ReadyPlanet.com


ท่านเจ้าคุณนรฯ "ผู้จงรักภักดีต่อนายเดียว"


ท่านเจ้าคุณนรฯ "ผู้จงรักภักดีต่อนายเดียว"
"ผู้กล่าวว่า อาตมามั่นใจว่าชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่อาตมาจะเกิด"

ท่านเจ้าคุณนรฯ ชื่อเดิมคือ นายตรึก จินตยานนท์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2440 ที่บ้านหลังวัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพฯ บิดาชื่อ พระยานรราชภักดิ์ (ตรอง จินตยานนท์) มารดาชื่อ พุก ท่านเป็นลูกชายคนโตมีน้อง 4 คน ตรึกเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนโสมนัสวิหารจนจบประถมต้นและเรียนระดับมัธยมศึกษาจนจบที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร แล้วเข้าศึกษาต่อในสาขารัฐศาสตร์ ที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือนที่หอวัง (ต่อมาคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ท่านจบรัฐศาสตร์รุ่นแรกเมื่อ พ.ศ.2457 เมื่อท่านมีอายุได้ 17 ปี ภายหลังจากการที่ท่านศึกษาอยู่ในปีสุดท้าย นักศึกษาในปีนั้นต้องเข้ารับการซ้อมรบเสือป่าในฐานะนักเรียนเสือป่ารักษาพระองค์

หลังจากซ้อมรบเสือป่าเสร็จสิ้น ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นฝ่ายในและโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเข้าไปรับใช้ประจำห้องบรรทมในที่สุดด้วยความจงรักภักดีที่ท่านมีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ท่านจึงปฏิบัติรับใช้ด้วยความขยันและซื่อสัตย์จนเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ จนได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเมื่ออายุเพียง 25 ปี เป็นพระยาพานทองที่หนุ่มที่สุดในยุคนั้น ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย ทรงแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีเมื่ออายุ 27 ปี

ในบรรดาพระยาที่ได้รับพระราชทานที่ดินจากล้นเกล้าฯ ร.6 รุ่นเดียวกับท่าน ซึ่งมีอยู่ 4 ท่านด้วยกัน ต่างสร้างบ้านช่องกันใหญ่โตระดับคฤหาสน์กันทุกท่าน โดยท่านหนึ่งสร้างบ้านด้วยหินอ่อนจากอิตาลี แล้วตั้งชื่อบ้านว่า “บ้านนรสิงห์” ปัจจุบันก็คือทำเนียบไทยคู่ฟ้าเป็นที่ทำการของนายกรัฐมนตรี

ท่านที่สองสร้างบ้าน “บรรทมสินธุ์” ซึ่งใหญ่โต มีรูปปั้นนารายณ์บรรทมสินธุ์เด่นเป็นสง่า ปัจจุบันคือบ้านพิษณุโลก เคยใช้เป็นบ้านรับรองแขกเมืองของรัฐบาล ต่อมาจะให้เป็นบ้านประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีแต่ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนย้ายไปอยู่จริงๆ จังๆ นัยว่าผีดุ


ท่านที่สามก็สร้าง “บ้านมนังคศิลา” ที่ถนนหลานหลวงนี่เอง เมื่อ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก่อตั้งพรรคเสรีมนังคศิลา ก็ได้ใช้บ้านหลังนี้เป็นที่ทำการพรรค

ในขณะที่พระยานรรัตนราชมานิตเมื่อได้รับพระราชทานที่ดินแล้วก็ปล่อยที่ให้ว่างอยู่ดังเดิม จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นภาระจะสร้างบ้านให้ โดยทรงใช้ให้สถาปนิกจัดการออกแบบเพื่อจะสร้างบ้านให้เมื่อท่านเจ้าคุณนรฯทราบเรื่องพระมหากรุณาธิคุณ ก็ได้เข้ากราบบังคมทูลคัดค้านพระราชประสงค์อย่างไม่กลัวว่าจะถูกกริ้วว่า “หากทรงสร้างขึ้นตามพระราชดำริแล้ว จะขอถวายคืนทั้งบ้านและที่ดินที่พระราชทานให้”

ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 6 ก็ทรงผ่อนตามที่ดินผืนนี้ก็ถูกปล่อยให้ว่างเปล่าตราบจนกระทั่งเจ้าคุณนรฯ ถวายเป็นสมบัติของวัด เมื่อท่านอุปสมบทในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยท่านไม่ยอมฟังคำทัดทานของผู้ที่หวังดีที่จะให้เก็บที่ดินผืนนี้ไว้เพื่อเป็นหลักประกันชีวิตในบั้นปลาย

ต่อมา เมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคต เจ้าคุณนรฯ ได้อุปสมบทในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล ณ วัดเทพศิรินทราวาส (แม้นต่อมารัชกาลที่7ทรงโปรดเกล้าให้กลับมาดำรงตำแหน่งเดิมก็ตาม)


ท่านเจ้าคุณนรฯ เมื่ออยู่ในเพศบรรพชิตก็อยู่อย่างมักน้อยสันโดษ ในกุฏิจะว่างเปล่ามีเพียงโลงศพเก่าๆ อยู่ 1 โลง และโครงกระดูกคนตายแขวนไว้เพื่อใช้ประกอบการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปาใช้ในกุฏิ เมื่อมีคนไปไต่ถาม ท่านก็อธิบายว่า

