริยเจ้าด้วยการพิจารณารูปกายที่สวยงามอันเป็นภาพมายาหลอกลวงนี้ เปิดออกให้เห็นความจริงที่กิเลสกามปิดบังพรางตาเอาไว้
.
แท้จริง รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณที่มองดูว่าผุดผ่องประณีตสวยงามนั้น ก็เป็นเพียงแผ่นหนังบาง ๆ ที่หุ้มห่อสิ่งสกปรกโสโครกปฏิกูลอยู่ภายในอีกมากมาย เพียงแต่ตาเนื้อของสัตว์โลกไม่อาจมองทะลุแผ่นหนังบาง ๆ นี้เข้าไปภายในได้เท่านั้นเอง
.
จึงจำเป็นต้องใช้ตาใจพิจารณาสอดส่องทิ่มแทงให้ทะลุแผ่นหนังบาง ๆ นี้เข้าไปภายในให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดว่า ลึกลงไปภายใต้ผิวหนังแผ่นบาง ๆ นี้ ยังมีเนื้อ มีเลือด มีเอ็น มีกระดูก มีม้าม มีหัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารเก่า อาหารใหม่ บูดเน่าปะปนกัน รวมไปถึงเศษอุจจาระ ปัสสาวะ ที่เน่าเหม็นตกค้างอยู่ภายในกระเพาะลำไส้ ล้วนเป็นสิ่งสกปรกปฏิกูลโสโครกที่น่าขยะแขยง น่ารังเกียจ น่าสะอิดสะเอียนทั้งนั้น
.
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีใจดวงหลงที่แอบหลบซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกายอันนี้อย่างสนิทแนบแน่น คอยเสพสุขจากความรู้สึกทางกายที่ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คอยบงการให้สัตว์โลกดิ้นรนไขว่คว้าหาสิ่งต่าง ๆ มาปรนเปรอความอยากของใจที่ไม่มีคำว่า พอ แม้บางครั้งขอเพียงให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ไม่คำนึงถึงว่า วิธีการจะได้มาโดยชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร?
.
ใจดวงหลงที่ไม่รู้จักว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป มิหนำซ้ำ ยังยึดถือเอาร่างกายอันนี้ว่า เป็นตัวเป็นตน เป็นของตนอย่างเอาจริงเอาจัง จนสามารถที่จะทำชั่วได้ต่าง ๆ นานา เพื่อให้เกิดความมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นที่ร่างกายอันนี้ ซึ่งผลที่สุดแล้วร่างกายมันก็จะล้มลงนอนทับถมแผ่นดีอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่ไม่มีคุณงามความดีอะไรเลย
.
ที่สัตว์โลกพากันทำอะไรผิดศีลผิดธรรม ก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย ทำร้ายกัน เบียดเบียนกัน ปล้นจี้ฆ่าฟันกัน สาเหตุก็มาจากใจดวงหลงนี้ทั้งนั้น ที่สำคัญผิดหลงผิดยึดถือว่าร่างกายนี้เป็นตัว เป็นตน เป็นของตน จึงก่อให้เกิดการกระทำผิด พูดผิด คิดผิด ด้วยอำนาจแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ฝังจมอยู่ในใจ แพร่กระจายลุกลามไปทั่วทุกมุมโลก เพราะสัตว์โลกทุกรายล้วนมีใจดวงหลงนี้เหมือนกันทั้งหมด โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ยากดีมีจน และไม่สำคัญว่าใครจะนับถือศาสนาไหน
.
สิ่งที่กดถ่วงทรมานจิตใจของสัตว์โลกให้ต้องเผชิญทุกข์อยู่ตลอดเวลาก็คือ ความหลงมัวเมาในรสของกามนี่เอง วัตถุกามคือ รูป เสียง กลิ่นรส เครื่องสัมผัส ที่น่ารักน่าใคร่น่าปรารถนานั้น เป็นเพียงเหยื่อล่อใจให้ลุ่มหลง ไม่ใช่กิเลส กิเลสแท้คือ กามราคะ และอวิชชาที่ฝังจมอยู่ในใจ
.
วีรบุรุษนักรบผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยพ่ายแพ้ข้าศึกศัตรูในสงคราม แต่เมื่อยามเจอกับสตรีงาม จิตใจยังต้องหวั่นไหวและโอนอ่อนเหมือนขี้ผึ้งถูกไฟลน
.
แม้ศิษย์พระตถาคตผู้อาจหาญแกล้วกล้า ผู้มีความเพียรเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น ก็ต้องมาตายอยู่ภายใต้เงื้อมมือของสตรีเพราะความประมาท ก็มีจำนวนมิใช่น้อย
.
เพราะเหตุนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสตอบพระอานนท์ว่า “ชื่อว่า สตรีเพศ ไม่เห็นได้เสียเลยนั่นแหละดี อานนท์” แล้วถ้าจำเป็นต้องเห็นล่ะ พระเจ้าข้า “ถ้าจำเป็นต้องเห็นก็อย่าพูดด้วย” แล้วถ้าจำเป็นต้องพูดด้วยล่ะ พระเจ้าข้า “ถ้าจำเป็นต้องพูดด้วย พึงรักษาสติให้ดี”
.
ที่พวกเราชาวพุทธไม่สามารถปฏิบัติธรรมให้ก้าวข้ามไปไกลกว่านี้ได้ ก็ล้วนเป็นเพราะติดอยู่ในหล่มของกิเลสกามตัวเดียวนี้เท่านั้น มีใครไม่ชอบ รูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล บ้างไหม? ชอบก็เป็นกิเลสกาม ไม่ชอบก็เป็นกิเลสกาม เพราะรสชาติของกาม มันก็ยากที่ใคร ๆ เมื่อเสพติดแล้วจะถอนตัวออกมาได้
.
กิเลสมันไม่ได้เป็นเหมือนยักษ์เหมือนผีอย่างเดียว แต่บางทีมันก็แฝงมาในรูปของนางงาม มีทั้งนางงามระดับจังหวัด ระดับชาติ และระดับโลก กิเลสกามที่หลงในรูปวัตถุสวย ๆ งาม ๆ นี้ ถ้าเปรียบไปก็เป็นเพียงนางงามระดับจังหวัดแค่นั้นเอง
.
ส่วนกิเลสกามที่หลงใหลมัวเมาในรสสัมผัสต่าง ๆ ที่แนบสนิทชิดใกล้เข้ามาอีกก็เปรียบเป็นนางงามระดับชาติ เพียงนี้ก็ทำเอาพวกเราหลงกันหัวปักหัวปำแล้ว
.
ถ้าผ่านกิเลสกามระดับจังหวัด ระดับชาติไปได้ จึงจะเข้าไปเจอโคตรกิเลสคือ อวิชชา จึงเป็นนางงามระดับโลก ไอ้นี่เทียบได้กับนางงามจักรวาลเลยทีเดียว
.
ดังนั้น ถ้ายังทำความเพียรเอาชนะมันไม่ได้ ยังไม่สามารถทำลายมันได้ ก็ต้องรู้จักควบคุมยับยั้งมันให้อยู่ในระดับ “พอดี” อย่าให้ล้ำเส้น “พอดี” ออกไป แล้วแค่ไหนจะ “พอดี” นั่นก็คือ มัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นทางสายกลางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทานไว้แล้วแก่พวกเราชาวพุทธทุกคน
.
ขั้นต้น ต้องเอาศีลเป็นมาตรวัด ถ้าไม่ทำให้ศีลขาด นั่นคือ พอดี ถ้าปล่อยให้กิเลสกามอาละวาดจนทำลายศีลขาด ถือว่า ไม่พอดี จะเป็นเหตุให้ไปอบาย
.
ขั้นกลาง ถ้าทำจิตให้สงบเป็นสมาธิได้ จิตไม่คิดฟุ้งซ่านไปเพราะกิเลสกาม นั่นก็ถือว่า พอดี ถ้าจิตคิดหมกมุ่นอยู่แต่ในรสของกามจนไม่เป็นอันกินอันนอน ก็เรียกว่า ไม่พอดี
.
ส่วนขั้นสูงนั้น เป็นการเจริญปัญญาวิปัสสนาให้เป็นสัมมาทิฏฐิเห็นชอบในองค์มรรคทั้ง ๘ ได้ นั่นชื่อว่า พอดี ถ้าเห็นผิดเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่พอดี
.
ดังนั้น ถ้าใครทำความเพียรตั้งมั่นอยู่ในความพอดีอย่างแน่นแฟ้นจน ศีล สมาธิ ปัญญาบริสุทธิ์บริบูรณ์ ถึงขึ้นประชุมรวมกันเป็นหนึ่งได้ ก็จะสามารถเอาชนะกิเลสกามน้อยใหญ่ได้ จนถึงขั้นดับอวิชชาให้หมดสิ้นไปจากใจได้ จึงจะพ้นทุกข์ไปได้ด้วยประการทั้งปวง
.
ถ้าใครไม่มีความเพียร ไม่มีท่าต่อสู้เพื่อยับยั้งปราบปรามกิเลสกามบ้างเลย ผู้นั้น ก็จะติดอยู่ในบ่วงแห่งกามตลอดไป ต้องเวียนว่ายตายเกิด นอนเนื่องในครรภ์ เป็นสัตว์เสพกามไปตลอดทุกภพทุกชาติอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๕_๑๑
|
สายธารธรรม โดย...เจ้าอาวาส