


วันนี้จะพูดเรื่องอาบัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ สักเล็กน้อย วันที่ไปซื้อทองคำไปหล่อยอดฉัตรเจดีย์องค์หลวงตา เราให้โยมหาเมล็ดข้าวเปลือก ๖๐ เมล็ด ไปด้วย พอไปถึงร้านทอง ซื้อทองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขอให้ทางร้านช่วยชั่งเมล็ดข้าวเปลือกให้ที โดยแบ่งเป็น ๓ ชุด ๆ ละ ๒๐ เมล็ด ผลการชั่งน้ำหนัก เป็นดังรูป คือ ๐.๕๕ กรัม, ๐.๕๔ กรัม, ๐.๕๒ กรัม หาค่าเฉลี่ยออกมา ได้เท่ากับ ๐.๕๓๖ กรัม ปัดเศษได้เป็น ๐.๕๔ กรัม
.
บางคนอาจมีปัญหาถามว่า บ้าหรือเปล่า ที่เอาเมล็ดข้าวเปลือกไปชั่ง
.
คำตอบ คือ ไม่ได้บ้า แค่อยากรู้ว่า เมล็ดข้าวเปลือก ๒๐ เมล็ด มีน้ำหนักเท่าไร ได้คำตอบออกมาแล้ว คือ น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ ๐.๕๔ กรัม
.
นี่ คือ น้ำหนักทองคำ ที่เทียบเท่าเงิน ๕ มาสก อันเป็นมูลค่าทรัพย์ที่เป็นเหตุให้พระต้องอาบัติปาราชิก หากมีเจตนาหยิบฉวยเอาทรัพย์ของเขาด้วยอาการแห่งขโมย คือรู้อยู่ว่า ทรัพย์นั้นมีเจ้าของ และเจ้าของเขาไม่ได้ให้ มีไถยจิตคิดที่จะเอาของเขามาเป็นของตัวเอง ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป ทันทีที่ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่ ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิก หาสังวาสมิได้
.
พระวินัยกำหนดให้ ๕ มาสก เทียบเท่ากับมูลค่าทองคำน้ำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก คือ ๐.๕๔ กรัม มาคิดเป็นตัวเงินดู
.
ทองคำหนัก ๑ กิโล = ๖๕.๙๖ บาท
ทองคำหนัก ๑ บาท = ๑๕.๑๖ กรัม
ทองคำหนัก ๑ บาท ราคาตอนนี้อยู่ที่ ๑๘,๕๕๐ บาท ก็เอา ๑๕.๑๖ กรัม ไปหาร ผลลัพธ์จะได้ ๑,๒๒๓.๖๑ บาท แล้วเอา ๐.๕๔ กรัม ไปคูณ ได้เท่ากับ ๖๖๐.๗๕ บาท เป็นมูลค่าแห่งอาบัติปาราชิก เท่าราคาทองคำ ณ เวลาปัจจุบันตอนนี้
.
คิดง่าย ๆ เผื่อราคาทองคำขึ้น ๆ ลง ๆ ในทางปลอดภัยไว้ก่อน คือเท่ากับเงิน ๖๐๐ บาท พระองค์ไหนขโมยเงิน หรือทรัพย์ของใคร ตั้งแต่ ๖๐๐ บาท ขึ้นไป ก็มีสิทธิ์เป็นอาบัติปาราชิกได้ทันที เรียกว่า ความเป็นพระถูกตัดขาดทำลายได้ด้วยเงินเพียง ๖๐๐ บาท เท่านั้นเอง
.
ดังนั้น ภิกษุทั้งหลาย พึงระวังสังวรให้ดี ๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่า ขโมยแค่ไหนจึงเข้าข่ายเป็นอาบัติปาราชิก