กรรมอันใดหนอยิ่งปฏิบัติดียิ่งได้รับทุกข์เวทนา | |
กราบเรียนถามท่านเจ้าอาวาสครับ กระผมมีนิสัยชอบปฏิบัติธรรมเพื่อฝึกจิตให้ปล่อยวางอย่างสม่ำเสมอไัลม่เพียงแต่เวลาเจึริญกรรมฐาน ขณะลืมตาก็จะคอยสอบนอารมณ์เสมอว่ามีเวทนาอะไรเกิดขึ้นจะรีบวางให้เร็วที่สุด ทุกวันจะตระหนักถึงการทำทานเริ่มจากคนในบ้านและบริวาร และจะพยายามรักษาไม่ให้ศีลหม่นหมอง จากนั้นจะเจริญภาวนาปกติจะไปที่อุโบสถในวัดใกล้บ้านบางวันตอนเย็นจะเจริญกรรมฐานที่เบ้าน ตลอดเวลาที่ผ่านมากระผมมิได้เป็นมนุษย์ที่เลว มีบ้างรักโลภโกรธหลงผิดศีลบ้างแต่ไม่เคยสร้างบาปหนักเลย กระผมยังได้พามารดาเข้าสู่ทางธรรมโดยกระผมได้เริ่มปฏิบัติเมื่อ15ปีที่แล้วแล้วจึงได้ชักชวนมารดามาปฏิบัติจนท่านสิ่นอายุขัย การนำพามิตรมาถือศีลปฏิบัติธรรมกระผมก็ทำอยู่เสมอ การให้ชีวิตใหม่ต่อสรรพสัตว์ที่เขากำลังจะฆ่ากระผมก็ทำทานข้อนี้มาโดยตลอด แต่ยิ่งปฏิบัติดีเท่าไรสังขารของกระผมได้รับทุขเวทนามากยิ่งขึ้น จากที่เริ่มจากเป็นโรคเลือดเป็นพิษตามมาด้วยโรคหัวใจต่อด้วยเส้นเลือดใหญ่โป่งพองใกล้แตก แต่กระผมไม่ได้วิตกอะไรเพียงแค่สงสัยว่า กรรมอันใดหนอของกระผมยิ่งปฏิบัติดียิ่งได้รับทุกขเวทนา ด้วยความเคารพหากมีข้อความอันใดที่มิควรกระผมกราบขอขมามาณที่นี้ด้วยครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ทีปพิพัฒน์ ศรีพันธุ์ :: วันที่ลงประกาศ 2016-11-16 20:43:49 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3608581) | |
ตอบ คุณทีปพิพัฒน์ การที่คุณทำดีต่าง ๆ ดังที่เล่ามา ถือว่า เป็นความชอบธรรม และถูกต้องแล้ว กรุณาทำต่อไปเท่าที่จะมีโอกาสทำได้ เมื่อถึงกาลอันควร กรรมดีย่อมส่งผลให้คุณได้สุขสบายในวันหนึ่งอย่างแน่นอน แต่การที่คุณได้รับทุกขเวทนาทางกายจากการเป็นโรคเลือดเป็นพิษก็ดี โรคหัวใจก็ดี หรือโรคเส้นเลือดใหญ่โป่งพองใกล้แตกก็ดี เหล่านี้ ล้วนเกิดจากกรรมเก่าในอดีตของคุณที่เคยทำปาณาติบาตเอาไว้ หาใช่เกิดขึ้นเพราะกรรมดีที่คุณทำในปัจจุบันไม่
จงอย่าสับสนในเรื่องของกรรม ทำดีต้องได้รับผลดี ทำชั่วต้องได้รับผลชั่ว เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว อย่าได้สงสัยว่า ยิ่งปฏิบัติดี ยิ่งได้รับทุกขเวทนา เดี๋ยวจะหาทางไปที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ร่างกายจะเป็นทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บอย่างใด ๆ ก็ตาม จงทำใจให้มั่นคงในความดีที่เคยทำมา และจงทำดีต่อไปอย่าได้ท้อถอย ทุกข์มันเกิดขึ้นที่กายเท่านั้น อย่าปล่อยให้ทุกข์มันลามปามเข้าไปที่ใจด้วย จงรักษาใจไว้ให้ดี อย่าให้ใจเป็นทุกข์ เพราะเหตุแห่งทุกข์ทางกาย จงพิจารณาแยกทุกข์กาย กับทุกข์ใจให้ออกจากกันให้ได้ อย่าเห็นเป็นอันเดียวกัน เพราะทุกข์ทั้งสองนั้น