ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องปูหินแกรนิต พื้นโบสถ์... ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องปูพื้นโบสถ์ อย่างที่เราเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้รวดเร็วเพียงนี้ เพราะงบประมาณที่ต้องใช้บวกลบคูณหารกันแล้ว ก็อยู่ในเกณฑ์ 2 ล้านบาทเลยทีเดียว ขณะที่งบที่มีในกระเป๋า มีเพียงแค่ 2-3 แสนบาทเท่านั้นเอง คิดดูแล้วก็น่าหนักใจไม่ใช่น้อย แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความเป็นไปเองของมันตามกฏธรรมชาติ เราจะปรับแต่งได้ก็เพียงบางส่วนเท่านั้น อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิดเป็นธรรมดา อะไรที่มันจะดับ ก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ใครจะไปฝืนความเกิดความดับ ความเป็นไปของกฏแห่งกรรม ที่เป็นอยู่ในหลักธรรมชาติได้ ย่อมไม่มีเอาเสียเลย โบสถ์หลังนี้ก็สร้างกันมาตั้งแต่ ปี 2548 จนบัดนี้ ก็กว่า 5 ปีล่วงแล้ว ยังเหลืองานปูพื้น กับงานหน้าต่างอลูมิเนียม ใกล้ที่จะสำเร็จพร้อมให้ฉลองกันได้ล่ะ งบประมาณที่ได้ทุ่มเทลงไป จากศรัทธาของญาติโยมหลายฝ่ายรวมๆกันแล้ว ก็ไม่ต่ำกว่า 7 ล้านบาท กว่าจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกประการ ก็น่าจะเข้าใกล้หลัก 10 ล้าน นั่นแหละ เงิน 10 ล้าน สำหรับท่านผู้มากด้วยบารมี ก็คงเป็นเงินเพียงแค่เล็กน้อย แต่สำหรับพระป่าบ้านนอกอย่างเรา ก็ต้องถือว่ามันเป็นเงินก้อนมโหฬารเลยทีเดียว เฮ้อ! ช่างมันเต๊อะ มาดูภาพกันก่อนละกัน เดี๋ยวจะบอกทีหลังว่า มันมีความเป็นมาเป็นไปยังไง
ด้านนี้เป็นด้านทิศใต้ มีพระพุทธรูปปางเปิดโลก ประดิษฐานที่หน้าบันขึ้นรูปหล่อโดยใช้ไฟเบอร์กลาส ฝีมือช่างเปี๊ยก (อ.ฝาง) ปิดทองคำแท้ คัดเกรดเอ 99.99 % ราคาต่อชิ้นระดับหลักแสนขึ้น เจ้าภาพคนเดียวรับทั้ง ๔ มุข แต่ไม่ประสงค์ออกนาม
ส่วนด้านหน้าเป็นตราสัญญลักษณ์ ญสส. พระนามย่อของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระประธานในโบสถ์ที่เห็นนั้น เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งก็คือ พระพุทธชินราชจำลองนั่นเอง หน้าตัก 69 นิ้ว ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงประทานนามอันเป็นมหามงคลให้ว่า "พระพุทธรัชมหามงคลธรรมบดี" พระประธานองค์นี้ ใครมองดูแล้วต่างก็ชื่นชมว่างดงามอย่างยิ่งทีเดียว เป็นฝีมือของ "ช่างแก้ว" แห่งโรงหล่อธรรมรังสี ผู้ล่วงลับไป ซึ่งได้ฝากผลงานอันประณีตวิจิตรบรรจงไว้ในพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย ปัจจุบันก็ยังมีลูกชาย(เปี๊ยก-แป๊ก) สืบทอดมรดกฝีมืองานปั้น ของช่างแก้วไว้ได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว ใครอยากได้พระพุทธชินราชงามๆ ก็ไปเถอะ
ทีมช่างฝีมือที่ปูหินแกรนิตโดยเฉพาะ จากทีมงาน บริษัท บางกอกโมเดอร์นแกรนิต จำกัด เจ้าของและผู้จัดการโดย คุณศิริชัย ศรีเจริญล่ำซำ สำนักงานใหญ่อยู่กรุงเทพ มีโรงงานแปรรูปอยู่ที่จังหวัดตาก ห่างจากตัวเมืองไปทางลำปาง อยู่ด้านขวามือไม่ถึง 10 กิโล คุณศิริชัยคนนี้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายพระกรรมฐานขนานแท้เลยทีเดียว มีความชำนาญการด้านหินแกรนิตอย่างยิ่งยวด ใครไม่เชื่อก็ลองไปดูเจดีย์ของ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท แห่งวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ปทุมธานี ที่มีความงามอย่างลึกล้ำ และฝีมืออันประณีตชนิดที่หาตัวจับได้ยาก และนั่นก็เป็นหนึ่งในผลงานหินแกรนิต ของ คุณศิริชัย
หินแกรนิต พิงค์พอริโน่ อาบน้ำยากันซึม มีทั้งแบบผิวมันปูพื้นภายใน และผิวแอนทีคสำหรับปูบันไดกันลื่น ที่เห็นในภาพงานนี้คุณศิริชัย ออกแบบให้เป็นพิเศษ สั่งตัดขนาด 60 x 90 นิ้ว คัดสีและลายให้กลมกลืนเข้ากันได้หมด ทำให้เราไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะได้หินแกรนิตไม่มีมาตรฐาน หรือลายไม่สวยไม่เข้ากัน ใครที่เคยสั่งทำหินแกรนิตคงจะรู้ดีว่า ถ้าเจอคนขายไม่ดี ช่างไม่ดี คงจะมีเรื่องปวดหัวให้ได้ตามแก้กันไม่หวาดไม่ไหว แต่งานนี้ เราปล่อยคุณศิริชัย ทำเต็มที่เลย เพราะเห็นศรัทธา และความตั้งใจอย่างแรงกล้า ก็ต้องยอมรับว่า คุณศิริชัย เป็นคนเก่ง และตั้งใจทำงานจริงๆ เอาใจใส่ดีมากทุกขั้นตอนเลยทีเดียว ทั้งใจบุญอีกต่างหาก เราก็เลยไม่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเรื่องหินแกรนิตอีกต่อไป มิฉะนั้นแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า งานจะดำเนินไปได้อย่างไร เพราะโบสถ์เราก็หลังใหญ่ไม่ใช่น้อย 555 เพราะเราเอง นิสัยไม่ค่อยชอบอะไรที่มันเล็กๆ เอ้า! ใครจะว่าโฆษณาให้ก็ยอมรับล่ะ เพราะของเขาดีจริงๆนี่ ไม่ส่่งเสริมคนดี จะไปส่งเสริมใคร ดังนั้น ใครจะปูหินแกรนิต อยากได้ของดีมีมาตรฐาน งานเนี๊ยบ และที่สำคัญ คือ ซื่อตรง ก็ต้องนี่เลย ติดต่อไปที่นี่ บริษัทบางกอกโมเดอร์นแกรนิต จำกัด โดยทีมงานของ คุณศิริชัย ศรีเจริญล่ำซำ ไม่ผิดหวัง
