QR Code เติมบุญ

ลง QR Code เพื่อให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ได้ต้องการโฆษณาหาเงิน แต่ถ้าใครอยากลองบริจาคเพื่อทดสอบระบบสักล้านสองล้าน ก็ไม่ว่ากัน
.
คือ ทางกรมสรรพากรโดยความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย ได้ออกบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรให้กับทางวัด และทางธนาคารกรุงไทยก็จัดทำ QR Code ให้วัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคเงินทำบุญกับวัด
.
เพียงสแกน QR Code ก็สามารถทำรายการบริจาคเงินได้เลย และถ้าต้องการใบลดหย่อนภาษี ก็สามารถเลือกได้ พร้อมกรอกอีเมล์ ระบบก็จะส่งใบ e-donation ไปให้ทางอีเมล์ ท่านสามารถนำไปขอลดหย่อนภาษีกับทางกรมสรรพากรได้
.
ส่วนธนาคารอื่น ๆ ที่เข้าร่วมกับทางกรมสรรพากรแล้วมี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารออมสิน นอกนั้นอยู่ระหว่างกำลังเตรียมการ ธนาคารที่เข้าร่วมแล้ว ก็สามารถสแกน QR Code นี้ บริจาคเงินได้เหมือนโอนเงินตามปกติ
.
การจะทำเช่นนี้ได้ วัดจะต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร เพื่อใช้เป็นตัวเลขอ้างอิงในการรับบริจาค เพราะผู้บริจาคที่ต้องการลดหย่อนภาษี ก็ต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรอยู่แล้ว
.
ระบบนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทางวัดไม่ต้องมาออกใบอนุโมทนาเอง เพราะระบบจัดการให้เสร็จ ทั้งข้อมูลการบริจาคก็ถึงกรมสรรพากรโดยตรง เป็นการป้องกันพวกมิจฉาชีพที่หากินกับการออกใบอนุโมทนาปลอม แล้วนำไปลดหย่อนภาษีโดยมิได้บริจาคจริง เป็นเหตุสร้างความเสียหายแก่รัฐปีหนึ่ง ๆ มิใช่น้อย
.
แต่ละวัดจงอย่าได้เข้าใจผิดคิดว่า กรมสรรพากรจะมาเรียกเก็บเงินภาษีจากวัด อย่างที่เคยมีผู้ไม่หวังดีพยายามปลุกปั่นยุแหย่ให้เกิดความเกลียดชังหน่วยงานภาครัฐ จนเจ้าอาวาสบางวัดถึงกับบ้าจี้ ไปถอนเงินมาเก็บไว้เองก็มี
.
ถ้าทุกธนาคารเข้าร่วมกับกรมสรรพากรหมดแล้ว ก็จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้ทั้งระบบ ก็จะทำให้การบริจาคเงินที่ต้องการขอลดหย่อนภาษีก็จะทำได้ง่ายขึ้น และมีตัวเลขที่ชัดเจน หรือถึงแม้ไม่ต้องการลดหย่อนภาษี ก็สามารถทำได้ตามปกติ
.
เราเห็นด้วยกับระบบนี้คือ ระบบ e-donation เพื่อป้องกันการทุจริตใบอนุโมทนาปลอม ต่อไปหากใครต้องการขอลดหย่อนภาษี ก็ให้โอนผ่าน e-donation อย่างเดียวเท่านั้น ใบอนุโมทนาที่วัดออกให้ ก็ให้ใช้เป็นหลักฐานในการรับบริจาคเพื่อให้เก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่จะเอาไปขอลดหย่อนภาษีอีกไม่ได้ อย่างนี้เห็นสมควรแท้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ
.
ฝากไปบอก “บิ๊กตู่” ทีนะ ในความเห็นส่วนตัวของเรา เราอยากให้รัฐยกเลิกการขอลดหย่อนภาษีจากเงินบริจาคทุกชนิดเสียให้หมด เพราะผู้ที่เขาบริจาคเงินให้กับวัด หรือให้กับองค์กรการกุศลอะไรก็แล้วแต่ ถ้าบริจาคไป ๑๐๐ บาท ก็เป็นบุญไปเต็ม ๆ ๑๐๐ บาท สถานที่นั้น ๆ ก็ได้รับเงินบริจาค ก็ได้ใช้ประโยชน์ไป
.
