คนบาปในคราบนักบุญ!!
.
ธรรมะ ถ้าเปรียบเป็นสินคัา ก็เป็นสินค้าคุณภาพระดับโลกเกรดพรีเมี่ยม วางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ผู้ต้องการต้องเข้าไปสืบเสาะซื้อหาเอาเอง
.
ธรรมะ ไม่ใช่สินค้าแบกับดินที่วางขายอยู่ตามริมฟุตบาทข้างถนน ที่ผู้ขายต้องตีปี๊บแหกปากตะโกนร้องเรียกกวักมือให้คนสนใจเข้าไปซื้อหา
.
เวลาที่พระสงฆ์จะแสดงธรรม ธรรมท่านยังต้องให้อาราธนาธรรมก่อน เพื่อแสดงความเคารพในธรรม พระที่จะเทศน์ก็ต้องนั่งในที่อันควร แสดงธรรมแก่บุคคลที่ควร ไม่ใช่มาแสดงธรรมอย่างไม่รู้จักกาละเทศะ พูดจาเลอะเทอะไม่มีสัมมาคารวะ ไม่มีความสำรวมในสมณสารูป มันใช้ไม่ได้
.
ผู้มีธรรมท่านจะเคารพธรรม ไม่แสดงธรรมในสถานที่ที่ไม่สมควร ไม่แสดงธรรมแก่บุคคลที่ไม่สมควร แสดงธรรมไปโดยลำดับ ชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นชัด มีจิตเมตตามุ่งหวังให้ผู้ฟังได้ประโยชน์ ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ ไม่แสดงธรรมยกตนข่มผู้อื่น ท่านเรียกว่า องค์แห่งธรรมกถึก
.
คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ครู” ไม่ควรเผยแผ่ข้อมูลเท็จ ข้อมูลหลอกลวง โดยโยนความผิดไปให้กูเกิ้ล ก่อนที่จะนำข้อมูลมาเผยแผ่ควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะข้อมูลในกูเกิ้ล ใคร ๆ ก็รู้ว่า มันมีทั้งของจริงและของปลอม
.
ไปอ่านข้อมูลในหนังสือประวัติขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้รจนาขึ้นไว้ก็ได้ ท่านพูดแต่เพียงว่า จะมีพระหนุ่ม ๒ องค์ บรรลุธรรมตามท่านในช่วงที่ท่านละขันธ์ไปแล้ว
.
เป็นที่รู้กันในวงพระป่าปฏิบัติว่า ๑ ในนั้น คือ องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ส่วนอีกองค์หนึ่ง ไม่ทราบแน่ชัดว่า เป็นท่านผู้ใด เพราะใครจะอาจเอื้อมไปหยั่งรู้คำทำนายขององค์หลวงปู่มั่นได้
.
แต่ที่รู้ว่า ๑ในนั้น คือองค์หลวงตา ก็รู้จากการที่องค์หลวงปู่มั่นท่านพูดบอกพระเณรไว้เองว่า ”เมื่อองค์ท่านละขันธ์แล้ว ให้พึ่งท่านมหา“ ไม่ใช่พระที่ชื่อ ต หรือ ก ดังที่คนในคลิปที่เผยแผ่ใน TikTok พยายามอปโลกน์ขึ้นมาอย่างแน่นอน
.
ดังนั้น จงอย่าเอาพ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน มาแอบอ้างหลอกลวงประชาชนเพื่อหารับประทาน เราเตือนไว้ก่อน!!
.
เราเคยพูดเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ออกมาอวดอ้างคุณวิเศษสอนกรรมฐานแนวใหม่ที่บรรลุธรรมได้ง่ายและรวดเร็ว เพื่อให้ผู้คนได้ระวังตัว จะได้ไม่ถูกเขาหลอกจนเสียทรัพย์หมดตัว
.
วิธีหลอกที่ได้ผลง่ายคือ พูดดี ทำดีให้คนเห็นสักเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นต่อมศรัทธา พอต่อมศรัทธาทำงานในระดับหนึ่งแล้ว ก็ชวนเข้ากลุ่มไลน์หาวิธีให้ทำบุญแบบขุดบ่อล่อปลา
.
