
พระชาติที่ ๕ พระมโหสถ ตอน ๒
เรื่องรถ ชายคนหนึ่งขับรถม้าผ่านมาทางเทหะรัฐ ที่เรียกว่ารถก็ม้าก็เพราะมันเทียมด้วยม้า หรือเรียกง่าย ๆ ก็เพราะม้ามันลากไปจึงไปได้ เขาใช้ม้าลากเจ้ารถเก่า ๆ คันนั้นของเขามาตามทาง ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นและกรวดทราย บางแห่งก็เรียบบางแห่งรถก็โคลงเคลงไปตามรูปของถนนในสมัยครั้งกระโน้น เขาขับผ่านมาทางศาลาของเจ้ามโหสถ ก็มีอันเกิดเรื่องขึ้น เขาเกิดกระหายน้ำ พอเห็นสระก็หยุดรถโดดลงไปที่สระเพื่อจะดื่มน้ำ พระอินทร์หรือสักกเทวราชเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ แต่กลับแพ้ยักษ์เล็ก ๆ ที่มีชื่อเสียงเรียงนามอันใด คือรณพักตรลูกทศกัณฐ์ ตอนนั้นยังไม่เก่งกล้าเท่าไหร่นัก ถึงกับโดดหนีจากรถทรง ทิ้งจักรอันทรงศักดาให้กับเจ้ารณพักตรยักษ์ตัวนั้น ซึ่งมันก็รีบตะครุบเอาจักรไปเป็นเครื่องบำเหน็จมือเลย เสด็จพ่อทศกัณฐ์เลยตั้งชื่อให้เสียใหม่ว่า อินทรชิต ซึ่งเเปลว่าชนะพระอินทร์ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทำให้เรานึกไปถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราชของไทย ซึ่งก็ได้พระนามโดยลักษณะอย่างเดียวกันนี้ พ่อขุนรามคำแหงซึ่งเป็นมหาราชของไทยพระองค์หนึ่งผู้สร้างแบบอักษรไทยขึ้นใช้ เดิมมีพระนามมาว่าอย่างไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพระหลักฐานไม่ปรากฎชัด อาจจะได้นามว่ารามก็ได้ เพราะคำว่ารามนั้นแปลได้ว่าน้อย เช่นในคำว่า วิหารใหญ่วิหารอาราม หรือคำว่าผู้ใหญ่ราม ดังนั้นเป็นต้น เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าศรรีอินทราทิตย์ ซึ่งเป็นผู้ปลดแอกของชาวไปจากขอมในเวลานั้น กับนางเสือง พระรามคำแหงเป็นองค์เล็กก็คงเรียกกันในภาษาชาวบ้านว่า เจ้าเล็ก เมื่ออายุได้ 19 ปี ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ยกทัพมารบ กับพ่อขุนศรีอิทราทิตย์ ซึ่งก็ได้ยกทัพออกไปประจันหน้ากันในสมรภูมิ ซึ่งเจ้าเล็กก็ขี่ช้างเชือกหนึ่งตามออกไปดูด้วย ขุนสามชนได้ขับช้างตะลุยเข้ามา ไพร่พลของพ่อขุนศรีอิทรทิตย์ แตกพ่ายกระจัดกระจาย คือแตกหนีไม่เป็นกระบวนและก่อนที่พ่อขุนศรีอิทราทิตย์จะขับช้างเข้าไปเผอิญกับขุนสามชน พระรามหรือเจ้าเล็กยืนช้างอยู่เบื้องหลังพ่อ ก็ขับช้างพรวดเข้าไปผจญกับขุนสามชน ยุทธหัตถีพระหว่างเจ้าหนุ่มน้อยกับขุนสามชนก็เกิดขึ้น ช้างขุนสามชนตัวชื่อชนะเมืองทองเสียเชิงก็เลยต้องพ่ายแก่ช้างของพระรามคำแหง