
ข้าราชการกับการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม
ข้าราชการกับการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ทำไมกิจกรรมที่ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม และมีประโยชน์ต่อเยาวชนอย่างมากมาย ดังเช่น หลายๆโครงการที่ดีๆ หรือโครงการประกวดเล่านิทานธรรมชาดก หรือโครงการอื่นๆก็ตาม จึงมีคนสนใจน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถ้าระดับชาติก็ตั้งแต่ นายกรัฐมนตรีลงมา จนถึงรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ถ้าระดับจังหวัดก็เอาตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดลงมา, รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ จนถึงหัวหน้าส่วนงานต่างๆ เราไม่รู้ว่า ท่านผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ มีใครสนใจให้ความสำคัญกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมบ้างหรือไม่? สำหรับเราเอง เราไม่เคยเห็น ก็มีเพียงแต่ข้าราชการระดับล่างๆเท่านั้นที่เอาใจใส่ เราจัดประกวดเล่านิทานธรรมชาดก มา ๘ ครั้ง เคยทำหนังสือเรียนเชิญข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ให้ไปเป็นประธานเปิดงาน ปิดงาน หรือไปมอบรางวัล เพื่อเป็นเกียรติ เป็นขวัญ และเป็นกำลังใจ แก่เด็กนักเรียน ตลอดจนผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าจะให้พูดตามนิสัยเรา อยากจะพูดมันแบบหยาบๆให้มันสะใจว่า... (เฮ้อ! แต่อย่าดีกว่า เดี๋ยวเขาจะตำหนิว่า พูดจาไม่สุภาพเสียเลย) ก็ทำหนังสือ "เชิญ ท่าน ทุกครั้ง แต่ ท่าน ก็ไม่เคยไปสักครั้ง" อ้างเหตุผลที่ฮอตฮิตที่สุดก็คือ ติดราชการสำคัญไม่สามารถไปได้ ก็แทงเรื่องมอบให้รองฯ ไปแทน รองฯ แม่...ง เอ๊ย! ท่าน ขออภัย!! ก็มีเหตุผลเดียวกัน ก็มอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานไปแทน แล้ว ท่าน ก็มอบต่อๆกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เป็น... (อยากจะตะโกนให้มันดังๆว่า...ไม่มีหมามาสักตัวหนึ่ง) ข้าราชการชั้นผู้น้อยในท้องถิ่นต้องลงมือทำกันเอง เข้าทำนองว่า ชงเองก็กินกันเอง ฮ่าๆๆๆ อร่อยดี ก็โบราณว่าไว้ "หัวไม่ส่าย หางมันก็ไม่กระดิก" ในเมื่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่สนใจ จะให้ผู้น้อยเขามาสนใจอย่างไรได้ แต่เท่าที่เราประสบมา ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ดีๆก็มีอยู่เยอะนะ ที่เขาสนใจและเอาใจใส่อย่างดีเยี่ยม อันนี้ต้องขอชื่นชม ส่วนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะไม่สนใจ ก็ช่างศีรษะมารดาท่านเถอะ อันนี้มันก็สุดวิสัย โดยส่วนตัวเราบอกตรงๆว่า ก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไรนัก คนที่มันไม่สนใจคุณธรรม จะไปบังคับให้มันสนใจได้อย่างไร องค์หลวงตาท่านเทศน์ไว้ มันก็เหมือนจูงหมาใส่ฝนนั่นแหละ หรือ เหมือนเอาน้ำราดใส่หลังหมา มันสะบัดสองสามทีกระเด็นหายหมด ไม่ให้มีน้ำติดหลังมันได้สักหยดหรอก