ยิ่งจำพวกที่ประกาศว่า ไม่รับกฐิน ไม่รับผ้าป่า ไม่มีตู้บริจาค ไม่มีบัญชีวัด ไม่มีบัญชีส่วนตัว พวกนี้ยิ่งอันตราย เพราะเขาจะมีบัญชีนอมินีมารับบริจาคแทน ซึ่งถือเป็นบัญชีส่วนบุคคล จะเอาเงินไปใช้ทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นบัญชีวัดถือเป็นนิติบุคคล เป็นบัญชีพระก็ยังเกี่ยวข้องกับศาสนา จะเอาเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ไม่ได้
.
จุดอ่อนของชาวพุทธคือ ชอบทำบุญ แบบว่ามีศรัทธาแต่ขาดปัญญา บางทีก็ไม่รู้ว่าอะไรคือบุญ ไม่รู้ว่าบุญอยู่ที่ไหน ต้องทำบุญอย่างไรจึงจะเป็นบุญแท้ ดังนั้น จงอย่าหลงเชื่อใครง่าย ๆ ก่อนที่จะทำบุญ จงพิจารณาโดยแยบคายเสียก่อน ถ้าไม่อยากถูกเขาหลอกให้เสียทรัพย์ไปเปล่า ๆ
.
ให้ระวัง!! พวกที่มาพูดอวดตัว อวดอ้างคุณธรรมสูง ๆ สร้างภาพว่า เป็นคนดีเหนือผู้อื่น บางทีให้พวกอินฟลูเอนเซอร์ ทำคลิปเชียร์ยกย่องกันไปจนถึงภูมิอริยเจ้า เอาพระธาตุมาอวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติใด ๆ ที่เป็นความเพียรต่อสู้ทุกข์ สู้กิเลสให้เห็นเลย พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของเก๊แทบทั้งนั้น
.
เพราะผู้มีธรรมแท้ ท่านจะไม่พูดอวดเลย และจะไม่มีทางให้ใครมาโปรโมทตัวเองเพื่อลาภสักการะ ถ้าผู้พูดเป็นธรรม ท่านก็แสดงธรรมไปตามธรรมที่ใจรู้เห็นแจ้งชัด เนื้อธรรมที่แสดงจะประกาศตัวเอง ด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ดับกิเลสอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่มานั่งนึกคิดปรุงแต่งธรรมะแบบมโนเอาเอง
.
กิเลสมันตัวเก่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เป็นธรรมของเก่า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็มาตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันเก่า คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันเดียวกัน ก็ใช้ได้ผลมาทุกยุคทุกสมัย พระพุทธเจ้ากี่ล้านพระองค์ ก็มาสอนกรรมฐานแบบเดียวกัน ไม่มีกรรมฐานแนวใหม่อะไรเลย
.
กรรมฐาน ๔๐ ก็เป็นของเก่า ใช้ได้ตลอดกาล ถ้าจะมีกรรมฐานแนวใหม่ที่ทำให้บรรลุธรรมได้ง่ายและรวดเร็วเกิดขึ้นได้จริง พวกที่คิดกรรมฐานแนวใหม่ได้ ก็คงต้องเก่งกว่าพระพุทธเจ้า คงจะไปไกลจนเลยพระนิพพานไปถึงไหนก็ไม่รู้
.
ก็ปล่อยให้เขาไปตามทางของเขา หรือใครอยากจะเดินตามเขาไปเพื่อพิสูจน์ความจริงก็เอาตามสบาย ถ้าเป็นศิษย์พระตถาคตแท้ ให้เดินตามรอยเสด็จของพระพุทธเจ้า เดินตามปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่พาดำเนินมาอย่างเคร่งครัด ก็ไปถึงพระนิพพานได้อย่างปลอดภัยแล้ว ให้ตั้งใจทำความเพียรไปเถิด
.
ส่วนพวกที่สอนแหวกแนวประเภทที่สอนให้ไม่ต้องกราบไหว้พระพุทธรูป ไม่ต้องสวดมนต์ ไม่ต้องนั่งสมาธิ ให้นั่งดูอารมณ์เกิดดับอย่างเดียว นั่งนึกนั่งคิดเอาเองตามแนวทางของเขา อ่านแต่ตำราจดจำพระพุทธพจน์ แต่ไม่น้อมนำเอามาปฏิบัติทำความเพียรเพื่อต่อสู้กิเลส เอาชนะกิเลสในใจตนเอง
.
เหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ล้วนเป็นจำพวกใบลานเปล่า ทั้งนั้น นานไปก็จะกลายเป็นทิฏฐิวิปลาส ฉากหลังของพวกนี้มักมีแต่เรื่องสกปรกโสมมหมกเม็ดเอาไว้ ไม่นานเดี๋ยวก็เป็นข่าวใหญ่ทำให้ภาพลักษณ์ของศาสนาพลอยเสื่อมเสีย
.
ยิ่งจำพวกมีทีมงานประชาสัมพันธ์ ทำโฆษณาชวนเชื่อ ทำคลิปโปรโมทเพื่อสร้างชื่อเสียง ไม่ดังก็พยายามทำให้ดัง ทำคอนเทนท์ธรรมะออกสื่อโซเชียล เอาธรรมะมาเป็นเครื่องมือหาเงินบริจาค ให้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ก่อนว่า พวกนี้อาจเป็นขบวนการมิจฉาชีพลวงโลกก็ได้
.
ให้ดูกันไปนาน ๆ ถ้าเป็นทองแท้จะทนทานต่อการพิสูจน์ ถ้าเป็นทองเก๊ เดี๋ยวก็มีพฤติกรรมผิดเพี้ยนหนักยิ่ง ๆ ขึ้น เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ที่ทรงอรรถทรงธรรมอย่างแท้จริง คอยให้คำแนะนำสั่งสอน ก็ได้แต่ปรุงแต่งธรรมะนึกคิดเอาเองตามกิเลสในใจตนเอง เกิดความสำคัญผิดคิดว่า ตัวเองรู้ธรรมเห็นธรรม ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ ซึ่งใคร ๆ จะสั่งสอนไม่ได้
.
ก็คงต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา ถึงเวลาความจริงจะเปิดเผยตัวเอง การสอนธรรมผิด เป็นเหตุให้คนอื่นหลงเข้าใจผิด จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ก็เป็นกรรมหนัก
.
สำหรับชาวพุทธ ให้รู้ว่า ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ยังไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ตราบใด ถ้าสร้างบารมี ๓๐ ทัศ ยังไม่เต็มแสนมหากัปป์ ก็ไม่มีทางลัดใดให้ใครไปถึงพระนิพพานได้หรอก
.
คำพูดเป็นแต่เพียงลมปากที่พ่นออกมาแล้วก็ดับไป ใคร ๆ ก็คิดได้ พูดได้ แต่กิเลสมันไม่กลัวคำพูดที่เป็นลมปาก กิเลสมันกลัวแต่ผู้มีความเพียรแก่กล้าที่รักษาศีล เจริญสมาธิ อบรมปัญญาได้อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์เท่านั้น
.
ถ้าเป็นพระดีจริง เป็นคนดีจริง จะไม่เอาครูบาอาจารย์มาอวดอ้างคุณวิเศษใด ๆ ถ้ามีคนอื่นมาโฆษณาอวดคุณวิเศษเพื่อแสวงหาลาภสักการะให้กับตนเอง ถ้ารู้ต้องสั่งห้ามทันที หากไปรับสมอ้างโดยที่ไม่มีคุณวิเศษอยู่จริง ทำให้คนเกิดความหลงผิดเข้าใจผิด
.
ถ้าเป็นพระภิกษุ ก็ล่อแหลมหมิ่นเหม่ต่อการเป็นอาบัติปาราชิก!! ถ้าเป็นคน จิตจะมีแต่ความเสื่อมตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนหาความเจริญในธรรมไม่ได้ สุดท้ายก็ไปอบาย
.
ทางไปพระนิพพานมีหนึ่งเดียว!!
.
โลกนี้มันมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องดีและเรื่องชั่ว ผู้มีปัญญาก็เพียงแค่รับรู้ตามความเป็นจริง เรื่องไหนดีก็น้อมเข้ามาหาตน ให้ตนเองได้ทำดีอย่างนั้นบ้าง เรื่องไหนไม่ดีก็น้อมเข้ามาหาตน ให้ระวัง! อย่าให้ตนเองทำไม่ดีเหมือนเขา ก็จะถือเอาประโยชน์ได้ทั้งสองทาง
.
