ReadyPlanet.com
dot

dot
dot
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
bullet สมัครสมาชิก
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
ชมคลิปวีดีโอน่าสนใจ
ยังไม่มีสมาชิกที่ล็อกอินในขณะนี้
bulletบุคคลทั่วไป 12 คน
dot
dot

dot


ฟัง F.M. 103.25 MHz.
ชมทีวีช่องหลวงตา
ฟังวิทยุออนไลน์ วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
ชมคลิปวีดีโอน่าสนใจ
เข้าชม face book วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน


พระชาติที่ ๗ พระจันทรกุมาร

พระจันทรกุมาร

 

เรื่องมีอยู่ว่าสมัยเมื่อพระเจ้าเอกราชครองราชสมบัติอยู่ในบุปผาดีนคร ท้าวเธอมีมเหสีพระนามว่าโคตมี และมีราชโอรสนามว่า จันทกุมาร มีปุโรหิตชื่อ กัณฑหาลพราหมณ์ กัณฑหาลพราหมณ์เป็นคนโลภ เมื่อมียศโดยพระเจ้าเอกราชมอบอำนาจให้พิพากษาอรรถคดีต่าง ๆ ก็ชอบกินสินบน เข้าแบบที่มูลบทบรรพกิจสอนเด็กไว้ว่า

“ใครเอาข้าวปลามาให้สุภาก็ว่าดี
ที่แพ้แก้ชนะไม่ถือประเพณี
ขี้ฉ่อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา”

 
นี้เป็นแบบเดียวกัน มีเรื่องความอะไรมา ถ้าไม่อยากชนะ เงิน-เงิน-เงิน เท่านั้นเป็นพระเจ้า ภายในร่างกายของกัณฑหาลพราหมณ์ดูจะเต็มไปด้วยเงิน เลือดคงจะกลายเป็นสีน้ำเงินไปด้วย

การกินการโกงเป็นของมีมาแล้วแต่ดึกดำบรรพ์ แม้เมื่อกัณฑหาลพราหมณ์เข้ามาเสวยอำนาจ เป็นเรื่องเลื่องลือกระฉ่อนไปหมดในสมัยนั้น ไม่มีใครสามารถจะจัดการได้ หากใครร้องเรียนจะต้องถูกลงโทษฐานะบ่อนทำลายสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์เสียด้วย เลยพวกปากหอยปากปูทั้งหลายต้องนิ่งเงียบปล่อยให้ลือตามใจชอบ

วันหนึ่งตอนจะเกิดเรื่อง กัณฑหาลพราหมณ์ตัดสินคดี อย่างที่เคยมาแล้ว คือให้คนที่เอาสินบนมาถวายชนะไป ผู้ที่แพ้ก็ได้แต่ก้มหน้าเดินออกจากศาลไปนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง

พอดีพระมหาอุปราชจันทกุมารเสด็จผ่านมาเห็นเข้า สงสัยจึงเรียกไปตรัสถาม ชายผู้นั้นก็เล่าความให้ฟังตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายถูกบังคับให้แพ้จนตลอดเรื่อง พระจันทกุมารฟังดูแล้วรู้สึกว่าเป็นการอยุติธรรมมากเกินไป จึงเสด็จไปยังศาลพร้อมกับเรียกเรื่องนั้นออกมาดู ซึ่งกัณฑหาลพราหมณ์ก็หยิบมาให้อย่างเสียมิได้พระจันทกุมารก็เรียกโจทก์จำเลยมาสอบสวนทวนพยานกันเสียใหม่ แม้ตาพราหมณ์แกจะไม่ชอบก็ต้องนิ่ง เพราะอำนาจอุปราชเค้นคอแกอยู่ เลยได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ฟังเรื่องไป

เมื่อไต่สวนแน่นอนแล้ว เจ้าจันทกุมารก็ตัดสินให้ฝ่ายถูกชนะ ฝ่ายผิดเป็นฝ่ายแพ้ กลับตรงกันข้ามกับคำตัดสินที่ตัดมาแล้ว