โดยเหตุที่ชนะขุนสามชนนั้นแหละ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เลยเรียกว่า รามคำแหง ซึ่งถ้าเป็นสมัยปัจจุบันก็ว่า “เจ้าเล็กเก่ง” จึงได้นามว่า “รามคำแหง” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระอินทร์ซึ่งแพ้รณพักตร์นั้น ประสงค์จะแสดงภูมิปัญญาของเจ้ามโหสถให้ปรากฎ เมื่อเห็นชายเจ้าของรถลงไปกินน้ำในสระก็ขึ้บนรถ เตือนม้าให้ออกเดิน ชายเจ้าของรถได้ยินเสียงม้าเดินก็หันมาดู ชะช้าเอากันต่อหน้าต่อตาเชียวนะ แถมกลางวันแสก ๆ เสียด้วย เขารีบวิ่งขึ้นมาจากสระ พร้อมกันตะโกน ชายเจ้าของรถพยายามอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่พระอินทร์ผู้เป็นขโมยสมัครเล่นก็หายินยอมไม่ แม้แต่ประชาชนที่ มุง ๆ มอง ๆ ทั้งหลายก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าของใคร เพราะทั้งเจ้าของรถและพระอินทร์ไม่มีใครรู้จักเลย เรื่องมันก็ต้องถึงมโหสถเด็กเจ้าปัญญา “เรื่องนี้ต้องให้มโหสถตัดสิน” ประชาชนคนหนึ่งที่ยืนฟังเหตุการณ์กล่าวขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็ยอมตกลงที่จะให้มโหสถเป็นผู้ตัดสิน แล้วต่างก็พากันห้อมล้อมโจทก์และจำเลยไปสู่สำนักของมโหสถ เมื่อไปถึงเขาก็เข้าไปบอกแก่มโหสถถึงความเป็นมาของเรื่อง มโหสถออกมาดูก็รู้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของรถแพระอินทร์เพราะสภาพของพระอินทร์แตกต่างจากคนธรรมดา อย่างน้อยก็ประกอบด้วยธรรม มีการเลี้ยงดูบิดามารดา ตลอดจนกระทั่งระงับความโกรธ จึงผิดแปลกจากบุคคลทั่ว ๆ ไป แต่เพื่อจะให้ปรากฎแก่ประชาชนทั่ว ๆ ไปจึงทำเป็นไม่รู้เสีย และสอบถามโจทก์จำเลย ซึ่งต่างก็อ้างว่าเป็นรถของตน ถ้าเป็นท่านล่ะจะตัดสินใจได้อย่างไร ลองดูภูมิมโหสภต่อก็แล้วกัน แล้วให้คนทั้งสองจับท้ายรถ ข้างซ้ายคนหนึ่ง ข้างขวาคนหนึ่ง แล้วเตือนให้ม้าวิ่ง ม้าก็เริ่มออกวิ่งช้า ๆ คนทั้งสองก็ยังคงจับท้ายรถวิ่งตามรถไปได้ ต่อเมื่อม้าวิ่งเร็วขึ้น ๆ ชายเจ้าของรถทนวิ่งไปไม่ไหวอ้าปากหายใจหอบด้วยความเหนื่อย ต้องปล่อยรถยืนละห้อยละเหี่ยด้วยความเสียดายที่ต้องให้รถแก่ผู่อื่น ม้าจะวิ่งได้เร็วสักเท่าไร่ พระอินทร์ก็วิ่งตามได้ทันเสมอคนทั้งปวงเฮโลกันใหญ่ ถ้ามีแข่งกีฬาทางวิ่งพระอินทร์คงกินดิบแน่ ๆ เพราะวิ่งทันม้าเทียมรถ มโหสถจึงให้คนไปเรียกกลับมา พระอินทร์ก็วิ่งติดรถกลับมา ส่วนชายเจ้าของรถคงได้แต่เดินโซเซมาด้วยความเหนื่อยหอบแทบจะอ้าปากพูดไม่ไหว เมื่อคนทั้งสองมาถึง มโหสถจึงชี้ท้าวสักกะพลางถามว่า พวกราชบุรุษได้ส่งข้อความเหล่านี้ไปกราบทูลพระเจ้าวิเทหราช