ต้องเข้าใจว่า โลกนี้มันมีทางสองแพร่งให้เราเลือกเดินได้ทุกย่างก้าวคือ ทางดีกับทางไม่ดี หน้าที่ของเราคือ พยายามศึกษาให้รู้แจ้งชัดว่า ทางดีเป็นอย่างไร ทางไม่ดีเป็นอย่างไร แล้วเลือกเดินทางดีไว้ก่อน ไม่ใช่ไปตำหนิว่า ถนนหนทางไม่ดี
.
โลกมันก็มีดีมีชั่วเป็นของมันอยู่อย่างนี้ เราต้องศึกษาโลก เรียนรู้โลกให้เข้าใจตามความเป็นจริงของโลก แล้วอยู่กับโลกด้วยใจที่รู้เท่าทันเจนจบ ใจก็จะไม่ทุกข์ไปกับเรื่องราวของโลก
.
โลกมันมีทั้งคนดี และคนชั่ว เมื่อเราเลือกคบคนดี ก็จะไม่ได้ไปคบคนชั่ว หรือจะคบทั้งคนดีและคนชั่ว ก็เป็นสิทธิ์ของเรา แต่ให้รู้ว่า ผลมันจะเกิดขึ้นตามเหตุที่ทำ คบคนดีก็ได้ผลแบบหนึ่ง คบคนชั่วก็ได้ผลอีกแบบหนึ่ง
.
เราแค่ทำไปตามเหตุที่เห็นว่าสมควร ไม่ต้องให้ใจยินดี หรือรังเกียจใคร ก็แค่เลือกคบ หรือไม่คบ ไปตามความสมควรแก่เหตุเท่านั้น คือ เลือกทำเหตุดี เพื่อให้ได้ผลที่ดี ไม่จำเป็นต้องดีใจ หรือเสียใจไปกับอะไร ฝึกใจให้ทำทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผลเช่นนี้ แล้วใจจะทุกข์น้อยลง
.
อย่าทำอะไรด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาคือความอยากทั้งมวล มันจะผิดหวัง และทำใจให้เป็นทุกข์ เพราะความอยากจะปิดบังสติปัญญาให้มืดบอด ความอยากเป็นนามธรรม เป็นกิเลสอยู่ในใจเรา ความอยากไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงรูปธรรม คือวัตถุทั้งหลายให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการได้ไม่ เราต้องทำเหตุให้สอดรับกับผลที่ต้องการ จึงจะเป็นไปได้
.
ดังนั้น ถ้าเห็นใครทำชั่ว ทำผิดศีลผิดธรรม ก็ไม่ต้องไปโกรธเขา ให้ควบคุมสติอยู่นิ่ง ๆ สัก 10 วินาที ระลึก พุทโธ ๆๆๆ เอาไว้ก็ได้ อย่าเพิ่งไปโมโห หรือคิดที่จะด่าเขา หรือไปอยากให้เขาไม่ทำชั่วอย่างนั้น หรืออยากให้เขาทำดีอย่างที่ใจเราต้องการ
.
พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าไปอยากให้คนชั่วมันทำดี มันจะผิดหวัง และเป็นทุกข์ใจเปล่า ๆ เพราะเราไม่สามารถเอาความอยากของใจเราไปบังคับคนชั่วให้ทำดีได้ หากคนชั่วจะทำดีก็ต้องเป็นเพราะเขาตัดสินใจทำดีเอง
.
ในเมื่อโลกนี้มันมีทั้งคนดีและคนชั่ว มีทั้งคนโง่และคนฉลาด มิหนำซ้ำ คนชั่ว คนโง่ ก็ยังมีจำนวนมากกว่าคนดี คนฉลาด อีกตั้งมากมายก่ายกอง
.
ต้องเข้าใจว่า คนโง่คนฉลาดที่เป็นคนดีก็มี คนโง่คนฉลาดที่เป็นคนชั่วก็มี เฉพาะคนฉลาดที่เป็นคนดีเท่านั้น จึงจะทำประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างกว้างขวาง ส่วนคนฉลาดที่เป็นคนชั่ว มักจะเป็นภัยต่อสังคมมากกว่า
.