ประชาชนพลเมืองที่ถูกกัณฑหาลพราหมณ์กดไว้ในอำนาจก็ดีใจ คิดว่าได้พ้นจากภัยมืดอันกดคอตนอยู่แล้ว ก็พากันดีใจให้สรรเสริญพระจันทกุมารเป็นการใหญ่ เสียงคนไชโยโห่ร้องดังก้องไปทั่วเมือง ศาลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นแล้ว พระเอกราชทรงสดับเสัยงโห่ร้องก็สงสัยสอบถามดู ได้ความว่าเจ้าจันทกุมารมหาอุปราชตัดสินความยุติธรรมให้ราฎรพอใจ จึงไชโยโห่ร้องให้ศีลให้พรพระจันทกุมาร

พอรุ่งขึ้นก็รับสั่งให้มหาอุปราชว่าการตัดสินคดีของประชาชนพลเมืองแทนกัณฑหาลพราหมณ์สืบไป

ถ้าเป็นจิวยี่ก็รากเลือดลงแดงตายไปแล้วเพราะความแค้นใจ แต่นี้เป็นกัณฑหาลพราหมณ์แกนิ่งเฉยโดยไม่โต้ตอบอะไรทั้งสิ้น และส่งเสริมด้วยว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง แกเองแก่แล้วอยากจะพักผ่อนเสียบ้าง แต่ยังเห็นแก่แผ่นดินอยู่ จึงถ่อสังขารร่างกายมาทำงาน เมื่อพระจันทกุมารทำได้แกก็พอใจ แต่ในใจของแกสิ แกคิดอย่างไร

“เจ้านี่อวดดี เองทุบหม้อข้าวตู ดีล่ะ?
ไม่มีโอกาสบ้างก็แล้วไป ถ้าได้โอกาสเมื่อไหร่หัวไม่ขาดก็ดูอีตาพราหมณ์บ้าง”  

นับแต่นั้นมา พราหมณ์ก็อดลาภสักการะที่จะพึงได้จากการทุจริตเช่นเดิม ทำให้แกเคียดแค้นแทบจะรากเลือด แต่ก็จำต้องนิ่งรอโอกาสต่อไป ประชาชนพลเมืองก็ได้รับความยุติธรรมกันอย่างเสมอหน้าเสมอตา

วันหนึ่งพระเอกราชเสด็จบรรทม และเผอิญทรงสุบินว่าได้ขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสมบัติของพระอินทร์ อันล้วนเป็นทิพย์ทั้งนั้น นางฟ้านางสวรรค์ล้วนแต่งาม ๆ พอเห็นก็ใครจะได้ ในขณะที่กำลังเที่ยวชมอยู่นั้นเองก็บังเอิญตกพระทัยตื่น รู้สึกเสียดายมากอยากจะฝันนต่อ เสียดายเหลือเกิน แต่จะทำยังไง ๆ มันก็ไม่ฝัน กลับพระเขนยก็แล้ว ข่มตาให้หลับก็แล้วทั้งแพไม่ได้ฝันต่ออีกเลย

สมบัติพระอินทร์ติดอกติดใจพระเจ้าเอกราชเป็นยิ่ง รุ่งเช้ารีบออกท้องพระโรงแต่เช้า พอเห็นกัณฑหาลพราหมณ์ปุโรหิตคนโปรด ผู้ที่เคยฉ่อชนโกงกินสมบูรณ์พูลสุขไปด้วยความเดือดร้อนชองประชาชนพลเมือง หน้าตาของแกแดงก่ำไปด้วยโลหิต ก็ตรัสเล่าสุบินให้ฟังและยังแถมท้ายว่า
“ทำไมถึงจะได้สมบัติเหล่านั้นบ้าง”

ตาพราหมณ์ผู้เป็นพราหมณ์แต่ร่างกาย เข้าทำนองความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะกังวลอยู่ด้วยโทสะและราคะพอได้ฟังพระเจ้าอยู่หัวเล่าพระสุบิน และได้ยินดำรัสเช่นนั้น ใจก็คิด

“หวานตูล่ะที่นี้ จันทรกุมารเคยเล่นงานตูอย่างเจ็บแสบนัก ทุบหม้อข้าวของตู ทีนี้จะได้เห็นดีกันล่ะ เองต้องตาย ตายอย่างหมูหมาไม่มีใครใครแยแส” แกจึงทูลว่า