เรื่องกระโหลกศรีษะ หลังจากเรื่องนั้นผ่านไปไม่นาน พระเจ้าวิเทหราชก็คิดจะทดลองเจ้ามโหสถดูอีกว่า จะเป็นคนฉลาดทรงความรู้จริงหรือไม่ จึงให้ส่งกะโหลกศรีษะไปให้ชาวบ้านทางตะวันออก พร้อมกับบังคับว่า “ถ้าาวบ้านบอกว่ากระโหลกศรีษะอันไหนเป็นหญิงเป็นและเป็นชายไม่ได้ จะต้องถูกปรับพันกหาปณะ" ซึ่งจะเทียบในสมัยนี้ก็เท่ากับ 4.000 บาท ซึ่งก็นับว่าไม่น้อยเหมือนกัน พอท่านเศรษฐีได้รับคำสั่งก็เรียกประชุมผู้เฒ่าผู่แก่ทันทีลองสอบถามกันดูว่ามีใครทราบบ้าง แต่ก็หาคนทราบไม่ได้ เรื่องก็ถึงมโหสถอีกนั่นแหละ เพียงแต่มองเห็นคราวแรกเท่านั้น มโหสถก็กล่าวว่า “พุทโธ่ ? นึกว่าจะเป็นปัญหายากเย็นแสนเข็ญเพียงไรที่แท้ก็ปัญหาเด็ก ๆ นั่นเอง” “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นหน้าที่ของพ่อที่จะแก้ปัญหานั้” ท่านเศรษฐีกล่าว เหมือนกับว่ามโหสถได้เคยศึกษากายวิภาคมาหรืออย่างไรเขาหยิบกะโหลกขึ้นมากะโหลกหนึ่งพร้อมกับชี้แจง” “กะโหลกนี้เป็นศรีษะของผู้ชาย” “เพราะอะไร” “เพราะรอยประสานชองกะโหลกที่เป็นทาง ๆ หรือที่เรียกว่าแสกตรง จึงรู้ได้ว่าเป็นกะโหลกของชาย” “ส่วนผู้หญิงล่ะ” “ก็ดูโดยตรงกันข้ามน่ะสิ คือแสกในกะโหลกศรีษะของหญิงคดไม่ตรงเหมือนอย่างชาย เพราะฉนั้นท่านบิดาบอกไปได้เลยว่า กะโหลกที่มีแสกตรงเป็นกะโหลกชาย และกะโหลกที่มีแสกคดเป็นกะโหลกหญิง” เมื่อพระเจ้าวิเทหราชทรงสอบถามว่า เป็นความคิดของใครก็ได้รับทราบว่าเป็นของมโหสถ ก็มีพระทัยเต็มตื้นไปด้วยความปราโมทย์ แต่ยังมิได้รับเข้ามมาในพระราชสำนักเพราะท่านเสนกะยังจะต้องทดลองอีกต่อไป
เรื่องของงู คราวนี้พระเจ้าวิเทหราชส่งงูไปให้ชาวบ้านแจ้งมาว่าเป็นงูตัวผู้หรือตัวเมีย ถ้าไม่ได้ก็ต้องปรับเป็นเงินตั้ง 4.000 บาท ชาวบ้านก็ต้องหมดปัญญาตามเดิม เรื่องมันก็ต้องถึงมโหสถ มโหสถก็ได้แก้ปัญหานี้โดยแสดงว่า ลักษณะของงูตัวผู้หางและหัวใหญ่ นัยน์ตาใหญ่ ลวดลายที่ลำตัวติดต่อกัน ส่วนลักษณะของตัวเมียนั้นมีว่าหางงูตัวเมียเรียวและหัวก็เรียว นัยน์ตาเล็ก ลวดลายตามตัวไม่ค่อยจะติดกัน และชี้ให้ชาวบ้านเห็นว่างูที่ส่งมานั้นตัวไหนเป็นตัวผู้ และตัวไหนเป็นตัวเมีย ชาวบ้านก็นำเอาปัญญานี้ไปแก้ให้พระเจ้าวิเทหราชฟัง เมื่อพระเจ้าวิเทหราชทราบว่าเจ้ามโหสถเป็นคนแก้ยิ่งโสมนัสแต่ยังไม่สามารถจะรับเข้ามาพระราชสำนักได้ เพราะนักปราชญ์ที่ดีแต่พูดคือเสนกะ ยังไม่ยอมให้รับเข้ามา เพราะกลัวอะไรต่ออะไรหลายอย่าง และในที่สุดที่กลัวที่สุดก็เห็นจะกลัวมโหสถจะดีกว่านั้นเอง พระเจ้าวิเทหราช แม้จะไม่พอพระทัยนักก็จำยอมและทำการทดลองต่อไป