เพราะเหตุนั้น โลกนี้จึงเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบกัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น โกหกหลอกลวงกัน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมใด ๆ เลย
.
คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดที่ชั่ว นี่! คือสัจธรรมที่มีอยู่คู่โลกมาทุกยุคทุกสมัย
.
เราจะพูดหลักการพิจารณาว่า ใครเป็นผู้มีธรรมของจริงของแท้ให้ฟัง แล้วทุกคนจะตัดสินใจได้เอง ผู้ปฏิบัติธรรมจริง จึงจะรู้ธรรมของจริง ทรงมรรค ทรงผล ทรงนิพพานจริง จึงจะสอนธรรมได้อย่างถูกต้องแม่นยำจริง ให้พากันจำเอาไว้ คนไม่รู้ธรรม จะไปสอนธรรมให้ถูกต้องได้อย่างไร
.
ธรรมท่านสอนหลักในการแสดงธรรมไว้ ที่เรียกว่า องค์แห่งธรรมกถึก คือ นักเทศน์ ๕ อย่าง มีดังนี้ :-
๑. แสดงธรรมไปโดยลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ
๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ
๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ
๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือว่า ไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น
ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก พึงตั้งองค์ ๕ อย่างนี้ไว้ในตน
.
แต่ละข้อที่ท่านแสดงไว้นั้น ล้วนเป็นองค์คุณของผู้มีธรรมแท้ทั้งนั้น ถ้าผิดไปจากนั้นก็คือ ของปลอม ให้พิจารณาให้เข้าใจให้ชัดเจน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อคำสอนของมิจฉาชีพที่แอบอ้างสอนธรรมะผิด ๆ
.
ให้รู้ว่า ผู้มีธรรมแท้ ท่านจะไม่ทำอะไร หรือพูดอะไร เพื่อเป็นการอวดตัวให้ผู้อื่นรู้ว่า ตัวเองมีคุณธรรมสูง หรือมีคุณความดีพิเศษที่เหนือบุคคลทั่วไป ท่านจะเก็บงำคุณธรรมความดีเอาไว้เหมือนคมในฝัก ไม่ไปประกาศอวดตนเหมือนคมอยู่นอกฝัก เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็นที่ต้องทำต้องพูดในกลุ่มคนที่ควรพูดควรบอกเท่านั้น
.
และพูดไปตามเนื้อธรรมที่เกิดจากภาคปฏิบัติของตนเองอันเป็นที่ตายใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ล้วนออกจากภาคปฏิบัติของตนเองทั้งนั้น เช่น เคยทำความเพียรมาอย่างไร ต่อสู้กับกิเลสมาแบบไหนบ้าง เดินจงกรม นั่งสมาธิ สู้ทุกข์ได้นานแค่ไหน อดนอน ผ่อนอาหาร อดอาหาร พิจารณาทุกข์ด้วยอุบายอันแยบคายอย่างไรบ้าง เอาชนะทุกข์ได้ด้วยปัญญาประเภทไหน จิตดับทุกข์ได้อย่างไร นี่คือ สนามรบของนักบวชผู้มุ่งหวังความพ้นทุกข์
.
ถ้าใครสอนธรรมโดยไม่มีเรื่องราวของการทำความเพียรต่อสู้กิเลสในรูปแบบใด ๆ เลย ดังกล่าวแล้ว ให้เอาปูนแดงหมายหัวไว้ได้เลยว่า นั้นคือ ของเก๊ ต่อให้พูดสอนธรรมถึงพระนิพพานก็ตาม ก็แค่ใบลานเปล่าเท่านั้นเอง
.
การที่ไม่สอนให้มีภาคปฏิบัติต่อสู้กับทุกข์ของจริง ไม่ต้องฝึกฝืนทรมานกิเลสในใจ แต่กลับสอนให้ใช้สัญญาสังขารท่องจำธรรมะตามแบบ ที่ตัวเองใชัสังขารคิดปรุงแต่งขึ้นมา แล้วหลงผิดคิดว่า สัญญา สังขารคือ ปัญญาที่รู้เท่าทันกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง เลยเข้าใจเอาเองว่า ตัวเองรู้ธรรมเห็นธรรม ตัวเองฉลาดแล้ว ประเภทนี้ ถ้าไม่เจอครูบาอาจารย์ที่สามารถแก้ทิฏฐิให้กันได้ ก็จะเป็นทิฏฐิวิปลาสไปในที่สุด
.