ย่อมเกิดจากเหตุที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทุกข์กายก็แก้ไขกันไปโดยอาศัยร่างกาย ให้หมอตรวจ และกินยา เข้าไปทำหน้าที่ต่อสู้กับโรค คนเป็นไข้ก็ทำหน้าที่ของคนไข้ที่ดี ดูแลรักษาตัวเองให้ดี และปฏิบัติตามที่หมอแนะนำ กินยาตามที่หมอสั่ง อย่าไปกินของแสลง หรือทำในสิ่งที่จะไปเสริมให้โรคมันกำเริบ หากโรคมันจะหาย มันก็หายของมันเอง เพราะรักษาถูกวิธี หากโรคไม่หาย ก็ค่อย ๆ หาวิธีรักษากันไปเรื่อย ๆ ตามกำลังทรัพย์ จนกว่าอะไรมันจะพังกันไปข้างหนึ่ง
ส่วนใจนั้น ต้องใช้สติปัญญาเข้าไปต่อสู้กับกิเลสที่ทำใจให้หลงผิด สำคัญผิด คิดปรุงแต่งยึดถือเอาทุกข์ที่กำลังเจ็บปวดอยู่ มาเป็นเรา เป็นของเรา แล้วเหมาเอาเองว่า กายเป็นทุกข์ ใจเป็นทุกข์ ใจก็เลยไม่ยอมรับทุกข์ ไม่อยากได้ทุกข์ และมีแต่อยากให้ทุกข์มันหายไป เหล่านี้คือ ความคิดปรุงของใจ ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทางใจทับซ้อนกับทุกข์ทางกาย ให้กายใจเป็นทุกข์หนักเข้าไปอีก
ดังนั้น จึงต้องทำความเข้าใจกับทุกข์ และแยกทุกข์กาย กับทุกข์ใจออกจากกันให้ได้ แล้วใช้สติปัญญา เพ่งพิจารณาดับทุกข์ที่ใจ ด้วยการทำใจให้ยอมรับทุกข์ อย่าให้ใจรังเกียจทุกข์ อย่าให้ใจอยากให้ทุกข์กายมันหายไป เพราะทุกข์กายจะไม่มีวันหายไป เพราะความอยากของใจ แต่ทุกข์กายจะหายหรือไม่หาย ต้องอยู่ทีเหตุของโรคได้รับการเยียวยาถูกต้องหรือไม๋ต่างหาก ถ้าเป็นโรคที่ควรรักษาให้หายได้ และเรารักษาถูกวิธี โรคก็คงจะหายไปได้ในวันหนึ่ง
ถ้าโรคมันไม่หาย ก็ต้องทำใจยอมรับมัน และทำใจให้อยู่กับมันให้ได้ ที่สำคัญคือ อย่าให้ใจสำคัญผิด หลงผิดไปยึดถือเอาทุกข์กายมาเป็นเรา และเกิดความรังเกียจทุกข์ อยากให้ทุกข์มันหายไป ความอยากอันนี้แหละ คือตัวมหาภัย ทำลายความอยากอันนี้เสีย ทุกข์ใจย่อมดับไปเอง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น เจ้าอาวาส วันที่ตอบ 2016-11-18 01:03:16 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3608854) | |
ขอบพระคุณสำหรับความคิดเห็นครับ ในตอนนี้ที่กระผมกำลังทำอยู่คือ กายทุกข์ก็รับรู้ไปว่าเกิดเวทนาทางกายและไม่เอาจิตไปปรุงแต่งให้เกิดตัณหาพาจิตให้ป่วยไปด้วยครับมันคงหยุดอยู่ที่กาย. และกระผมก็ยังสวดมนต์เจริญจิตตภาวนาต่อไปไม่ได้ย่อท้อหรือน้อยใจ แต่ก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าสักวันกุศลกรรมทั้งหลายที่กระผมได้ปฏิบัติมาจะส่งผลให้ชีวิตของกระผมร่มเย็นเป็นสุขและสามารถดูแลบริวารและคนรอบข้างได้ดีกว่านี้ครับ กราบขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับคำแนะนําครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทีปพิพัฒน์ ศรีพันธุ์ วันที่ตอบ 2016-11-19 14:52:06 |
[1] |