
วันที่พ่อจากไป วันนั้น... วันที่ "พ่อ" ได้จากพวกเราไป... เป็นวันที ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๕.๕๒ น. "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ที่คนไทยเรียกกันว่า "ในหลวงรัชกาลที่ ๙" ได้เสด็จสู่สวรรรคาลัย ด้วยสิริพระชนมพรรษาปีที่ ๘๙ และทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในโลกนับได้ถึง ๗๐ ปี วันนั้น... น้ำตาแห่งความรักและอาลัย ได้หลั่งไหลจนเนืองนองใบหน้าของชาวไทยทั้งปวง ความวิปโยคโศกเศร้าโศกาดูร ได้แผ่ปกคลุมกระจายไปทั่วทุกแห่งหน นับเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของคนไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ "พ่อ" จะจากพวกเราไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ แต่พระคุณความดีงามของพระองค์นั้น มิเคยจะจืดจางห่างหายไปจากหัวใจของคนไทยเลยแม้แต่น้อย พวกเรายังจำเหตุการณ์ดี ๆ อย่างนี้ได้ไหม? ภาพของชายชราผู้ยากไร้ นั่งนับเศษเงินที่ขอทานมาได้ เพียงหวังจะซื้อเสื้อดำสัก ๑ ตัว เพื่อนำมาสวมใส่ไว้ทุกข์ ให้แก่ "พ่อหลวง" ของเขา ภาพของศิลปินแห่งชาติ ออกมาพูดถึงปณิธานของ "พ่อหลวง" ด้วยความเคารพเทิดทูน ด้วยน้ำเสียงอันสะอึกสะอื้นสั่นเครือ ทั้งพูดไป ก็ร้องไห้ไป ภาพของเหล่านิสิตนักศึกษาที่มีฝีมือวาดภาพ ก็พากันจัดกิจกรรมวาดภาพ "พ่อหลวง" ของพวกเขา ตกแแต่งประดับประดากันอย่างสวยงามสุดฝีมือ ศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคน ก็แต่งเพลงสดุดี "พ่อหลวง" อย่างมีเนื้อหาที่กินใจยิ่งนัก และขับร้องบรรเลงดนตรีได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง ภาพของนักดนตรีอิสระที่เล่นดนตรีถวาย "พ่อ" ทั้งเดี่ยวขลุ่ย เดี่ยวเปียนโน บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ด้วยท่วงทำนองที่ไพเราะจับใจ ฟังแล้วกรีดหัวใจจวนเจียนที่น้ำตาจะหลั่งไหล ภาพของมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ที่สวมเสื้อดำ ขับรถรับส่งฟรี แก่ผู้ไปสักการะพระบรมศพของ "พ่อ" ที่พระบรมมหาราชวัง ภาพของกลุ่มคนที่ทำเสื้อดำออกมาแจกจ่าย เพื่อให้คนที่มีรายได้น้อย ได้ใส่ไว้ทุกข์ถวายแด่ "พ่อหลวง" ของเขา บางคนก็ออกมาย้อมผ้าดำให้ฟรี และสอนวิธีการยอมผ้า ให้ผู้ที่มีรายได้น้อยได้มีเสื้อดำใส่ไว้ทุกข์ โดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อหามา ภาพของคนจำนวนมากที่มาตั้งโรงทานแจกจ่ายข้าวปลาอาหารน้ำดื่ม แก่ผู้มาเคารพพระบรมศพของพ่อ ภาพของกลุ่มวัยรุ่นจิตอาสาสวมเสื้อดำ มือก็ถือถุงดำ ออกมาเดินเก็บขยะตามถนนหนทาง และภาพของประชาชนช่วยกันทำความสะอาดกำแพงรอบ ๆ พระบรมมหาราชวัง เหล่านี้ ล้วนเกิดขึ้นด้วยใจเคารพรักเทิดทูน และ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ "พ่อ" ที่ยากจะหาได้จากที่ใดในโลก โลกโซเชียลในเมืองไทย ก็ได้แปรสภาพกลายเป็นสีขาวดำ เป็นสัญญลักษณ์แสดงความไว้อาลัยแด่ "พ่อหลวง" ทีวีแต่ละช่องก็พร้อมใจกันถ่ายทอดงานพระราชพิธีพระบรมศพอย่างไม่รังเกียจรังงอน ซึ่งเป็นโอกาสอันนานนักหนาที่พระราชพิธีเช่นนี้ จะอุบัติขึ้นสักครั้งหนึ่ง ตลอดจนได้ฟังพระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรมด้วยทำนองอันเป็นการเฉพาะ ที่จะหาโอกาสฟังได้ยากยิ่งนัก หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ก็จัดทำสารคดีเทิดพระเกียรติ ทั้งภาพภ่ายพระราชกรณียกิจ และวีดีโอ ที่ดูแล้วประทับใจจนทำเอาน้ำตาไหลซึมอาบแก้ม ภาพที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จบุกป่าฝ่าดง ด้วยฉลองพระองค์แบบทหาร มีกล้องคล้องที่พระศอ มีพระหัตถ์ถือแผนที่ บางครั้งยกพระหัตถ์ปาดพระเสโทที่หลั่งไหลออกจากพระพักตร์ ภาพที่พระองค์ประทับนั่งบนสะพานไม้ หันด้านหลังพิงล้อรถจี๊บพระที่นั่ง โดยมีข้าราชบริพารแวดล้อมอยู่รอบข้าง พระองค์เป็นจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เหตุไฉนจึงไม่ประทับเสวยสุขอยู่ตามลำพังในปราสาทราชมณเฑียร แต่กลับต้องมาตรากตรำพระวรกายอย่างมิได้เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยอยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร บางครั้งต้องบุกป่า บางครั้งต้องลุยน้ำ แม้ไปในถิ่นที่ไม่ปลอดภัย ก็มิได้ทรงหวาดหวั่นพรั่นพรึง หรือเกรงกลัว บางคราวถึงกลับมีเหตุการณ์ถูกลอบปลงพระชนม์ แต่พระองค์ก็ผ่านพ้นอุปัทวันตรายทั้งหลายทั้งปวงไปได้ด้วยพระบารมีปกป้อง ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชยาวนาน ๗๐ ปี พระองค์ทุ่มเทพระสติปัญญา พระปรีชาญาณฉลาดรู้ทุกอย่างเท่าที่มี ดำเนินโครงการในพระราชดำริเป็นพันโครงการ ด้วยปฏิธานอันแน่วแน่เพียงหนึ่งเดียว คือมุ่งหวังให้พสกนิกรของพระองค์ ได้อยู่ดีกินดี มิต้องตกทุกข์ได้ยาก บนความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น สมกับที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" แต่การกลับกลายเป็นว่า พระองค์เสียเอง ที่เป็นฝ่ายต้องมาทุกข์ยากลำบากเพราะต้องทรงงานหนักอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อพสกนิกรของพระองค์ โดยไม่มีรายได้อันเป็นผลประโยชน์ส่วนตนแม้แต่เล็กน้อย ไม่มีพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า พระองค์ใดในโลก จะทรงตรากตรำพระวรกาย โดยมิได้ย่อท้อต่อความทุกข์ยากลำบาก ทรงเสด็จไปแทบทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันกว้างใหญ่ไพศาล ทรงห่วงใยในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ปวงราษฎร ยิ่งกว่าทรงห่วงใยในพระโอรสธิดาของพระองค์เองเสียอีก แม้แต่บุคคลสำคัญทีเป็นผู้นำระดับโลกในหลายประเทศ ยังถวายความเคารพโดยลงนามในพระราชสาส์น กล่าวสดุดีเทิดพระเกียรติ แสดงความอาลัยถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แม้ท้องฟ้าก็ยังมีแสงสีทองสาดส่องทอประกายอันวิจิตรงดงาม พาดผ่านไปยังพระบรมมหาราชวัง อันเป็นสถานที่จัดงานพระราชพิธีพระบรมศพ แม้พระจันทร์ในยามค่ำคืน ก็ยังฉายแสงส่องสว่างให้ปรากฏเห็นเป็นเมฆรูปหัวใจได้อย่างน่าอัศจรรย์ การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ย่อมยังโลกธาตุให้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวด้วยประการฉะนี้ บ่งบอกถึงความที่ พระองค์ทรงมีบุญญาภินิหาร และ กฤษฎาภินิหาร แผ่ขจรขจายเฟื่องฟุ้งไปในจตุรทิศ พระองค์ทรงเป็นจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในโลก เป็นจอมราชันย์ในหมู่ราชันย์ พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระคุณอันประเสริฐ กอปรด้วยทศพิธราชธรรมอันล้ำเลิศ พระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตรอันงดงามหาที่เปรียบปานมิได้ พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระสิริวิลาสอันสูงสง่า ดุจพระยาไกรสรสีหราชจอมไพรสณฑ์ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันเปี่ยมล้น ดุจหยาดฝนตกจากนภากาศ รดราดพสุธาอันแห้งผากให้ชุ่มฉ่ำเย็น ฉะนั้น พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระเมตตาคุณอันไม่มีประมาณแผ่ไปในเหล่าพสกนิกร ดุจบิดามารดรห่วงหาอาทรต่อบุตรธิดา พระองค์ทรงเป็นจอมคนของแผ่นดิน เป็นยอดคนเหนือคนที่ไม่มีใดเทียม ธ สถิตมั่นเป็นจอมขวัญ ในดวงหฤทัยของชาวไทยทุกหมู่เหล่า ชั่วนิจนิรันดร์กาล การเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องยังความโศกเศร้าโศกาดูร ให้บังเกิดแก่ปวงพสกนิกรชาวไทยทุกถ้วนหน้า คนไทยทุกคนต่างเกิดความรู้สึกสะเทือนใจเศร้าใจนัก เสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ด้วยความรักอาลัยในพระเจ้าอยู่หัว ได้ดังกึกก้องไปทั่วพื้นปฐพี เป็นสักขีพยานประกาศให้โลกได้รู้ว่า พวกเราชาวไทยทุกคนรัก "พ่อหลวง" "พ่อ" ได้จากพวกเราไปด้วยพระสรีระอันชำรุดทรุดโทรม ซึ่งเป็นไปตามคติธรรมดาของโลกที่สังขารทั้งหลาย ย่อมมีอันเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา แม้ร่างกายของพวกเราทุกคน วันหนึ่งก็ต้องถึงซึ่งความเสื่อมสลายดุจเดียวกัน ไม่มีใครจะหนีพ้น แต่เกียรติคุณความดีงามที่พระองค์ได้ทรงกระทำเอาไว้นั้น ย่อมยังดำรงอยู่ และกึกก้องกังวานอยู่ในใจของชาวไทยทุกคนอย่างไม่รู้ลืม...
|