ที่จำเป็นต้องเชิญ ก็เชิญไปตามสมควรแก่เหตุเท่านั้น เพราะงานนี้ มีโล่พระราชทานของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ถ้าไม่เชิญข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ไม่รู้จะเชิญใคร แต่เมื่อเชิญแล้วท่านไม่ไป ก็จำเป็นต้องปล่อยไปตามมีตามได้ คือทำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น แต่ก่อนที่จะปล่อยวาง ธรรมท่านสอนให้ต้องทำความพยายามให้สุดฝีมือเสียก่อน เราไม่ไปเดือดร้อนกับสิ่งที่มันอยู่นอกเหนืออำนาจการบังคับของเรา เพราะนั่นเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงสัจธรรมความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมสอนโลกว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสรรพสิ่งมันมีความเป็นไปอยู่ในตัวมันเอง เราไม่สามารถไปบังคับทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามความปรารถนาของเราได้ อนัตตาธรรม ก็ประกาศกังวานให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาด้วยภาคปฏิบัติอย่างนี้ และที่สุดแห่งอนัตตาธรรมจริงๆ คือ ความแตกทำลายและว่างเปล่าจากตัวตนในทุกสรรพสิ่ง ก็อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แม้กระทั่งในเฟสบุค อุตส่าห์เอาผลงานของเด็กๆมาลงไว้ คิดดูว่า กว่าจะมีผลงานการเล่านิทานชาดกของเด็กๆเป็นวีดีโอ มาลงให้ดูกันได้ มันต้องผ่านขบวนการอะไรมาบ้าง? มากมายแค่ไหน? ยากลำบากเพียงใด? เราทุ่มเทอย่างสุดกำลังความสามารถเลยทีเดียว และแล้ว...ก็มีคนสนใจอยู่ไม่กี่คน มีคนมากดไลค์บ้าง แต่การกดไลค์ไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก เพราะคนที่เข้ามาดูแล้ว ที่ไม่กดไลค์ อาจมีจำนวนมากกว่า แต่คนที่จะแชร์ไปเผยแผ่ต่อนี่สิ แทบจะไม่มีเลยสักคน มันน่าประหลาดใจจริงๆ เราก็ชักงงกับพฤติกรรมของคนที่เล่นเฟสบุคเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐานในการกดไลค์ กดแชร์ ที่จริงก็ไม่งงหรอก ก็รู้อยู่ คือว่า.. เอ้อ.. อ่า...ไม่มีบรรทัดฐานหรอกครับ/ค่ะ กดมันไปเรื่อยๆ...เอาแน่ไม่ได้ อยากกดก็กด อยากแชร์ก็แชร์ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ และความพอใจ ฮ่าๆๆ เป็นแบบนี้กันหรือเปล่า???? เราเองก็ถือว่าทำหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคมในเรื่องนี้ ก็ยอมรับว่า สุดฝีมือแค่นี้แล้ว ทำอะไรให้ยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ที่มาพูดเรื่องนี้ก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไรใคร เพราะเราก็เข้าใจเรื่องราวได้ดีอยู่ การผลักดันกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ ที่มันเกี่ยวข้องกับคุณธรรมความดีงาม มันค่อนข้างยาก เพราะธรรมะโดยธรรมชาติ มันก็สวนทางกับกิเลส เป็นข้าศึกต่อกิเลส ไม่มีทางที่กิเลสจะมายินดีสนใจธรรมะ ผู้ที่จะสนใจธรรมะ ต้องเป็นผู้ที่มีธรรมอยู่ภายในใจเท่านั้น และก็มีหลายระดับ ส่วนใหญ่ก็สนใจธรรมะขั้นพื้นๆ ในระดับอ่านเล่นๆ คุยอวดกันเล่นๆสนุกๆไปอย่างนั้นเอง ผู้สนใจธรรมะถึงขั้นนำธรรมะมาปฏิบัติต่อตนเองอย่างจริงจัง คือลงมือรักษาศีล นั่งสมาธิ เจริญปัญญาด้วยภาคปฏิบัติจริงๆ จนปรากฏผลให้ได้ชื่นชม ก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก อันนี้จะจริงหรือไม่จริง? ต้องวอนทุกท่านลองถามตัวเองดูก็แล้วกัน ดังนั้น เราจึงเห็นเรื่องราวต่างๆที่นำเสนอผ่านสื่อในปัจจุบัน ส่วนที่เป็นคุณก็มีพอประมาณ แต่ส่วนที่เป็นโทษนั้น ย่อมหาประมาณมิได้ เรื่องราวเกี่ยวกับคุณธรรมความดีงาม ถึงแม้จะมีเนื้อหาสาระดีเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม แต่บุคคลผู้สนใจอย่างจริงจัง ก็มีน้อยอยู่ดี ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ไปดูสถิติการเข้าชมวีดีโอประกวดเล่านิทานชาดกของเด็กนักเรียน ลงมาสามสี่ปีแล้ว ยังมีคนเข้าไปดู ไม่ถึง 300 คน โดยเฉลี่ยแต่ละเรื่อง หรือสถิติเรื่องราวธรรมะอื่นๆ ที่เห็นก็มักเป็นแบบเดียวกัน คือคนสนใจน้อย แต่ไปดูสถิติเจ้ากังนัมสไตล์ เต้นท่าควบม้านั่นสิ วันเดียวคนเข้าไปดูเป็นล้าน อะไรมันจะขนาดนั้น แต่นั่นก็ช่างเถอะ เรื่องของโลกมันเป็นของมันอย่างนี้ คนเขาพอใจจะเสพความบันเทิง ถึงไม่มีสาระแต่เขาก็พอใจของเขา ไปว่ากันไม่ได้ ขืนว่ากันก็เป็นเรื่องขึ้นมาทันที แต่ผู้ที่ไขว่คว้าหาธรรม ก็พึงทราบว่า ตราบใดที่เรายังถือเอาความพอใจของตัวเองเป็นใหญ่ หากเป็นเช่นนั้น ก็อย่าหวังเลยว่า คุณธรรมใดๆจะพึงบังเกิดขึ้นได้ ด้วยอำนาจแห่งความพอใจของตนเอง อันยังเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาครอบงำอยู่่อย่างมืดมิด และหนาแน่น การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือการลงมือฝืนกิเลส และต่อสู้กับกิเลสของตนเองเท่านั้น ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรม แต่ไม่เคยฝืนกิเลส ไม่เคยต่อสู้กับกิเลสสักตัว นั่นยังไม่ได้ชื่อว่า ปฏิบัติธรรมเลย ต่อให้ไปอยู่ในวัด กินนอนอยู่กับวัดก็เถอะ เพราะกิเลสมันเอาเปรียบธรรมอยู่เสมอ เมื่อใดที่ใจเราเป็นธรรม กิเลสมันก็จะเป็นเงาคอยติดตาม และจ้องทำลายล้างผลาญธรรมะอยู่ตลอดเวลา ชนิดที่เผลอไม่ได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่ใจเราเป็นกิเลส ธรรมะจะไม่มีโอกาสได้เป็นเงาคอยจ้องทำลายล้างกิเลสได้เลย มันเสียเปรียบกันตรงนี้ มีแต่ต้องยอมให้กิเลสมันอาละวาดจนหมดแรงไปเองเท่านั้น เว้นไว้แต่ผู้มีพลังธรรมที่ฝึกปรือมาดีแล้วจึงจะสามารถลุกขึ้นต่อกรกับกิเลสได้บ้าง มีโยมคนหนึ่ง บอกเราว่า ไปปฏฺิบัติธรรมที่วัดบ้าง เราก็ถามว่า เป็นยังไงล่ะ? ไปปฏิบัติธรรมที่วัด นอนหลับสบายดีอยู่หรือ? ฮ่าๆๆ เขาหัวเราะ เราก็บอกว่า องค์หลวงตาเคยเทศน์ไว้ พวกญาติโยมนี่ เวลาอยู่บ้าน ก็อยากไปภาวนาที่วัด เป็นห่วงวัด คิดถึงวัด ครั้นพอไปอยู่ที่วัด แทนที่จะภาวนา ก็มาเป็นห่วงบ้าน คิดถึงแต่บ้าน เขาก็บอกว่า เขาไม่ค่อยได้คิดถึงบ้าน แต่พอดึกทีไร เขาคิดถึงแต่หมอน ฮ่าๆๆ เวรกรรม!!!
|