ผู้รู้ธรรมแท้ท่านย่อมรู้ว่า การปฏิบัติธรรมมันต้องอาศัยกาลเวลาที่จะบ่มฟักสติปัญญาของจริงให้เกิดขึ้นได้ตามนิสัยวาสนาของแต่ละคน จะไปสร้างหลักสูตรให้ปฏิบัติตามแนวทางของตัวเอง ให้ท่องจำเป็นขั้นเป็นตอน มันได้ผลในระดับสัญญา มันไม่เป็นปัญญาให้ มีแต่จะกลายเป็นสัญญาวิปลาสในวันหนึ่งข้างหน้านั้นแน่นอนนัก
.
พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้ว ไม่ต้องไปทำตามแนวทางของพระอาจารย์องค์ไหนหรอก เดินตามทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้นั่นล่ะ ปลอดภัยที่สุด
.
พระพุทธเจ้าสอนกรรมฐาน ๔๐ เอาไว้ให้แล้ว การเจริญสมาธิ อบรมปัญญา พระพุทธเจ้าก็สอนไว้ให้หมดแล้ว แค่ปฏิบัติตาม และทำให้จริงเท่านั้น
.
อะไรที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ก็โยนทิ้งไป ส่วนใครจะสอนแบบแหวกแนวอย่างอื่น ก็ยกให้เป็นเรื่องของเขา อย่าไปเก็บเอามาเป็นอารมณ์ทำใจให้ไขว้เขวไปจากหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้เท่านั้น ที่ผู้ปฏิบัติต้องทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าผิดไปจากหลักนี้แล้ว ก็มีแต่จะทำให้เป็นทิฏฐิวิปลาสเท่านั้นเอง
.
ถ้าอยากเห็นอริยสัจของจริง ให้นั่งสู้ทุกข์ของจริงไปด้วยนะ ไม่ใช่สอนให้ไปกำหนดรู้ทุกข์โดยที่ไม่มีทุกข์ของจริงปรากฏ ลองนั่งไม่กระดิกสัก ๒ ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ เป็น ๓, ๔, ๕, ๖ ชั่วโมง ไปจนถึงตลอดรุ่ง นั่งให้ได้หลาย ๆ ครั้ง จนกว่าจะชำนาญในการพิจารณาทุกข์
.
ฝึกทำจนสามารถทำใจเอาชนะทุกข์ได้ โดยที่จิตสงบไม่หวั่นไหวต่อความทุกข์เจ็บปวดที่รุมเร้าทางกายทางใจ จนจิตสามารถแยกกายกับทุกข์กาย แยกใจกับทุกข์ใจ แยกกายกับใจ ออกจากกันได้ สามารถดับทุกข์ใจได้ นั่นล่ะ จึงจะรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ในอริยสัจของจริง
.
จากนั้นมันจะหูตาสว่างขึ้นมาเอง ใจมันจะรู้ขึ้นมาเองว่า การพิจารณาทุกข์ในอริยสัจของจริงนั้น มันต้องพิจารณาอย่างนี้ มันจะต้องอาศัยสมาธิที่หนักแน่นมั่นคง จึงจะ รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ ดับทุกข์ได้ด้วยปัญญาอย่างนี้ ๆ
.
ความจริงที่เรียกว่า สันทิฏฐิโก จะแสดงตัวขึ้นมาให้เห็นเองโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก และไม่ต้องจำคำสอนของใครมาใช้ เพราะมันจะใช้ไม่ได้ มันต้องใช้สติปัญญาของตัวเองที่เป็นปัจจุบันที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เป็นการเฉพาะเท่านั้น
.
ถ้าเข้าใจอริยสัจ ๔ ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างนี้ ก็จะไม่ไปเทศน์สอนให้เขาพิจารณาอริยสัจโดยไม่มีทุกข์ของจริงปรากฏ แบบนั่งมโนนึกคิดเอาเอง ให้คนหลงผิดได้อีกต่อไป
.