
ได้อะไรเมื่อไปงานศพ ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น
.
เป็นคำเทศนาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (จับ ฐิตธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดโสมนัสราชวรวิหาร (ข้อมูลจากกูเกิ้ล) เป็นคำพูดที่คล้องจองกันดี ชวนให้รำลึกนึกถึงความตายเป็นมรณานุสติ ก็เลยมีผู้ฉลาดเอาไปพิมพ์ไว้ในตาลปัตรที่ใช้สำหรับพระสงฆ์ ๔ รูป สวดพระอภิธรรมในงานบำเพ็ญกุศลศพ
.
ความหมายของแต่ละประโยคนั้น ที่จริง ก็หมายถึง “ความตาย” นั่นแหละ ไม่ใช่เป็นการเข้าใจผิด เหมือนที่มีใครบางคนมาเขียนบทความแปลเป็นอย่างอื่น .
คำพูด ๔ ประโยคนี้ เป็นปริศนาธรรมที่ดีมาก นักปราชญ์ท่านเน้นให้เห็นถึงคุณลักษณะของความตาย ๔ อย่าง เพื่อให้ผู้ที่มาในงานศพได้รำลึกนึกถึงความตายเป็นมรณานุสติอย่างง่าย ๆ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต
.
เมื่อไปงานศพ ก็ไปเพื่อเคารพศพผู้ตาย เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ตาย เพื่อรำลึกนึกถึงคุณความดีของผู้ตายที่อาจเป็นญาติพี่น้อง หรือเป็นมิตรสหายที่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน
.
เมื่อไปในงานศพ ได้เห็นบรรยากาศภายในงาน ได้เห็นโลงศพ ได้เห็นรูปของผู้ตาย ได้เห็นญาติพี่น้องของผู้ตายแต่งชุดขาวดำอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกเสียใจ ได้เห็นแขกเหรื่อที่ไปร่วมงานต่างไว้อาลัยแก่ผู้ตาย
.
ได้เห็นพระสงฆ์ตั้งพัดสวดพระอภิธรรม ก็จะได้รำลึกนึกถึงความตายเป็นมรณานุสติ เป็นการเจริญกรรมฐานไปในตัว ใจจะได้บังเกิดความสลดสังเวชในร่างกาย รู้จักปลงวางความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ปล่อยวางเรื่องวุ่นวายทางโลกไปเสียบ้าง แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังนับว่าดี
.
“ไปไม่กลับ” ก็คือ “ตาย”
“หลับไม่ตื่น” ก็คือ “ตาย”
“ฟื้นไม่มี” ก็คือ “ตาย”
“หนีไม่พ้น” ก็คือ “ตาย”
.
มันก็จริงอย่างนั้นหมดทุกประโยค ไม่ใช่เป็นการเข้าใจความหมายผิด ธรรมท่านสอนให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ รวมลงสู่ความตาย ความแตกสลาย ซึ่งก็คืออนัตตาธรรมนั่นเอง ทุกคนต้องพร้อมที่จะเผชิญกับความตายได้ตลอดเวลา โดยไม่เลือกกาล สถานที่ บุคคล
.
นักปราชญ์ท่านบอกเป็นปริศนาธรรมไว้ เพื่อให้เรารำลึกนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน เพราะในเวลาเช่นนั้น การเจริญมรณานุสติกรรมฐานรำลึกถึงความตายเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ไม่ควรไปนึกถึงอารมณ์อย่างอื่น ๆ
.
คือ ให้น้อมเอาความตายเข้ามาพิจารณา ด้วยคิดว่า วันหนึ่งเราก็จะต้องตาย ตายแล้วก็จะมีการจัดงานศพแบบนี้ มีคนมางานศพแบบนี้ มีพระมาสวดศพแบบนี้ แต่คนตายไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว มีแต่คนเป็น ๆ นี่แหละ ที่ยังรู้เรื่องได้อยู่
.
ดังนั้น ตอนนี้เรายังไม่ใช่คนตาย เรายังเดินได้ พูดได้ จะทำดีอย่างไรก็ให้รีบทำเสียแต่บัดนี้ เดี๋ยวเกิดตายปุ๊บตายปั๊บขึ้นมา จะไม่มีโอกาสได้ทำอีก เพราะความตายมันไม่เคยให้โอกาสแก่ผู้ใด กรรมตายมาถึงเมื่อไหร่ ก็ตายได้ทันที
.
ส่วนการที่จะมีใครบางคนตีความไปเองเป็นอย่างอื่น ทำนองว่า
.
"ไปไม่กลับ" หมายถึง 'กาลเวลา' ที่หมุนผ่านไป ไม่มีวันหวนกลับ อดีตล่วงไปแล้ว เหลือแต่ปัจจุบัน ควรใช้เวลาสร้างแต่ความดีให้คุ้มค่า
.
"หลับไม่ตื่น" หมายถึง คนที่ยังหลงอยู่กับ 'โมหะ' ความหลงใน 'กิเลส' สร้างแต่บาปกรรม ไม่ยอมทำความดี เหมือนคนที่หลับไหล ไม่ยอมตื่นรับรู้ตามความจริง
.
"ฟื้นไม่มี" หมายถึง 'สังขารของเราที่ร่วงโรยไป' ในแต่ละวัน ไม่สามารถย้อนคืนความหนุ่มความสาวได้
.
"หนีไม่พ้น" หมายถึง 'กรรม' ที่เราสร้างมาในแต่ละวัน ไม่มีวันที่เราจะหนีกรรมนั้นพ้น
.
สรุปว่า ท่านบอกให้เรา
ไม่ประมาทใน 'กาลเวลา'
ไม่ประมาทใน 'กิเลส'
ไม่ประมาทใน 'สังขารที่ล่วงไป'
ไม่ประมาทใน 'การสร้างบุญกุศล'
.
คือ ถ้าใครจะเข้าใจความหมายไปแบบนี้ มันก็ใช้ได้เหมือนกันนะ ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก เพียงแต่มันเล่นโวหารเชิงปริยัติมากไปหน่อย มันไม่ได้อารมณ์กรรมฐาน ไม่ได้เป็นมรณานุสติ ไม่ได้พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ที่เหมาะที่ควรแก่ กาล สถานที่ บุคคล คือมันไม่ถูกกาลเทศะ แค่นั้นเอง
.
การแปลอย่างนั้น มันรู้ความหมายแค่ตอนอ่านตอนฟังเท่านั้นแหละ พออ่านจบฟังจบก็ลืมหมด ต้องท่องจำเอาไว้ถึงจะจำได้ นี่! เรียกว่า ปริยัติ เป็นภาคความจำ ก็จำได้เหมือนนกแก้วนกขุนทอง
.
ส่วนภาคปฎิบัตินั้น ต้องพิจารณาจากของจริงให้เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง ถ้าพิจารณาความตาย เห็นความจริงของความตาย รู้เท่าความตายได้ มันก็รู้ทุกอย่างได้ด้วยปัญญาของตัวเอง มันต่างกันมากอย่างนี้
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๕
๒๑ มกราคม ๒๕๖๕
|
สายธารธรรม โดย...เจ้าอาวาส