ต้องทำความเข้าใจกันสักนิด เพราะมีการผลักดันแก๊งค์ทิฏฐิวิปลาสมาเผยแผ่สัทธรรมปฏิรูปชนิดเต็มรูปแบบโดยที่ไม่มีใครจักอาจทักท้วงได้ ก็ต้องถือเป็นชะตากรรมของบ้านเมือง ก็ได้แต่ปลงธรรมสังเวชทรงอุเบกขาเป็นวิหารธรรมไปก่อน
..
นักปราชญ์ผู้ทรงธรรมทรงวินัยของแท้ ยังมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่กลับเลือกที่จะไปคบคนพาล มันก็สุดวิสัยที่จะเยียวยา ต่อเมื่อความวิบัติฉิบหายบังเกิดขึ้น ก็ค่อย ๆ มาตามรักษากันไป
..
นักปฏิบัติธรรม ก็ให้รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน แก๊งต์ทิฏฐิวิปลาสพวกนี้ไปเผยแผ่ธรรมที่ไหน สัทธรรมปฏิรูปก็บังเกิดที่นั่น ที่ว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป เพราะมันมีทั้งเนื้อ ก้าง และกระดูก ปะปนกันอยู่ในธรรมที่แก๊งค์นี้นำมาแสดง
..
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนให้ไม่ต้องกราบไหว้พระพุทธรูป ด้วยเหตุผลว่า ไม่ต้องการให้ยึดติดในรูปเหมือนรูปเคารพ ถือเป็นทิฏฐิวิบัติขั้นบ้าในพระพุทธศาสนา และเป็นภัยร้ายแรงถึงขั้นบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมสลายไปจากโลกได้เลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ไม่ควรมาสอนโน้มน้าวให้ชาวพุทธไม่กราบไหว้พระพุทธรูป ดังเช่นที่เดียรถีย์พวกนี้กำลังพยายามอยู่ทุกวี่ทุกวัน
..
เราเคยอธิบายเหตุผลไปมากแล้ว ในคลิปที่ปักหมุดไว้ในเฟซบุ๊กเรื่อง “จำเป็นต้องพูดบ้าง” ไปเปิดฟังดูได้ แก๊งค์พวกนี้ไม่มีข้อปฏิบัติให้สู้ทุกข์ของจริง มีแต่ให้สู้ทุกข์ในความฝัน คือนึกคิดเอาเอง เขามีอุบายในการสอนธรรมผิดอย่างมีเหตุผลตามแนวความคิดของเขา ที่พวกคนโง่เขลาเบาปัญญาฟังแล้วก็หลงเขื่อไปตามได้
..
ก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่จะเลือกฟังธรรมได้ตามอัธยาศัยไม่ว่ากัน ใครอยากโง่ก็ไปคบกับคนโง่คนพาล ใตรอยากฉลาดก็ต้องเข้าหาบัณฑิตนักปราชญ์เท่านั้นเอง สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ “อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัญฑิตานัญจะ เสวะนา” การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต เป็นมงคลอันสูงสุด
..