ทีมงานช่างฝีมือ นำโดย..ช่างวิเชียร คำกิ่ง เป็นผู้ควบคุมลูกทีม จำนวนกว่า 10 คน พร้อมลุยงานกันเต็มที่ ที่เห็นเอาปูนทาทับหน้านี่นะ เป็นปูนกาวระดับตราตุ๊กแก ที่จริงช่างบอกว่าไม่ใช้ก็ได้ แต่คุณศิริชัยบอกว่า โบสถ์สร้างได้แค่หลังเดียว เอาให้มันอยู่ไปสัก 100 ปีไปเลย เออ! ก็ดีเหมือนกัน แต่งานนี้ เราขอบอกว่า ไม่อยู่ด้วยหรอกนะ ตั้ง 100 ปี เราคงไปก่อนโบสถ์ เอาแค่ 80 ปี ก็พอล่ะ
ดูช่างเขาปู มันเหมือนกับทำง่ายๆเลยนะ แต่ถ้าได้ลองทำดูจะรู้ว่า ถ้าทำไม่เป็นมันก็ยากเอามากๆ ก็หินแผ่นหนึ่งมันหนักกว่า 20 กิโล จะปูให้ได้ระดับเรียบเสมอกันหมด ก็ไม่ใช่ง่าย ถ้าช่างปูไม่เป็นละก้อ เป็นเรื่องเลยทีเดียว เพราะก่อนที่ช่างจะปูได้ ก็ต้องมีการเช็คระดับพื้นที่ทั้งหมด ว่าจะปูยกพื้นขึ้นระดับไหน และ เช็คฉากทั้งแนวกว้าง แนวยาว ต้องคำนวนว่าจะทิ้งเศษไว้ด้านไหน อย่างไร ถึงจะดูสวยงาม และบางทีตัวอาคารอาจไม่ได้ฉากเป๊ะๆ ช่างก็ต้องรู้จักเฉลี่ยว่า เมื่อปูแล้วไม่ให้เบี้ยวเฉ จนสังเกตได้ สิ่งเหล่านี้ ถ้าช่างมีประสบการณ์ มันก็จะฟ้องออกมาที่ผลงาน ทำให้ดูดี มิฉะนั้น ก็ดูไม่ได้ล่ะ การคัดสี การคัดหินให้เข้ากัน การตัดเข้ามุมที่ต้องการความพิถีพิถัน และความละเอียดรอบคอบ งานที่จะออกมาเนี๊ยบได้ ช่างต้องเก่งจริงๆ งานนี้ไม่มีโชคช่วยแน่นอน และที่สำคัญคือ ปูแล้วต้องแนบสนิทไม่เป็นโพรงข้างใน และไม่ร่อนออกภายหลัง
นี่ไง! ถ้าจะให้ปูแล้วไม่เป็นโพรง ต้องแบบนี้
และถ้าจะให้ไม่หลุดไม่ร่อนไม่โยกไม่คลอนในภายหลัง ก็ต้องแบบนี้ ทาทับหน้าด้วยปูนกาว ปัญหาเรื่องหลุดร่อนจะอันตรธานไปเลย แต่ช่างน้อยคนนะ ที่จะทำแบบนี้ โดยมากก็มักจะเอาง่ายเข้าว่าล่ะ
ดูเอาเถอะ หินแผ่นหนึ่ง ขนาด 60 x 90 นิ้ว หนัก 25 กิโล ยกคนเดียวแบบนี้ คนไม่เคยก็ลองดูเถอะ ยกขึ้นยกลง สัก 3-4 แผ่น คงหลังคดหลังงอไปแล้วล่ะ
กรอบหน้าต่างอลูมีเนียมก็ทำไปพร้อมๆกัน ภาพล่าสุด 4 ภาพ ถ่ายเมื่อ 8 ก.ค.2553 รู้สึกว่า ทีมช่างทำงานกันได้เร็วมากทีเดียว เริ่มงานตั้งแต่ 3 ก.ค. ถึงวันนี้ 8 ก.ค. งานก็ไปได้เยอะเลย คาดว่า คงใช้เวลาประมาณเดือนเศษๆ ก็น่าจะเสร็จหมดทั้งชั้นล่าง ชั้นบน คอยติดตามความคืบหน้าต่อไป จะนำมาลงให้อ่านกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จงาน
บริเวณด้านหลังพระประธาน ที่เห็นประตูโค้งนั้น เป็นทางเดินออกมาด้านหลัง มีห้องพักรับรองพระเถระ และมีบันไดลงชั้นล่าง
ตรงที่กำลังปูพื้นอยู่นั้น จะกั้นเป็นห้องพักรับรองสำหรับพระเถระ มีช่องบันไดลงไปชั้นล่างจากภายในอาคารได้ ที่เห็นประตูอยู่ชั้นล่างนั้น เป็นห้องน้ำสำหรับพระเถระ