เรื่องของไก่ เรื่องนี้เป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมกันในที่ประชุมของชาวบ้านกันมาก บางคนถึงกับว่า “ออกจะไม่ยุติธรรมสักหน่อย ที่พวกชาวบ้านเราถูกกะเกณฑ์ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ก็ถูกปรับไหม ถ้าเราไม่มีเจ้ามโหสถอยู่แล้ว ป่านนี้เราคงเหลือแต่กางแกงในแล้วก็ได้ อีกคนก็ค้านว่า ท่านเศรษฐีจึงได้ส่งไก่ขาวไปถวายพระเจ้าแผ่นดินทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเสียค่าปรับไปได้อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชก็ตรัสถามชาวบ้านที่นำไป ถามว่าใครเป็นคนตอบปัญหานี้ ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นความคิดของมโหสถซึ่งพระองค์ตรัสถามก็ได้รับคำคัดค้านจากเสนกะจอมปราชญ์ผู่ยิ่งใหญ่ตามเคย พระองค์ก็ต้องคล้อยตาม
เรื่องแก้วมณี หลังจากที่ได้สั่งให้ส่งโคที่มีรูปร่างวิปริตผิดพิกลมาราชสำนัก ตราบจนกระทั่งมโหสถได้ส่งไก่ขาวมาให้แล้ว พระเจ้าวิเทหราชก็คิดจะส่งอะไรไปทดลองปัญญามโหสถอีก ในราชสำนักมีแก้วมณีอยู่ดวงหนึ่งข้างในคดถึง ๘ แห่ง และเชือกที่ร้อยแก้วมณีนั้นนานเข้าก็เก่าและขาดออกไป เลยใช้อะไรไม่ได้ต้องเก็บไว้เฉย ๆ “เออ.. จะเข้าที ส่งไปลองปัญญาเจ้ามโหสถดูที ถ้าแก้ได้ก็จะได้ประโยชน์ด้วย” เมื่อทรงดำริเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าวิเทหราชก็จัดแจงส่งแก้วมณีดวงนั้นไปยังเศรษฐีผู้เป็นบิดาของเจ้ามโหสถ พร้อมกับคำสั่งว่า “ถ้าชาวบ้านตะวันออกร้อยแก้วมณีนี้ไม่ได้ จะต้องถูกปรับ 4.000 บาท และจะถูกลงโทษอย่างอื่นด้วย” คำสั่งนี้ไปถึงปาจีนวยมัชณคาม ชาวบ้านก็บ่นกันพึม เมื่อคนเอาน้ำผึ้งมาให้แล้ว เจ้ามโหสถก็หยดลงไปในรูแก้วมณี น้ำผึ้งค่อย ๆ ไหลเข้าไปตามคดจนเปียกชุ่มด้ายที่อยู่ข้างใน แล้วเจ้ามโหสถก็เอาไปวางที่ปากรูมด พักเดียวเท่านั้นเจ้ามดทั้งหลายก็กรูเกรียวกันเข้ามากินน้ำผึ้งพร้อมกับฉุดลากเอาด้ายออกมาด้วย ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ได้เห็น ถึงกับจุ๊ปาก มโหสถจึงเอาด้ายใหม่มาทาทางปลายด้ายด้วยน้ำผึ้งแล้วใส่เข้าไปในรู ซึ่งก็เข้าไปได้เพียงนิดเดียวก็คดแล้วให้เอาน้ำผึ้งใส่เข้าไปอีกทาง แล้วเอาไปวางที่ปากรูมดล่อให้มดออกมากินน้ำผึ้ง มดก็ไปกินน้ำผึ้ง