ถ้าจะเปรียบธรรมะเป็นสินค้า ก็ต้องเป็นสินค้าเกรดพรีเมียมที่มีคุณภาพชั้นเลิศ มีราคาแพง วางขายอยู่แต่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเท่านั้น
…
ผู้ที่ต้องการจะซื้อสินค้าชนิดนี้ไปใช้งาน จะต้องศึกษาชนิดและคุณภาพของสินค้าให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งจึงจะไปเลือกซื้อได้อย่างถูกต้อง และได้สินค้าชั้นดีมีคุณภาพตรงกับที่ตนเองต้องการ
…
ธรรมะไม่ใช่สินค้าราคาถูกที่มีขายอยู่อย่างเกลื่อนกลาดตามริมถนนหนทาง ที่พ่อค้าแม่ค้าต้องโฆษณาสรรพคุณของสินค้า กวักมือเชิญชวน ตะโกนเรียกร้องความสนใจ จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ต้องแวะมาเลือกชม และซื้อหาสินค้าไปใช้ตามแต่เขาจะพอใจ
…
แม้สินค้าอย่างเดียวกัน ก็ยังมีหลากหลายแบบหลายคุณภาพให้เลือกได้ ตั้งแต่สินค้าคุณภาพดีเยี่ยม สินค้าคุณภาพปานกลาง ไปจนถึง สินค้าคุณภาพต่ำ กระทั่งสินค้าปลอม ก็ยังมีให้เห็นอยู่อย่างดาษดื่น
…
บางโรงงานก็อาจจะผลิตสินค้าหลายเกรด ถ้าเป็นสินค้าเกรดพรีเมียมราคาแพง เขาก็ใช้ชื่ออย่างหนึ่ง ถ้าเป็นสินค้าเกรดต่ำราคาถูก เขาก็ใช้ชื่ออีกอย่างหนึ่ง เขาจะไม่ใช้ชื่อยี่ห้อเดียวกัน เพราะจะกลายเป็นการไปลดเกรดของสินค้าเกรดพรีเมียมให้ไปเหมือนกับสินค้าเกรดต่ำ ซึ่งอาจจะทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน และไม่ไว้วางใจที่จะซื้อหาสินค้าต่อไปได้
…
ดังนั้น ผู้ต้องการซื้อสินค้าชั้นดีเกรดพรีเมียมราคาแพง จึงจำเป็นต้องศึกษาชนิดและคุณภาพของสินค้า ตลอดจนมาตรฐานของโรงงานผลิตสินค้าให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จึงจะสามารถเลือกซื้อสินค้าให้ตรงกับลักษณะที่ต้องการใช้งานได้
…
มิฉะนั้น อาจซื้อได้สินค้าปลอมในราคาที่แพงลิบลิ่ว จนกลายเป็นการไปช่วยอุดหนุนกิจการของโจรให้เจริญรุ่งเรืองล่ำซำยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกอย่างไม่รู้ตัว
…
ฝึกตนเองดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่า ทำตามพระพุทธเจ้า อริยสัจธรรมของแท้ คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ถ้าหากตนเองไม่ฝึกฝนตนเองให้ดับทุกข์ได้ก่อนแล้ว จะเอาข้อปฏิบัติอันใดไปสอนคนอื่นให้ดับทุกข์ได้เล่า
…
ธรรมะก็มีหลายระดับเช่นกัน ไล่ไปตั้งแต่ธรรมขั้นต้นอย่างหยาบ ก็มีการให้ทาน รักษาศีล ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้องก็เป็นความงามในเบื้องต้น ที่เรียกว่า อาทิกัลยาณัง
…
จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ธรรมขั้นกลาง ได้แก่ การเจริญสมาธิ ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปนาสมาธิ ไปจนถึง รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้องก็เป็นความงามในท่ามกลาง ที่เรียกว่า มัชเฌกัลยาณัง
…
จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ธรรมขั้นสูงสุด ได้แก่ การอบรมปัญญาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส จนได้บรรลุ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้องก็เป็นความงามในที่สุด ที่เรียกว่า ปริโยสานกัลยาณัง
…
ไม่ว่าจะเป็นธรรมขั้นใด ก็ล้วนอยู่ในสายทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา คือ มรรคมีองค์ ๘ นี้ ที่ย่อลงเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นเหมือนเชือก ๓ เกลียว ขวั้นเป็นเกลียวเดียวกลายเป็นพลังธรรมที่แข็งแกร่งคมกริบ สามารถกำจัดฟาดฟะนกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ขาดสะบั้นจากใจได้ จะโดยบางส่วน หรือโดยสิ้นเชิง ก็ตามสมควรแก่ความปฏิบัติของผู้ปฏิบัติแต่ละราย
…
ในธรรมขั้นต้นก็มี ศีลชั้นต้น สมาธิชั้นต้น ปัญญาชั้นต้น สัมประยุทธ์อยู่ด้วยกัน เป็นเหตุให้ดับสังโยชน์ ๓ ได้
…
ในธรรมขั้นกลางก็มี ศีลชั้นกลาง สมาธิชั้นกลาง ปัญญาชั้นกลาง สัมประยุทธ์อยู่ด้วยกัน เป็นเหตุให้ดับสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้
…
ในธรรมขั้นสูงก็มี ศีลชั้นสูง สมาธิชั้นสูง ปัญญาชั้นสูง สัมประยุทธ์อยู่ด้วยกัน เป็นเหตุให้ดับสังโยชน์เบื้องบน ๕ ได้
…
ใครจะปฏิบัติธรรมได้แค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์บารมีธรรมของแต่ละคนว่า จะบำเพ็ญบารมีมาแล้วแก่กล้าเพียงใด จะมีภูมิจิตภูมิธรรมที่สามารถรองรับธรรมขั้นไหนได้ ผู้มีอินทรีย์บารมีแก่กล้าเท่านั้น ก็จึงจะสามารถปฏิบัติธรรม รู้ธรรมเห็นธรรม บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว
…
ให้เข้าใจว่า ไม่มีใครจะเอาธรรมแท้ไปยัดเยียดให้คนอื่นได้ ทุกคนต้องต้องตั้งใจฝึกฝนอบรมจิต สั่งสมบารมีธรรมด้วยตนเองทั้งนั้น
…
ดังนั้น ก่อนจะฝึกฝนอบรมปฏิบัติธรรม จึงจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องแท้จริงให้ได้เสียก่อน ถ้าวิธีปฏิบัติไม่ถูกต้องเสียแล้ว จะปฏิบัติอย่างไร ก็ไม่มีทางจะรู้ธรรมเห็นธรรมได้เลย มิหนำซ้ำ ถ้าปฏิบัติผิดก็เท่ากับเดินหลงทางไปไกล ต้องเสียเวลากลับมาตั้งต้นใหม่ ซึ่งไม่สมควรเลย
…
ลำพังฟังธรรมเล่น ๆ ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างลืมตัว ไม่มีสติกำหนดรู้จดจ่ออยู่ในอารมณ์ปัจจุบันที่กำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้า มันก็ไม่ต่างอะไรกับการดูเขาเล่นปาหี่
…
จงจำไว้ว่า ถ้าเมื่อใดเรามีสติ สติจะตัดความเพลินให้หมดไป ถ้าเมื่อใดเรามีความเพลิน ความเพลินก็จะตัดสติให้หมดไป สติกับความเพลินไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมกันได้ในเวลาเดียวกัน
…
เพราะเหตุนั้น บรรดานักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านจะสอนธรรม ก็เพื่อให้เกิดความมีสติ ถ้าจะสอนให้เพลินไม่มีสติ ไม่ต้องสอนก็ได้ เพราะสัตว์โลกเพลินกันมามากพอแล้ว
…
เพราะเหตุนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตาพระมหาบัว จึงสอนว่า การฟังธรรมแล้วนั่งภาวนาไปด้วย คือ ภาคปฎิบัติอันดับหนึ่ง
…
คำว่า “สติ” นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเพลิน แต่เกิดขึ้นเพราะความมีใจสำรวม มีกายสำรวม มีวาจาสำรวม เต็มไปด้วยความระมัดระวังจดจ่ออยู่กับอารมณ์ปัจจุบันที่เป็นเหตุให้ใจสงบได้ เช่น พุทโธ หรือลมหายใจเข้าออก เป็นต้น
…
ถ้าฟังธรรมโดยไม่มีสติ มันก็แทบหาประโยชน์จากธรรมมิได้ ฟังแล้วก็หลงลืมไป เพราะถ้าไม่มีสติเสียแล้ว ธรรมใด ๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้
…
การจะเอาความเพลินมาเป็นเครื่องล่อให้คนมาฟังธรรมแล้วมีสติ มันจึงเป็นได้แค่คำพูดจอมปลอมเท่านั้นเอง ขนาดตั้งหน้าตั้งตากำหนดจิตให้มีสติอยู่กับพุทโธ ให้ได้นาน ๆ มันก็ยังทำได้ยากเลย