ตอนนี้งานปูพื้น ก็คืบหน้ามาถึงระเบียงด้านทิศใต้ ที่มีพระพุทธรูปปางเปิดโลกอยู่ที่หน้าบัน วิวทิวทัศน์เขียวชอุ่มนั่นก็คือสวนส้มสายน้ำผึ้ง ที่ขึ้นชื่อลือเลื่อง คือมีทั้งคนที่ทำแล้วเจ๊ง กับคนที่ทำแล้วรวย แต่ฝ่ายแรกดูจะมีเยอะกว่า ที่ทำแล้วรวยก็เฉพาะนายทุนใหญ่ที่มีตลาดรองรับ เพราะต้นทุนมันสูงมาก ต้องบำรุงปุ๋ย และฉีดยาสารพัดพิษเยอะแยะเลยทีเดียว ใครที่สายป่านไม่ยาว ก็มักจะหมดทุน เจ๊งไปเสียก่อน ว่ากันว่า คนที่เป็นเจ้าของสวน ถ้าจะปลูกกินเองต้องทำแยกต่างหาก จะไม่ฉีดยาเหมือนที่ส่งไปขาย ไอ้ที่ทำส่งไปขายอ่ะนะ เจ้าของสวน เขาไม่กินกันหรอก เขาปลูกให้คนอื่นกิน ใครชอบกินส้มสายน้ำผึ้ง ก็จงรู้ไว้เสียด้วย ก่อนที่มันจะสายไป กินเยอะๆระวัง ตาย!!!!
นี่ เป็นระเบียงด้านหน้า อยู่ด้านทิศตะวันตก มีสระน้ำอยู่หน้าโบสถ์ ด้านหลังติดภูเขาเป็นทิศตะวันออก ใครบางคนบอกว่า หันหน้าพระประธานไปทางทิศตะวันตก ไม่ค่อยดี โบราณเขาถือ อาจทำให้เจ้าอาวาสอายุสั้น เราเองก็พิจารณาอยู่เหมือนกัน มิใช่จะดื้อรั้นไม่เชื่อคำโบราณ แต่เมื่อพิจารณาภูมิประเทศ และการสัญจรรอบๆบริเวณโบสถ์แล้ว ก็เห็นว่า พระประธานควรหันไปทางทิศตะวันตก เป็นความเหมาะสมกับภูมิประเทศอย่างที่สุด และเหมาะสมสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ หากจะหันหน้าพระประธานไปทางทิศตะวันออก ก็จะหันหน้าเข้าหาภูเขา หากหันไปทางทิศเหนือก็หันหลังให้คนที่มากราบไหว้ ก็เลยหันไปทางตะวันตกนี่ล่ะ หลังพิงภูเขามีตะวันอยู่ด้านหลัง และมีสระน้ำอยู่ด้านหน้า คนมาก็รับได้ทุกทิศทุกทาง ก็เหมาะดี หากจะมีอาถรรพ์ทำให้เจ้าอาวาสเป็นอะไร ก็เป็นไปเถอะ เราขอสละชีพบูชาธรรม พิจารณาโดยธรรมแล้ว คนเราจะตาย ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของผู้นั้น บันดาลให้ตาย จะตายอย่างไรก็เป็นไปตามกรรม พระประธานไม่ได้ทำให้ใครตายได้หรอก และอีกอย่างหนึ่ง เจ้าอาวาสแต่ละวัดทุกวัด ไม่มีวัดไหนที่ไม่ตายหรอก หันหน้าพระประธานไปทางไหน ก็ตายเหมือนกันล่ะ ตายช้าตายเร็วกว่ากันนิดๆหน่อย ก็หยวนๆไปเถอะ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน ตัวเราเองพิจารณาแล้ว ก็มิได้หวั่นไหวต่อความเป็นความตายใดๆทั้งนั้น 555 ใครจะว่าโม้ก็ว่าไป
ภาพชุดระเบียงเป็นภาพล่าสุด ถ่ายเมื่อวันที่ 11 ก.ค.2553 จะนำมาลงให้ดูไปเรื่อยๆ คอยติดตามต่อไป