“ขอเดชะ พระสุบินของพระองค์เป็นลางสังหรณ์ว่าพระองค์จะได้สมบัติเหล่านั้น แต่ทำไมจึงจะได้ ก็ได้เป็นเหตุให้พระองค์มาตรัสถามกระหม่อมฉัน ต้องบูชายัญพระเจ้าค่ะจึงจะได้”
“บูชายัญเขาทำกันอย่างไรล่ะ?”
“ไม่ยากพระเจ้าค่ะ แต่ก็ดูยาก”
“เอ๊ะ ? ว่ายังไงไม่ยาก แต่ดูยาก"
“คือว่า การกระทำบูชายัญที่จะมีผลมากได้สมบัติทิพย์ ต้องเสียสละของที่รักออกบูชายัญพระเจ้าค่ะ”
“ของที่รัก” พระเจ้าเอกราชรำพึง
“อะไรนะ ?”
“ก็พระมเหสี บุตร ธิดา ช้างแก้ว ม้าแก้ว สิพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเห็นจะพอได้”

กัณฑหาลพราหมณ์จึงทูลให้ทราบว่า จะต้องใช้เลือดในลำคอพระมเหสี บุตร ธิดา ช้างม้า และเศรษฐีประจำพระนครมาทำการบูชายัญจึงจะเห็นผล

พระเจ้าเอกราชผู้งมงาย หวังสมบัติทิพย์ก็เชื่อถือถ้อยคำของตาพราหมณ์เจ้าเล่ห์ โดยสั่งให้ตาพราหมณ์จัดการเรื่องการบูชายัญโดยด่วน

ข่าวได้แพร่สะพัดไปทุกมุมเมืองบุปผวดีว่าพระเจ้าเอกราชจะฆ่ามเหสี โอรส ธิดา ช้างแก้ว ม้าแก้ว แล้วเศรษฐีประจำเมืองอีก ๔ คน บูชายัญ เพื่อหวังจะได้สมบัติอย่างพระอินทร์

 แม้พระจันทรกุมารจะเข้าทัดทานอย่างไรก็ไร้ผล พระองค์มิได้ทรงเชื่อเลย ทรงมุ่งหวังแต่สมบัติที่ตาพราหมณ์ป้อยอเท่านั้น กัณฑหาลพราหมณ์ไปจัดการให้คนขุดหลุมเพื่อการบูชายัญภายนอกเมือง เมื่อจวนจะสำเร็จ พระเจ้าเอกราชเกิดใจอ่อน ทนการอ้อนวอนของพระโอรสธิดามิได้ จะเลิกการบูชายัญตาพราหมณ์ได้ทราบก็รีบเล่นมา
“ข้าพระองค์ได้บอกแล้วว่างานนี้ยากมาก เมื่อจัดทำขึ้นแล้วจะเลิกเสียกลางคัน พระองค์จะมิได้สมบัติดังกล่าว และแถมจะถูกครหานินทราว่าเป็นกษัตย์ตรัสแล้วไม่อยู่กับร่องกับรอยเสียด้วย"

พอได้ยินเท่านั้นพระทัยเดือดปุด ๆ

“ทำสิวะ ทำไมจะไม่ทำ ใครว่า ตัดหัว”

อำนาจบาทใหญ่พลุ่งออกทันที อนิจจา ทศพิธราชธรรมสำหรับพระเจ้าเอกราชผู้งมงายหามีไม่ กลับสั่งให้จับตัวมเหสี ๔ องค์ โอรส ๔ องค์ ธิดา ๔ ช้าง ๔ ม้า ๔ เศรษฐีอีก ๔ ไปคุมไว้รอบูชายัญ พระเจ้าหลวงผู้ชนกของพระเจ้าเอกราชได้ทราบเรื่องก็ห้ามปรามมิให้ทำ แต่พระเจ้าเอกราชเชื่อฟังก็หาไม่ สมบัติทิพย์ใครจะไม่อยากได้ ต้องฆ่าพวกนี้เพื่อสมบัติทิพย์ แม้พระจันทรกุมารจะทูลว่า

“ขอเดชะพระราชบิดา หากการบูชายัญด้วยของรักเป็นเหตุให้ได้สมบัติแล้วไซร้ ทำไมกัณฑหาลพราหมณ์จึงไม่เอาบุตรธิดาของตนเองบูชายัญเพื่อจะได้สมบัติทิพย์บ้างเล่า นี่ก็เป็นเหตุให้เห็นได้ว่าเป็นความไม่จริง