…
ความสำคัญจึงอยู่ที่ตัวผู้ปฏิบัติเอง ต้องน้อมนำเอาพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วมาปฏิบัติ ซึ่งบางทีเพราะกิเลสในใจยังหนาอยู่ ก็ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น ผิดเพี้ยนไปได้ โดยสำคัญว่า ตนเองเข้าใจถูกต้องแล้ว ทำให้กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก
…
เพราะเหตุนั้น จึงต้องอาศัยครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงเห็นจริง ผู้ทรงธรรมทรงวินัย มาคอยเป็นพี่เลี้ยงประคับประคองบอกทางไปจนกว่าผู้ปฏิบัติจะค้นพบหนทางดับทุกข์ที่แท้จริงปรากฏขึ้นที่ใจตนเอง ดับทุกข์ในใจตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งเป็นสันทิฏฐิโก จึงจะเป็นที่ตายใจได้ว่า จะไม่หลงทางในวัฏสงสารอีกต่อไป
…
ถ้าใครเป็นเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยครูบาอาจารย์อีกแล้ว เรียกว่า ได้เห็นธรรมวินัยที่เป็นองค์แทนพระศาสดาแล้วอย่างแท้จริงประจักษ์ใจตนเอง สิ้นสงสัยในธรรมที่ตนได้รู้เห็นแล้วอย่างสิ้นเชิง
…
ถ้าจะเปรียบธรรมเป็นสินค้าดังที่กล่าวไว้เบื้องต้น ใครอยากได้สินค้าแบบไหน ก็ไปหาซื้อได้ตามที่ตนเองต้องการ เลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน อยากได้ของดีก็ไปหาซื้อของดี อยากได้ของถูกก็ไปหาซื้อของถูก
…
แต่ไม่ว่าสินค้าจะมีคุณภาพดี หรือคุณภาพต่ำ จะมีราคาแพง หรือราคาถูก ก็ย่อมมีคุณค่าอยู่ในตัวมันเองตามธรรมชาติของมัน พอให้ผู้ฉลาดถือเอาประโยชน์ได้
…
ดังเช่น อุจจาระ ปัสสาวะ ผู้ฉลาดก็ยังถือเอาประโยชน์จากมันได้อยู่ เอาไปทำปุ๋ยหมัก รดน้ำต้นไม้ก็ได้ จึงไม่ควรไปตำหนิสินค้าว่าจะดีหรือไม่ดี เพราะโลกนี้มันก็มีทั้งของดี ของไม่ดีปะปนกันอยู่อย่างนี้ แม้กระทั่งคน ก็ยังมีคนดี คนชั่ว แม้กระทั่งพระสงฆ์ ก็ยังมีพระดี พระชั่วเลย ห้ามกันได้ที่ไหน
…
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปห้าม ไม่ต้องไปอยากให้คนชั่วมาเป็นคนดี ไม่ต้องไปอยากให้พระชั่วมาเป็นพระดี มันฝืนธรรมชาติของเขา มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขาจะดีก็ต้องดีเพราะตัวเขาทำดีเอง ไม่ใช่ดีเพราะความอยากของใคร
…
หน้าที่ของเราคือใครอยากได้ของดี ก็จงไปหาของดี ใครอยากได้ของเลวก็จงไปหาของเลว ธรรมท่านจึงสอนว่า “อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต” ถ้าคบคนพาล เราก็จะเป็นคนพาลได้ ถ้าคบบัณฑิต เราก็จะเป็นบัณฑิตได้ จงเลือกทำเหตุให้ตรงกับผลที่ต้องการ
…
ถ้าอยากได้สินค้าดี ก็ต้องซื้อจากพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นคนดี จากโรงงานที่ดีมีมาตรฐานผลิตสินค้าเป็นที่น่าเชื่อถือได้
…
อย่าไปซื้อสินค้าจากพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นคนโกง จากโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐานผลิตสินค้าปลอมที่ไม่น่าเชื่อถือ
…
นอกจากจะถือเอาประโยชน์ไม่ได้แล้ว บางทียังอาจมีโทษติดคุกแถมมาอีกต่างหาก
…
ต่อให้ใครจะโอ่ประโคมว่า อะไรดีแค่ไหน ใครจะแห่กันไปชื่นชมยินดี ไปกราบไปไหว้ ถ้าเราไม่แน่ใจ ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวเสียเลย ให้อยู่ห่าง ๆ เข้าไว้ นั่นแหละ จะดีกว่า!!
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๘
.