นี่ไง! พระพุทธรัชมหามงคลธรรมบดี ตั้งเด่นสง่างาม พื้นชั้นบน ปูเสร็จแล้ว เหลือติดบัว และเก็บในรายละเอียด ถ่ายเมื่อ 22 ก.ค.2553
แม้ยังไม่สมบูรณ์ 100% แต่ก็ดูสวยงามมาก เหมาะที่จะใช้ทำกิจสงฆ์ มีการบรรพชาอุปสมบท ลงปาฏิโมกข์ ทำวัตรสวดมนต์ อบรมจิตตภาวนา
ด้านหลังพระประธาน มีบันไดลงสู่ชั้นล่างอยู่ภายในตัวอาคาร หน้าต่างก็ใส่ขอบอลูมิเนียมเสร็จแล้ว ยังขาดแต่กระจกที่ต้องหาซื้อมาใหม่ ยังไม่มีงบค่ากระจก ประมาณการคร่าวๆอยู่ที่หนึ่งแสนบาท เฮ้อ!!! ใครมีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ ถ้าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ก็แวะๆมาได้เลย 555
ระเบียงด้านหน้าพระประธาน
มาดูภาพใต้ถุนชั้นล่างกันบ้าง ก็ปูได้สัก 40% พระประธานเป็นพระเชียงแสน สิงห์หนึ่ง หน้าตัก 49 นิ้ว พร้อมด้วยรูปเหมือนของ พระอาจารย์ใหญ่ 3 องค์ มี หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และ หลวงปู่ขาว อนาลโย
ที่เห็นช่องประตูนั้น เป็นห้องเก็บของใต้บันไดทางขึ้นชั้นบน จะใส่ประตูไม้สัก
ด้านหลังพระประธานชั้นล่าง ก็เป็นทางขึ้นบันไดไปชั้นบน มีซิงค์สำหรับล้างถ้วยล้างชาม ที่ใต้บันได และมีห้องน้ำสำหรับพระเถระ 2 ห้อง ร้านนิวโชคอนันต์ อ.ฝาง รับเป็นเจ้าภาพ ที่เห็นกองอยู่ด้านขวามือนอกหน้าต่างคลุมผ้าเต็นท์ไว้นั้น เป็นกระจกสำหรับใส่หน้าต่าง ขนาดหนา 8 มม. เป็นกระจกโซล่าแท็ก ผ่านการอบมา มีสีออกน้ำเงิน ขนาด 140 x 210 ซม. จำนวน 90 แผ่น เป็นกระจกแบบมองได้ทางเดียว ซึ่งโยมที่กรุงเทพฯ ได้ส่งไปถวาย ทีแรกก็เข้าใจว่า เป็นกระจกที่ตัดได้ แต่พอมาตัดดูจริงๆ กลับตัดไม่ได้ อันนี้ก็เลยเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาเลยทีเดียว น่าเสียดายมาก เพราะแผ่นหนึ่ง ราคาอยู่ที่ 7-8,000 บาท แต่พอมันตัดไม่ได้ ก็เลยหมดท่า ได้แต่นั่งดูตาปริบๆ เพราะแผ่นหนึ่งราคาขายตามท้องตลาด ตกที่ แผ่นละ 8-9,000 บาท ใครที่สามารถ ทำประตูขอบหน้าต่างให้เข้ากับขนาดของกระจกได้ ก็มา เอาไปเลย ไม่กำหนดราคา แต่ขอให้มีเงินซื้อกระจกใหม่มาแทนได้ ก็โอเคแล้วล่ะ
นี่ คือกระจกโซล่าแท็ก จำนวน 90 แผ่น ที่ตัดไม่ได้ ที่จริงมี 100 แผ่น แต่แตกไปตอนขนส่งเสีย 10 แผ่น ถ้าใครสามารถใช้ได้ ก็มาเอาไปเลย หากระจกใหม่มาใส่ให้ก็โอเค กระจกที่ต้องใช้ เอาแค่ 6 ม.ม. ก็พอแล้ว เป็นกระจกใสสีเขียว จำนวนก็ประมาณน่าจะพอๆกัน
ภาพต่อจากนี้ไป ถ่ายเมื่อ 31 ก.ค.2553 เริ่มงานปูบันได เห็นช่างทำงานแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า งานบันไดนี่ทำได้ยากจริงๆ เพราะมีสลับสีที่ขอบด้านข้าง เพื่อความสวยงาม ซึ่งดูแล้วก็สวยจริงๆ แต่กว่าช่างจะทำออกมาได้ ก็ต้องใช้ฝีมือ และความพิถีพิถันไม่ใช่น้อย ก็ถือว่าสมราคากับค่าแรงเมตรละ 500 บาท
บันไดขึ้นทางด้านทิศเหนือ เป็นปางปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์
ช่างวิเชียร คำกิ่ง หัวหน้าทีมช่าง ที่คุณศิริชัยมอบหมายให้มาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ทีมนี้ทำงานฝีมือดี เรียบร้อย ใจเย็น และที่สำคัญคือ พูดไม่ยาก
ตรงนี้เป็นบริเวณใต้ถุนบันได ทางขึ้นด้านหน้า ที่เห็นเป็นซุ้มโค้งๆนั่น เป็นระเบียงกันสาด
การปูบันได ช่างบอกว่า มันยากตอนตั้งลูกตั้งนี่ล่ะ ถ้าตั้งลูกตั้งได้ ก็ถือว่าเสร็จแล้ว เพราะลูกนอนมันไม่ยาก เราก็ว่าจริงทีเดียว ดูๆไปมันก็คล้ายๆกับการปฏิบัติธรรมเหมือนกันนะ อีตอนนั่งภาวนานี่ ก็เหมือนลูกตั้งล่ะ โคตรยากเลย แต่ไอ้ลูกนอนภาวนานี่ มันไม่ค่อยยาก 555 ใครๆก็ชอบกันทั้งนั้น นอนได้ทีละนานๆ ไม่เบื่อไม่หน่าย แต่พอจะลุกขึ้นมานั่งบ้างนี่ เฮอะ! เรื่องมากชิบหาย ธุระนั่น ธุระนี่ยุ่งไปหมด
ถึงวันนี้ 30 สิงหาคม 2553 การปูหินแกรนิตพื้นโบสถ์ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์
นี่!!! เห็นแค่นี้ก็พอมองออกแล้ว ถ้าเสร็จเรียบร้อยจะเป็นยังไง หินปูบันได ทั้งลูกตั้ง ลูกนอน คุณศิริชัย สั่งตัดให้จากโรงงานเลยทีเดียว พร้อมเจียลบมุม และขัดผิวหยาบ กันลื่นมาเรียบร้อย ช่างก็ทำงานง่ายขึ้น งานก็เลยออกมาดูดี อย่างที่เห็นนี่ละ ช่างปูบันไดนี่ ต้องใจเย็นจริงๆ ไม่งั้นก็จอดไม่ต้องแจว และถ้าผลงานไม่ดี ก็ไม่มีทางจะเล็ดลอดผ่านสายตาของเราไปได้ แต่งานนี้ เรามองดูแล้วผ่านหมด แทบไม่ต้องติติงอะไรกันเลย เพราะช่างก็ตั้งใจทำงานเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีการหมกเม็ด คราวนี้คงต้องได้บอกกล่าวกับศรัทธาญาติโยม ที่เคยร่วมบริจาคปัจจัยเป็นเจ้าภาพปูพื้นโบสถ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันสักเล็กน้อย จากเดิมที่เคยบอกว่า ปูพื้นหินแกรนิต ซากุระ ตารางเมตรละ 800 บาท นั้น ก็ต้องได้เปลี่ยนไป เนื่องจากได้รับคำแนะนำจากคุณศิริชัยให้เปลี่ยนมาใช้ หินแกรนิต พิงค์พอรีโน่ ซึ่งเป็นหินจากประเทศจีน เข้ามาเป็นก้อนใหญ่ๆ แล้วมาแปรรูปเอง สามารถคุมขนาดความหนาบาง และขนาดที่ได้มาตรฐานกว่า โดยตัดไซส์พิเศษให้ ซึ่งไม่มีในท้องตลาด คือขนาด 60 x 90 นิ้ว ถ้าใช้หินซากุระ จะมีปัญหาเรื่องความหนาบางของหิน