ตาพราหมณ์แกโกรธเคืองกระหม่อมฉันที่ทำให้แกกดขี่ข่มแหงประชาชนพลเมือง รีดเอาทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นไม่ได้ จึงอยากจะฆ่าหม่อมฉันเสีย หากจะให้สมใจตาพราหมณ์ ได้โปรดฆ่าข้าพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเถิด อย่าให้ใครลำบากยากแค้นด้วยข้าพระองค์เลย” ถึงเช่นนี้พระองค์ก็หาฟังไม่
“เขาจะทำพิธีแก้กรรมมาแก้ตัวว่าเขาเกลียดแกทำไม แกมันยุ่งไม่เข้าท่า เห็นคนอี่นเข้าทำดีเข้าหน่อยก็พลอยผยองไป แกจะทำให้พิธีข้าเสีย ไม่ได้ ต้องบูชายัญให้หมด”

แม้ใครจะอ้อนวอนอย่างไร...พอใจอ่อนสั่งปล่อยตาพราหมณ์ก็มาทัดทานไว้ต้องสั่งจับใหม่ โดยอาการเช่นนี้ถึงหลายครั้งหลายครา สุดท้ายตาพราหมณ์เห็นว่ายิ่งรอช้าไปพระจันทรกุมารอาจไม่ตายก็ได้ เพราะพระทัยของพระเจ้าเอการชไม่สู้จะแน่นอนนัก จึงได้เร่งรีบให้ขุดหลุมและจัดบริเวณพิธีให้เสร็จ โดยเร็ว เพื่อจะประหารเสียเร็ว ๆ

เมื่อบริเวณพิธีและหลุมเสร็จเรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ก็สั่งให้คนนำสัตว์ที่จับไว้นั้นออกนอกประตูพระนครไปพร้อมกับปิดประตูห้ามคนคนในออกคนนอกเข้า เพราะกลัวประชาชนจะติดตามทำลายพิธี เพราะคนอย่างมหาอุปราชและเศรษฐีก็ย่อมมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมากมาย เดี๋ยวเกิดจะมีคนดีขึ้นมาบ้าง

พอถึงโรงพิธีคนแรกที่ต้องสังเวยคือจันทกุมาร ตาพราหมณ์ก็นำไปนั่งข้างปากหลุม เตรียมถาดที่จะรองเลือดไว้เรียบร้อย ตนเองก็ตระเตรียมดาบไว้ พระจันทกุมารตอนนี้วางใจเป็นอุเบกขาแล้วแต่เวรกรรม แต่พระจันทาเทวีผู้ชายาของมหาอุปราช ซึ่งตามอ้อนวอนพระราชบิดาขอยกให้โทษพระจันทรกุมาร และเอาตัวของพระนางเองบูชายัญแทนก็ไม่สำเร็จ จึงตั้งสัจจาธิษฐานคือตั้งความสัตย์ว่า

“ขอฝูงเทพเทวาทั้งหลายจงเป็นพยานด้วยความสัตย์ของข้า กัณฑหาลพราหมณ์เป็นคนมิชอบต่อราชแผ่นดิน ไม่มีศีลธรรม แกล้งจะทำลายล้างผู้อื่น ด้วยความสัตย์ ขอให้กัณฑหาลพราหมณ์จงพินาศไป และขอให้พระจันทรกุมารสวามีแห่งข้าจงได้รอดชีวิตด้วยเถิด”

ด้วยสัจจาธิษฐานของนาง ทำให้อาสนะพระอินทร์แข็งนั่งไม่สบาย คงเป็นอย่างเรื่องของสังข์ทองที่ว่า
“ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุมั่นแม่นในแผ่นดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย
จึงสอดส่องทิพย์เนตรเหตุภัย ก็แจ้งใจในรจนา”
 


แต่เห็นจะต้องแก้เป็นจันทรกุมาร แม้นมิช่วยจะม้วยมอด ด้วยไม่รอดจากประหาร ต้องเหาะลอยระเห็จล่องฟ้ามาช่วยทันที มีมือถือค้อนเหล็กเป็นไฟ พอเหาะมาถึงบริเวณพิธีก็ร้องตวาดก้องว่า