พร้อมกับไปลากเอาด้ายนั้นออกมาอีกทางหนึ่งได้ เจ้ามโหสถจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่าสำเร็จแล้ว และให้คนนำไปถวายพระเจ้าวิเทหราช เมื่อพระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรเห็น แทบไม่เชื่อว่าชาวบ้านจะทำได้ เพราะช่างหลวงทั้งปวงก็จนปัญญา ไม่สามารถจะร้อยได้ จนต้องทิ้งไว้เฉย ๆ โดยไม่มีประโยชน์ ที่ส่งไปก็เพื่อทดลองปัญญาเจ้ามโหสถเท่านั้น แต่ผลที่ได้เอกอุยิ่งนัก จึงสอบถามชาวบ้านทำอย่างไรกันจึงร้อยได้ ชาวบ้านได้กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ ทรงทราบว่าเป็นปัญญาของเจ้ามโหสถ ก็เต็มตื้นไปด้วยความปราโมทย์ยิ่งนัก อยากจะรับเข้ามาในราชสำนัก แต่ขัดด้วยท่านอาจารย์ทั้ง ๔ ยังไม่ยินยอม เกรงจะเกิดเป็นเรื่องอันตรายแก่เจ้ามโหสถ จึงคิดจะต้องให้นักปราชญ์ทั้ง ๔ ยินยอมให้จงได้ พระองค์จึงตรัสกับอาจารย์ทั้ง ๔ อย่างยิ้ม ๆ ว่า
เรื่องวัวออกลูก เมื่อทรงรออยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง พระองค์ก็จัดให้เอาวัวตัวที่มีรูปร่างอ้วนท้วน เอาอาหารและน้ำกรอกปากโคเข้าไปจนพุงกางคล้าย ๆ กับแม่วัวมีท้อง และให้อาบน้ำให้ชำระกายทาขมิ้นเป็นอย่างดี แล้วส่งไปให้ชาวบ้านทิศตะวันออกตามเคย ท่านเศรษฐีจึงให้คนไปตามมโหสถมา แล้งจึงชี้แจงคำสั่งให้ฟัง มโหสถพิจารณาวัวแล้วก็หัวเราะ แล้วว่า ชายผู้นั้นพร้อมกับพรรคพวก 3 – 4 คน พอเป็นเพื่อนเดินทาง ก็ทำตามคำแนะนำของเจ้ามโหสถ แม้อำมาตย์ข้าราชบริพารถามอย่างไรเขาก็ไม่ตอบ คงร้องไห้คร่ำครวญเรื่อยไป จนกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าวิเทหราชทรงพระสรวลลั่นไปทั่วพระโรงพร้อมทั้งหมู่อำมาตย์ราชบริพารซึ่งอดกลั้นไว้ไม่ได้ ก็พลอยหัวเราะออกไปด้วย “ฮ่ะ ฮ่ะ เจ้านี่มีสติดีอยู่หรือเปล่าวะ ดูท่าทางจะต้องส่งไปให้หมอเขาพิจารณาเสียแล้ว” แล้วก็ทรงสรวลต่อไปอีก “ได้พระเจ้าค่ะ กระหม่อมฉันปกติดีทุกอย่าง แต่ได้โปรดเถิดพระเจ้าค่ะ บิดากระหม่อมทนทุกข์มาได้หลายวันแล้ว” “ก็ผู้ชายมันจะออกลูกได้ยังไงวะ ขืนออกโลกมันก็จะแตกเท่านั้นเอง” แล้วก็ทรงพระสรวลต่อไปอีก “เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว ส่งวัวคืนมา แล้วบอกท่านเศรษฐีว่าข้าพอใจแล้ว” พร้อมกับพระราชทานรางวัลให้ชายคนนั้นพร้อมกับพรรคพวก แล้วก็ส่งกลับไป เสร็จแล้วทรงหันไปถามนักปราชญ์ทั้งสี่ซึ่งหมอบเฝ้าอยู่ไม่ห่าง แต่ไม่ถามกลับตรัสเสียเองว่า
ขอบคุณแหล่งข้อมูล: sawanbanna |