และขนาดที่ไม่เท่ากัน รวมทั้งโทนสีด้วย เพราะเป็นหินสำเร็จจากเมืองนอก แต่พิงค์พอรีโน่ จะได้โทนสีที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน เพราะเป็นหินก้อนเดียวกัน หรืออยู่ในโซนเดียวกัน และที่สำคัญ โรงงานแปรรูปของคุณศิริชัย ที่ตาก มีเครื่องตัดที่ทันสมัย สามารถตัดได้ ขนาดเท่ากันทุกแผ่น และจัดสีให้อยู่ในโทนเดียวกันได้ เมื่อปูพื้นอาคารที่กว้างๆ จะทำให้ดูกลมกลืนสวยงาม และหินก็มีมากพอที่จะใช้ปูโบสถ์ ได้ทั้งหลังอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนจากหินแกรนิต ซากุระ มาเป็นหินแกรนิต พิงค์พอรีโน่ แทน และเป็นเหตุทำให้งบประมาณเพิ่มขึ้น แต่คุณศิริชัย ก็คิดราคาชนิดที่ต่ำมาก คือ ตารางเมตรละ 900 บาท จากปกติที่เคยขายอยู่ 1,200 บาท บวกกับค่าแรงช่างที่ก็ลดให้อย่างสุดๆเช่นกัน คือค่าแรงปู ตารางเมตรละ 100 บาท ไม่รวมบันได เพราะบันได้จะทำได้ยากกว่า ค่าแรงปูบันได อยู่ที่ ตารางเมตรละ 500 บาท บวกอาบน้ำยากันซึม เพื่อมิให้เกิดรอยด่าง เมื่อเจอฝน อีกตารางเมตรละ 50 บาท รวมเบ็ดเสร็จแล้ว ก็จะอยู่ที่ ตารางเมตรละ 1,050 บาท ส่วนค่าขนส่งหินแกรนิต จากโรงงานที่ตากไปวัด ไม่คิดขอถวายฟรี ก็ไหนๆจะทำโบสถ์ทั้งที ก็ทำให้มันดีสุดๆไปเลย เอาถาวรคงทนเข้าว่า เท่าไรก็เอาละ แต่เราเองก็คิดว่า งบประมาณการออกมานั้น เฉพาะค่าหินแกรนิต รวมทั้งหมด ชั้นบน + ชั้นล่าง + บันได 1,444 ตารางเมตร เป็นเงิน 1,586,667.60 บาท ส่วนค่าแรง ทั้งปูพื้น + บันได ก็อยู่ที่ 292,860.20 บาท รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมด เป็นเงินทั้งสิ้น 1,879,527.80 บาท เห็นตัวเลขแล้วก็เหนื่อย ไม่รู้จะไปหามาจากไหน จึงฝากลูกศิษย์บอกต่อๆกันไปว่า ใครต้องการเป็นเจ้าภาพปูพื้นหินแกรนิต เพื่อให้โบสถ์เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เป็นบุญใหญ่ในพระพุทธศาสนา ก็ร่วมสมทบทุนเป็นเจ้าภาพได้ ตารางเมตรละ 1,050 บาท จะเอากี่ตารางเมตร ก็ตามอัธยาศัย วัดหนึ่งสร้างโบสถ์ได้หลังเดียวไม่มีหลังที่สอง ถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลย การสร้างโบสถ์วิหาร ถือว่าเป็นการฝังทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงที่สุด เมื่อโบสถ์เสร็จแล้ว ก็ขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ฝังลูกนิมิตเป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์
๒.ธนาคารกรุงไทย สาขาฝาง
๔.ธนาคารกสิกรไทย สาขาฝาง
|