 “ไอ้พระยาอธรรม์ เคยมีเยี่ยงอย่างจากไหนที่สั่งสอนว่า ฆ่าคนจะได้สมบัติทิพย์และจะได้ไปสวรรค์ ทศพิฑราชธรรมสำหรับกษัตริย์ละเลิกแล้วหรืออย่างไร ถ้าขืนทำพิธีบูชายัญให้ได้ เราจะตีเศียรท่านให้ย่อยยับไปเป็นจุณ”
และไม่เพียงแต่พูด แถมฟาดราชวัติฉัตรธงในบริเวณพิธีพังล้มระเนระนาดไปเสียด้วย
ในขณะนั้นเองประชาชนก็ฮือกันเข้าไปจับตัวกัณฑหาลพรามหณ์เจ้าพิธีซึ่งกำลังยืนตะลึงอยู่ ลากออกมมาข้างนอก แล้วทีนี้ไม่รู้ว่ามือใคร บาทาใคร ตึ๊บตั๊บ หนึบหนับ พักเดียวเงียบกริบ ไม่มีเสียงร้องเล็ดลอดร่างแหลกเหลวแทบดูไม่ได้ ประชาทัณฑ์กันจนหายแค้น คนชั่วเช่นนี้ตายไปเสียได้ก็ทำให้แผ่นดินสูงขึ้นได้เป็นภูเขาเลากา

เมื่อพราหมณ์ตายแล้ว ความโกรธแค้นของประชาชนยังไม่หยุดเพียงนั้น ยังบุกถึงเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยอารักขาพระเจ้าเอกราชอยู่ เพื่อจะนำตัวมาลงทัณฑ์เสียอีกคน
จันทรกุมารต้องโดดเข้าไปกั้นกลางประชาชน กอดพระชนกเอาไว้ไม่ให้ใครทำร้าย
“เราไม่ต้องการคนโหดร้ายทารุณ ฆ่ากระทั่งลูกเมียเพื่ออยากได้สมบัติทิพย์ ออกไป ออกไป” เสียงประชาชนโห่ร้องขับไล่ และได้เเสดงให้พระองค์ทรงทราบว่า แม้จะไว้ชีวิตพระองค์ก็จริง แต่ไม่อาจจะให้อยู่ในเมืองได้ และได้ปลดออกจากราชสมบัติ ทำโทษขับไล่ไปอยู่บ้านจัณฑาล ซึ่งในสมัยนั้นเทียบได้กับหมู่บ้นคนขอทานในสมัยนี้ หรือไม่ก็คล้ายเคียงกัน แล้วอภิเษกเจ้าจันทรกุมารให้ครองราชสมบัติในบุปผวดีนคร

เมื่อพระเจ้าจันทรกุมารเสด็จประพาสอุทยาน ก็เสด็จไปเยี่ยมพระบิดาเสมอ ได้รับพรจากพระเจ้าเอกราชให้สมบูรณ์พูนสุขชนมายุยืนนาน ก็เสวยราชสมบัติอยู่ในทศพิธราชธรรมบ้านเมืองก็เป็นสูขสบายปราศจากศัตรูหมู่ร้ายจะมารบกวนตราบจนกรกะทั่งสิ้นพระชนม์ เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้

เราได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ความโลภทำให้คนดีกลายเป็นคนชั่ว ความอาฆาตพยาบาททำให้เป็นคนเลว ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ได้แก่พราหมณ์ ซึ่งจะฆ่าพระจันทรกุมาร แต่ตัวเองกลับต้องตาย ความมัวเมาในอำนาจและอยากได้สิ่งพึงประสงค์เช่นสมบัติทิพย์ ทำให้หน้ามืดตามัวไม่เห็นความผิดถูก อย่างพระเจ้าเอกราช อนิจจาความชั่วไม่ช่วยให้คนดีได้

 

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล: sawanbanna




พระเจ้าสิบชาติ

พระชาติที่ ๑ พระเตมีย์
พระชาติที่ ๒ พระมหาชนก
พระชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม
พระชาติที่ ๔ พระเนมีราช
พระชาติที่ ๕ พระมโหสถ ตอน ๑
พระชาติที่ ๕ พระมโหสถ ตอน ๒
พระชาติที่ ๕ พระมโหสถ ตอน ๓
พระชาติที่ ๕ พระมโหสถ ตอน ๔
พระชาติที่ ๕ พระมโหสถ ตอน ๕
พระชาติที่ ๕ พระมโหสถ ตอน ๖
พระชาติที่ ๖ พระภูริทัต
พระชาติที่ ๘ พระพรหมนารท
พระชาติที่ ๙ พระวิธูร
พระชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร ตอน ๑
พระชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร ตอน ๒