แต่พอไปขอลดหย่อนภาษี ได้เงินคืนมา ๑๐ บาท ก็เท่ากับทำบุญเหลือแค่ ๙๐ บาท บุญก็หายไป ๑๐ บาท มิหนำซ้ำ กลับไปเบียดบังเงินภาษีอากรของประชาชน ซึ่งควรจะเอาไปพัฒนาประเทศในส่วนอื่นที่จำเป็น แต่ต้องไปคืนให้แก่ผู้บริจาคเงินที่ขอลดหย่อนภาษี ซึ่งคนเหล่านี้เขาเป็นผู้ให้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเงินภาษีอากรไปคืนให้เขาอีก มิหนำซ้ำ ยังก่อให้เกิดขบวนการทุจริตใบอนุโมทนาปลอม
.
ถ้าจะบอกว่า ให้ลดหย่อนภาษีเพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำบุญ ก็ดูจะเป็นข้ออ้างที่ไม่จำเป็นนัก เพราะเป็นการปลูกฝังสร้างนิสัยเสียในการทำบุญ การทำบุญควรเกิดขึ้นด้วยศรัทธาแห่งการเสียสละ ไม่จำเป็นต้องมีแรงจูงใจด้วยวิธีการอย่างนี้ มันทำร้ายประเทศชาติของตัวเอง ถึงไม่อาจขอลดหย่อนภาษีได้ เขาก็ยินดีบริจาคทำบุญกันอยู่แล้ว คนที่เขาทำบุญโดยไม่ไปขอลดหย่อนภาษี ก็มีเยอะแยะไป
.
แต่เพราะมีกฎหมายเปิดช่องให้เขาขอลดหย่อนภาษีได้ เขาก็จำเป็นต้องเอา ถ้าไม่เอาก็เหมือนว่า เขาเสียสิทธิ์ แต่คนที่เขาบริจาคแล้ว ไม่สนใจจะไปขอลดหย่อนภาษี ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก นั่นแหละ บุญบริสุทธิ์แท้จริง การไปขอลดหย่อนภาษีได้เงินคืนมาเท่าไร บุญก็หายไปเท่านั้น มิหนำซ้ำ ยังไปทำให้สูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปโดยใช่เหตุอีกด้วย
.
สมมติว่า ถ้าคุณจะบริจาคเงินเพื่อการกุศล ๑๐๐ บาท แล้วคุณอยากจะขอลดหย่อนภาษี สมมติว่า คุณขอลดหย่อนภาษีได้ ๑๐ บาท ถ้าเช่นนั้น แนะนำให้คุณบริจาคแค่ ๙๐ บาท ก็พอ หักลดหย่อนภาษีไว้เสียเลย จะได้ไม่ต้องไปขอลดหย่อนภาษีให้เสียเวลา และไม่ไปทำให้เสียงบประมาณแผ่นดินไปเปล่า ๆ อีกด้วย วิธีนี้ดีมาก ๆ และได้บุญเท่ากัน
.
จึงเห็นควรเสนอให้ยกเลิกการขอลดหย่อนภาษีจากเงินบริจาคทุกชนิดไปเสียให้หมด ไม่ควรไปเบียดบังเงินภาษีอากรของรัฐให้หมดสิ้นไปโดยไม่จำเป็น เพราะผู้บริจาคเงินด้วยใจเป็นกุศลจริงแท้ เขาก็ยินดีเสียสละอยู่แล้ว เขาไม่ได้อยากได้เงินบริจาคคืน แต่รัฐไปเปิดช่องให้เขาเอง รัฐจึงควรเอาเงินส่วนนี้ไปใช้พัฒนาประเทศในส่วนที่จำเป็นยิ่งกว่านี้จะดีกว่า
.
หมายเหตุ : เป็นความเห็นส่วนตัว ใครจะไม่เห็นด้วยก็ได้