| ไม่มีอะไรเป็นของเราจริง
เราไม่ได้ว่านะ ว่า “ของที่จะเป็นของเรา ไม่มีใครเอาไปได้”
เพราะโลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นของเราจริง มันเป็นแค่สมบัติกลางของโลก ที่ผลัดกันชมเท่านั้นเอง ต่างคนต่างขอยืมเอามาใช้ประโยชน์ชั่วคราว พอใช้เสร็จแล้วก็คืนเจ้าของเดิมไป คนอื่นก็ขอยืมเอาไปใช้ประโยชน์ต่อไป หมุนเวียนกันไปอย่างนี้มาช้านานแล้ว อย่าเผลอใจไปคิดขโมยของกลางของโลก มาเป็นของตัวเอง แม้จะรักจะชอบสักเพียงไหนก็ตาม หากใครไปขโมยยึดถือว่าอะไรเป็นของเรา คนนั้นก็ต้องทุกข์เพราะสิ่งนั้นขึ้นมาทันที ธรรมท่านจึงสอนให้ทำใจเหมือนใช้ของสาธารณะ อย่างเช่น เวลาเรานั่งรถเมล์ นั่งเครื่องบิน เราไม่เห็นทุกข์ร้อนไปกับรถเมล์ หรือเครื่องบิน ถึงเวลาจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากมัน ก็ใช้มันไปตามสมควรแก่ฐานะของมัน อย่าไปทำอะไรให้มันเสียหายโดยไม่ใช่เหตุก่อนเวลาอันควรก็พอ พอใช้เสร็จวัตถุประสงค์ ก็เดินจากมันไป ไม่ได้ไปเป็นห่วงเป็นใยรถเมล์ เป็นห่วงเครื่องบินว่า มันจะเสียจะหายจะต้องซ่อมแซมบำรุงรักษาแต่อย่างใด ฉันใดก็ฉันนั้น แต่ถ้าเราลองคิดว่า รถเมล์เป็นของเราดูสิ! เครื่องบินก็เป็นของเรา แล้วจะเป็นยังไง? ก็คงจะมีเรื่องปวดกระโหลกให้ต้องคิดอีกมากมาย สู้เป็นผู้โดยสารไม่ได้นะ ดีกว่าเยอะ!! อุปมาเหมือนจิตเรา ก็เป็นผู้โดยสารมาอาศัยพาหนะคือ กายนี้ท่องเที่ยวไปในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ผู้ฉลาดก็ใช้มันเที่ยวไปเพื่อสั่งสมคุณงามความดี ผู้โง่เขลาก็ใช้มันเที่ยวไปเพื่อสั่งสมโทษทรามความชั่ว ผู้มีปัญญาก็ย่อมต้องรู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์ตามสมควรแก่ฐานะของมัน ถ้ามันยังใช้ได้ดีอยู่ ก็ใช้มันไป ถ้ามันเสีย หากซ่อมได้ ก็ซ่อมมันไป ถ้าซ่อมไม่ได้แล้ว ก็ทิ้งมันไป ก็เท่านั้นเอง แต่ผู้โง่เขลาก็คิดแต่จะไขว่คว้าเอาสิ่งต่าง ๆ มาเป็นของตัวเอง ที่ดินก็ของกู ต้นไม้ภูเขาก็ของกู แม่น้ำลำคลองก็จะเอาเป็นของกู ตึกรามบ้านช่องก็ของกู ลูกเมียก็ของกู เงินทองก็ของกู อะไร ๆ เป็นของกูทั้งหมด พอขาดใจตายลมหายใจดับพรึ่บเท่านั้นแหละ บรรดาของกูทั้งหลายก็กลายเป็นของคนอื่นในพริบตาเดียว นี่แหละ! คือสัจธรรมความจริงของโลก ใครจะรู้หรือไม่รู้ ก็ช่างแม่ม..เถอะ แต่โลกมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครไปลบล้างเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ แต่ถ้าใครไปคิดว่า ร่างกายนี้เป็นของเราเพียงอันเดียวเท่านั้น สารพัดทุกข์จะประดังเข้ามาในทันที เกิดห่วงนั่น ห่วงนี่ ห่วงโน่น สารพัดห่วงขึ้นมาอย่างมากมายก่ายกอง นี่! คือต้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง ถ้าใครไม่รู้ ก็จงรู้ไว้เสียตั้งแต่บัดนี้ ธรรมท่านจึงสอนมิให้ไปขโมยเอาร่างกายที่เป็นสมบัติของกลางของโลก มาเป็นของเรา มันเป็นเหตุให้ไปอบาย ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ล้วนแปรสภาพมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม นี้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นของใคร เรามาแต่จิต แล้วก็จะไปแต่จิตเท่านั้น อย่างอื่นใด หาเอาไปได้ไม่ นอกจากบุญกับบาปที่ฝังจมติดอยู่กับจิต ที่จะเป็นสมบัติของเราแท้ เบื้องต้นธรรมท่านสอนให้ยึดถือจิตว่า เป็นเราไปเสียก่อน เพื่อใช้เป็นสะพานที่จะก้าวเดินไปสู่ธรรมชั้นสูง เมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว มันหากสลัดจิตทิ้งไปเอง แม้จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จงพากันจำเอาไว้ ว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราจริง แม้แต่ร่างกายชีวิตจิตใจ ที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา วันหนึ่งก็จะต้องพลัดพรากจากกันไปจริงแท้แน่นอน ทุกสรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และแตกสลายในบั้นปลาย ไม่มีสิ่งใด ๆ จะอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์อันนี้เลย มีแต่พระนิพพานอันเดียวนี้เท่านั้น ที่เป็นธรรมวิเศษในพระพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธทุกคนควรภูมิใจ ถึงแม้จะยังไม่เห็น ยังเข้าไม่ถึง แต่การได้ยินได้ฟังก็ถือว่า เป็นมงคลอย่างสูงสุดยิ่งแล้ว... |










บุคคลทั่วไป 15 คน