“ธรรมชาติให้มนุษย์เพียงพอแล้วจะวุ่นวายไปทำไม ยิ่งเป็นภิกษุสงฆ์ปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัยก็ยิ่งสบายมาก น้ำฝนเป็นน้ำบริสุทธิ์ ดื่มฉันก็เกิดอาบัติน้อย ยิ่งไฟฟ้าด้วยแล้วถือว่าไม่สำคัญเลย เพราะพระอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่โลกมนุษย์ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น เราจะทำอะไรก็รีบๆ ทำเสีย เมื่ออาทิตย์สิ้นแสงแล้ว ก็หมดเวลาที่เราจะทำอย่างอื่น นอกเสียจากทำสมาธิให้จิตใจสงบและเจริญวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น”


เจ้าคุณนรฯ ฉันเอกา คือฉันวันละ 1 มื้อ และเป็นอาหารมังสวิรัติ อย่างเดียวกันซ้ำทุกวัน เมื่อแรกบวชท่านก็ออกบิณฑบาต แต่ต่อมาก็งดเนื่องจากเล็งเห็นว่าท่านจะตัดลาภพระองค์อื่น และอาหารมังสวิรัติทำให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อนวุ่นวายในการจัดเตรียมและทางครอบครัวของท่านก็จัดอาหารมาส่งทุกวันอยู่แล้ว นอกจากไม่ออกบิณฑบาตแล้วท่านยังไม่ยอมรับของถวายใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อมีคนเอาของมาถวายท่านก็บอกให้เอาไปถวายพระรูปอื่น โดยบอกว่าพระทุกองค์ถือศีล 227 ข้อเหมือนกัน ถวายใครก็ได้บุญเช่นกัน ท่านยังไม่ยอมรับแขกในกุฏิทุกกรณี ใครจะพบหรือสนทนากับท่านก็จะมีโอกาสเฉพาะช่วงที่ท่านออกจากกุฏิไปทำวัตรเช้า-เย็นเท่านั้น


การอุปสมบทของท่านครั้งนี้เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 พร้อมกับต้องการที่จะศึกษาหลักธรรม คำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นส่วนตัว เวลานี้ยังไม่รู้แจ้งแตกฉานในธรรมะซึ่งเป็นของละเอียดอ่อน จึงต้องการที่จะใช้เวลาให้มากที่สุดและต้องการความสงบเพื่อศึกษาธรรมะ ถ้ามัวแต่สาละวนคอยรับแขก เรื่องยุ่งๆ ทางโลกอยู่อย่างนี้ ทำให้ไม่มีเวลาศึกษาปฏิบัติธรรม การรับแขกที่นำเรื่องยุ่งเรื่องทุกข์มาเล่าให้ฟัง ไม่ใช่ธุรกิจของสงฆ์”


เจ้าคุณนรฯเคร่งครัดในการทำวัตรเช้า-เย็น ตลอด 46 พรรษา ท่านขาดทำวัตรเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้น โดยคำสั่งขององค์อุปัชฌาย์เนื่องจากท่านถูกสัตว์มีพิษไม่ทราบชนิดทำร้ายท่านที่เท้าจนเท้าบวมโต จนท่านอุปัชฌาย์ต้องสั่งห้ามการมาทำวัตรเพื่อให้อาการเท้าบวมทุเลาลง ท่านเจ้าคุณนรฯเคยบอกกับพระสงฆ์ว่า ถ้าวันใดไม่มาลงโบสถ์ก็คือวันละสังขารของท่าน


ม.ร.ว   คึกฤทธิ์  ปราโมช  กล่าวถึงเรื่องการเป็นพระอรหันต์ของท่านเจ้าคุณนรฯว่า    เมื่อท่านไปนมัสการพระคุณเจ้า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ  ที่เคยเห็นท่านเจ้าคุณนรฯมาตั้งแต่ครั้งเมื่อครั้งคึกฤทธิ์ยังเด็ก วิ่งเล่นอยู่ในวัง  หลังจากสนทนาปัญหาธรรมแล้ว เลยถือโอกาสเรียนถามตรงๆว่า  "กระผมได้ยินข่าวเล่ากันว่าท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหนกันแน่?"    พระคุณเจ้าท่านเจ้าคุณนรฯเรียกคึกฤทธิ์เข้าไปใกล้ๆ  แล้วกระซิบที่หูพอให้ได้ยินถนัดๆว่า   "อ้ายบ้า"    

สรุปคือ ครั้งนั้นคึกฤทธิ์เลยไม่รู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์รึเปล่า?  ส่วนตัวท่านเจ้าคุณนรฯ  ท่านไม่คุยโวโอ้อวดบอกใครๆ  เพราะเดี๋ยวจะอาบัต   แต่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า "คุณจะคิดอย่างไรไม่รู้ได้  แต่สำหรับอาตมา  ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายอาตมาไม่ต้องการเกิดอีก   อาตมามั่นใจว่าชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่อาตมาจะเกิด


 ในตอนเช้าวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2514 เจ้าคุณนรฯบอกกับเด็กที่นำอาหารไปถวายว่า วันนี้ไม่ฉันและสั่งบอกพระข้างกุฏิว่าวันนี้ไม่ลงโบสถ์ตามธรรมดาเจ้าคุณนรฯพอเข้ากุฏิแล้วก็จะปิดประตูลงกลอนเนื่องจากท่านไม่รับแขกในกุฏิอย่างเคร่งครัด แต่ท่านเคยบอกไว้ว่า “วันที่อาตมาจะลาจากไปเท่านั้นที่จะไม่ลงกลอน”

จนกระทั่งเวลา 1 ทุ่มเศษ จึงมีคนเข้าไปหาท่านที่กุฏิ เมื่อผลักประตูเข้าไป ปรากฏว่าไม่ได้ลงกลอน พบว่าท่านมรณภาพไปแล้วห่มจีวรเรียบร้อยในมุ้งหลังเล็กๆ เหมือนกับท่านนอนหลับ



ผู้ตั้งกระทู้ สมใจ :: วันที่ลงประกาศ 2023-02-09 16:00:13


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล