ReadyPlanet.com


เราจะสามารถปฎิบัติธรรมได้อย่างไร หากเรามีปัญหาชีวิตมากมาย


ดิฉันมีความสงสัยว่าหากใจเราปรารถนาที่จะปฎิบัติธรรม เพื่อจะได้พบหนทางพ้นทุกข์และเข้าถึงพระธรรมได้อย่างแท้จริง  แต่ติดปัญหาไม่สามารถทำได้เนื่องจากไม่สามารถทำใจให้สงบได้ เนื่องจากมีปัญหาชีวิตเรื่องครอบครัวและโดยเฉพาะปัญหาเรื่องหนี้สิน ที่ทำให้ทุกข์ใจเป็นอย่างมาก มันเข้ามารบกวนจิตใจทุกครั้งที่เราพยายามจะนั่งสมาธิ ภาพของความทุกข์และปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้วนเวียนเข้ามาในหัวตลอดจนไม่สงบ ไม่สามารถนั่งสมาธิได้ ใจมีแต่ความทุกข์ หลายครั้งที่พยายามจะสมัครไปปฎิบัติธรรมตามคอร์สอบรมต่างๆ เผื่อจะสามารถทำได้บ้าง แต่ก็ต้องมีอุปสรรคให้ไปไม่ได้ตามต้องการ เพราะต้องคอยจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ไม่สามารถละไปได้เลย   ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วดิฉันจะสามารถเข้าถึงธรรมและเข้าถึงความสงบในชีวิตได้ยังงัยคะ หากยังต้องเผชิญกับปัญหาแบบนี้ไปตลอดชีวิต รบกวนชีแนะแนวทางให้ด้วยค่ะ

 

 



ผู้ตั้งกระทู้ ดี :: วันที่ลงประกาศ 2014-11-10 21:00:22


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3011448)

ตอบ คุณผู้ใช้นามว่า ดี

คุณอยากปฏิบัติทำเพื่อพ้นทุกข์ และเข้าถึงธรรม แต่ไม่สามารถทำใจให้สงบได้ เนื่องจากติดปัญหาชีวิตเรื่องครอบครัว และหนี้สิน ทำให้ทุกข์ใจมาก ทุกครั้งที่พยายามนั่งสมาธิ ภาพของความทุกข์และปัญหาที่แก้ไขไม่ได้วนเวียนเข้ามาในหัวตลอด ทำให้ใจไม่สงบ นั่งสมาธิไม่ได้ หลายครั้งที่คุณจะสมัครไปปฏิบัติธรรมตามคอร์สอบรมต่างๆ แต่ก็มีอุปสรรคไปไม่ได้ตามต้องการ เพราะต้องคอยจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นตลอด คุณจึงสงสัยว่า คุณจะสามารถเข้าถึงธรรมและความสงบได้อย่างไร หากยังต้องเผชิญกับปัญหาแบบนี้ไปตลอดชีวิต

ปัญหาที่คุณเจอ ก็เป็นปัญหาที่คนในโลกนี้แทบทุกคนต้องเจอด้วยกันทั้งนั้น มิใช่มีแต่คุณคนเดียว เพราะโลกนี้มันเป็นโลกแห่งความทุกข์ และเต็มไปด้วยปัญหามากมาย ที่ทุกคนต่างพากันสร้างขึ้นมาเอง ปัญหาทุกอย่างย่อมมีวิธีที่จะแก้ไขได้ เพียงแต่ว่า ใครจะรู้จักวิธีแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องหรือไม่ต่างหาก

การฝึกหัดจิตภาวนา เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถทำลายปัญหาได้ทุกปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอันเกิดจากทุกข์ทางกาย หรือทุกข์ทางใจ ย่อมแก้ไขได้ด้วยจิตภาวนาทั้งนั้น และได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ หากจะรอให้หมดปัญหา หมดทุกข์เสียก่อน แล้วจึงจะฝึกหัดจิตภาวนาได้ ถ้าเช่นนั้น โลกนี้คงไม่มีใครพ้นทุกข์ได้แม้แต่คนเดียว

แม้พระพุทธองค์ก็ไม่อาจพ้นทุกข์ได้ เพราะก่อนที่จะเสด็จออกทรงผนวช พระองค์ก็มีปัญหาชีวิตเช่นเดียวกับคุณ ถ้าพูดภาษาอย่างเราๆ เมียก็เพิ่งจะคลอดลูก ทั้งรัก และห่วงลูก ห่วงเมีย แถมมีปราสาทสี่ฤดูอันงดงามอลังการ ความเป็นอยู่ก็แสนสบาย มีนางสนมแวดล้อมรอบข้าง แต่พระองค์ยังทรงตัดพระทัยสละทิ้งได้ทั้งหมด แม้กระทั่งราชบัลลังก์ ยอมลดตัวจากความเป็นกษัตริย์มาเป็นคนขอทาน นอนกลางดิน กินกลางทราย แสนทุกข์แสนทรมานสุดระทมขมขื่น ทั้งอ้างว้างโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่พระองค์ก็ไม่ทรงย่อท้อพระทัย ทรงบำเพ็ญจิตภาวนาจนได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็เพราะความอดทน ความพากเพียร ความมีสติปัญญา ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ความกล้าหาญชาญชัย ความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์

คุณคิดว่า คุณมีทุกข์ได้เท่าเศษเสี้ยวหนึ่งของพระพุทธองค์อยู่หรือ? ปัญหาที่คุณมีก็เป็นปัญหาพื้นๆที่คนทั้งโลกมีกัน ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย คุณยังมิต้องถึงกับสละลูก สละผัว สละบ้านช่องห้องหับ สละสมบัติข้าวของเงินทอง คุณยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณรักและหวงแหนเก็บรักษาไว้ แต่พระพุทธองค์ต้องสละของรักหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ใครจะเจ็บปวดทรมานมากกว่ากัน ถึงคุณจะมีหนี้สินมากมายก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับตอนที่คุณเกิดมาใหม่ๆ หักกลบลบหนี้กันแล้ว คุณก็ยังคงมีกำไรอยู่นั่นเอง ตราบใดที่คุณยังมีร่างกายนี้อยู่ นั่นคือต้นทุนที่คุณสามารถจะนำมาใช้ เพื่อสร้างสรรทรัพย์สมบัติให้เกิดขึ้นได้ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในทางโลก หรือในทางธรรม ขอเพียงคุณรู้จักใช้สติปัญญาคิดอ่านการงานให้ดีเท่านั้น และมีความเข้มแข็งอดทน อย่าท้อถอย อย่าอ่อนแอ

บนเส้นทางชีวิตอันแสนทุรกันดารในวัฏฏสงสาร การก้าวพลาดและล้มลง ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผู้มีปัญญา เมื่อล้มลงแล้วต้องพร้อมที่จะลุกขึ้นเพื่อก้าวเดินต่อไป และจะไม่ยอมพลาดล้มลงในแบบเดิมซ้ำสอง พร้อมกับมองหาวิถีทางที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างถูกต้อง ด้วยความมีสติปัญญาคิดอ่านใคร่ครวญอย่างหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม 

การฝึกหัดจิตภาวนา มิได้หมายความว่า คุณจะต้องนั่งสมาธิหลับตา หรือไปเข้าคอร์สอบรมตามวัด ตามสถานที่ต่างๆ จึงจะเรียกว่า ภาวนา ไม่ใช่เช่นนั้น การภาวนาคือการตั้งสติดูใจตัวเองต่างหาก คุณอยู่ที่ไหนคุณก็ภาวนาได้ ถ้าคุณคิดที่จะภาวนา การนั่งสมาธิหลับตา เป็นเพียงกิริยาอันหนึ่ง หรือการไปเข้าคอร์สอบรม ก็เป็นเพียงกิริยาอันหนึ่งเท่านั้น ถ้ามีโอกาสจะไปก็ได้ ไม่มีโอกาสไม่ไปก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือ คุณพยายามกำหนดสติดูใจตนเองไว้โดยสม่ำเสมอ นั่นก็คือ การฝึกภาวนาเช่นกัน ซึ่งคุณสามารถทำได้ทุกอิริยาบถ ไม่เลือกกาลสถานที่ และเวล่ำเวลาใดๆเลย

ที่่คุณคิดว่า คุณมีปัญหาชีวิต มีหนี้สิน มีทุกข์มาก นั่นเป็นเพราะว่า ใจของคุณสร้างเรื่องทุกข์ขึ้นมาเองต่างหาก ใจของคุณไปคว้าเอาปัญหาต่างๆมาขบคิด แต่กลับคิดไปในทางที่จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์กับตัวเอง ใจมันก็เป็นทุกข์น่ะสิ  คุณจงใช้สติปัญญาคิดเสียใหม่ คิดอย่างมีเหตุผล และถูกต้องตามหลักธรรมที่ท่านสอน

คุณอย่าเอาความอยากเข้าไปแก้ปัญหา ความอยากมันมีแต่จะเพิ่มปัญหาให้หนักยิ่งขึ้น จงเก็บความอยากไว้ก่อน แล้วเอาสติปัญญาเข้าไปพิจาณาแทน ว่าปัญหามันเกิดจากเหตุอะไร แล้วแก้ไขกันที่เหตุ หาเหตุแห่งปัญหาให้เจอ แล้วหาวิธีแก้หลายๆวิธีมาเทียบเคียงกัน เลือกเอาวิธีที่ดีที่สุด ที่สามารถทำได้ และแก้ปัญหาได้ หรือบรรเทาปัญหาลง

จงใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาให้มากที่สุด อย่าใช้อารมณ์และความอยาก ถึงปัญหาจะหนัก แต่ถ้าใจเข้าถึงเหตุผลแห่งปัญหา ใจก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะใจอยู่กับเหตุผล คือความจริง ยอมรับความจริง จงอย่าไปนึกถึงอดีต และจงอย่าไปคาดหมายอนาคต เพราะนั่นคือความปลอม จงตั้งจิตอยู่กับปัจจุบัน และยอมรับความจริงที่กำลังเผชิญอยู่เฉพาะหน้า ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ สุขก็ยอมรับว่าสุข หากมันจะมี อย่าไปอยากให้ทุกข์มันหาย หรืออย่าไปอยากให้สุขมันอยู่นานๆ  เพราะทุกข์มันจะไม่หาย เพราะเราอยากให้หาย แต่ทุกข์มันจะหายได้ ก็ต่อเมื่อเราแก้ไขที่ต้นเหตุแห่งทุกข์เท่านั้น หามันให้เจอ แล้วทำลายมันให้สิ้นซากไปเสีย ทุกข์ทั้งหลายมันก็ดับไปเอง ส่วนความสุข จริงๆแล้วมันไม่มีหรอก ไม่ต้องไปถามหามันให้เสียเวลา ขอเพียงทุกข์ดับไปเท่านั้น ความสุขมันก็มีมาเอง

จงจำไว้ว่า ความทุกข์ทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะใจเราสร้างมันขึ้นมาเองทั้งนั้น ถ้าใจเราไม่สร้างเรื่องทุกข์ขึ้นมา ความทุกข์มันก็ไม่มี การที่เราคิดว่า คนนั้นมาทำไม่ดีกับเรา มาทำร้ายเรา มาทำให้เราเจ็บปวด หรือ เรามีหนี้สินเยอะไม่รู้จะใช้หนี้ยังไง กลายเป็นหนี้สินมาทำให้เราเป็นทุกข์ นั่นแหละ คือ การที่ใจกำลังปรุงแต่งสร้างเรื่องทุกข์ให้กับตัวเองอย่างไม่รู้ตัว แล้วโยนความผิดไปให้กับคนอื่น ไปให้วัตถุอื่น

จงตระหนักให้ถึงใจ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ เราจะต้องทำแต่ความดีเท่านั้น เราจะไม่ยอมทำความไม่ดีอย่างเด็ดขาด แม้เราจะต้องตาย เราก็จะขอยอมตายอยู่กับความดีนี้ไม่ให้แปรผันเป็นอื่น ถ้าคุณตั้งใจไว้ได้อย่างนี้ ได้ชื่อว่า คุณมีความตั้งใจชอบ มีใจอันหนักแน่นอยู่ในความดี ถึงตายก็ไม่ต้องเสียดายอาลัยชีวิต เพราะทุกคนเกิดมา ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว เพียงแต่จะตายอยู่กับความดี หรือจะตายอยู่กับความชั่วเท่านั้นเอง ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณคิดว่า คุณจะเลือกอันไหน?

ดังนั้น ถ้าคุณรู้สึกว่า มีใครสักคนมาทำไม่ดีกับคุณ คุณต้องรู้จักว่า คุณควรทำอย่างไร สิ่งที่คุณควรทำคือ หาวิธีป้องกัน หรือแก้ไข หรือหลีกเลี่ยง ให้ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ไม่ใช่ไปฆ่าเขา หรือไปด่าเขา หรือไปบังคับให้เขามาทำดีกับคุณ ป้องกันได้ก็ป้องกันเสีย ป้องกันไม่ได้ มันจะเสียหายแค่ไหน ก็ยอมรับกันไป แต่อย่าไปทำไม่ดีกับเขา ยอมรับกรรมนั้น อย่าไปโกรธ หรือ อย่าไปแค้น ถือว่าเป็นกรรมของเรา เคยทำร้ายเขาไว้ก่อน ก็ใช้หนี้ใช้กรรมกันไป

คนอื่นมาทำไม่ดีกับเรา เรายังโกรธเขาฉันใด ตัวเราไปทำไม่ดีกับคนอื่น คนอื่นก็จะต้องโกรธเราฉันนั้น เราก็ควรจะต้องโกรธตัวเองด้วยที่ไปทำไม่ดีกับคนอื่น แบบนี้จึงเรียกว่า ยุติธรรม เรารักษาความดีของเราไว้ได้ในทุกสถานการณ์ คนทำไม่ดีกับเรา เราก็ทำดีของเราไป คนทำดีกับเรา เราก็ยังคงทำดีของเราไป อย่างคงเส้นคงวา ถ้าใจเราไม่สร้างเรื่องทุกข์ให้กับตัวเอง คนอื่นจะมาทำให้เราทุกข์ได้อย่างไร

คนอื่นมาทำให้เราเจ็บปวดได้ก็เพียงแค่กายเท่านั้น ส่วนใจที่เป็นทุกข์ เพราะเราทำตัวเราเองต่างหาก จะทุกข์มาก ทุกข์น้อย หรือไม่ทุกข์เลย ก็อยู่ที่เราจะทำใจเรา ถ้าผู้รู้ธรรมจริงแท้ ถึงกายจะเป็นทุกข์มากแค่ไหน ใจก็ไม่ได้ทุกข์ไปด้วยกับร่างกายเลย นี่เรียกว่า อานิสงส์ของการภาวนา

การภาวนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ถ้าใจมันสงบด้วยลำพังทำสมาธิไม่ได้ ก็ต้องรู้จักใช้ปัญญาเข้าช่วยอีกแรง การภาวนา คือ การกำหนดสติเฝ้าดูใจ การดูใจ ก็คือ การดูความคิดปรุงของใจนั่นเอง  สติ คือ ความสามารถในการบังคับใจ ยิ่งเรามีสติมากขึ้นเท่าใด เราก็มีความสามารถที่จะบังคับใจได้มากขึ้นเท่านั้น ผู้ฝึกจิตจนสติแก่กล้า สามารถที่จะบังคับใจให้หยุดคิดเมื่อไรก็ได้ ให้คิดอะไรก็ได้ โดยที่ใจอยู่ในความบังคับตลอดเวลา ไม่คิดแบบเผลอๆเพลินๆไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

สติ ทำให้เรารู้จักว่า เรากำลังคิดอะไร ปัญญา เป็นตัวบอกให้รู้ว่า สิ่งที่เราคิดนั้น มันดีหรือชั่ว ผิดหรือถูก เป็นคุณหรือเป็นโทษ ควรคิดหรือไม่ควรคิด ดังนั้น ถ้าเราปล่อยใจให้คิดเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะไปตามอารมณ์ นั่นคือ เราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเอาเสียเลย เมื่อเราปล่อยใจให้เป็นเช่นนี้ ไฉนความทุกข์มันจะไม่เกิดขึ้นที่ใจได้อย่างไร ไม่ต้องมีคนอื่นมาทำร้ายเรา ใจนี้ ที่ไม่มีสติปัญญา ก็สร้างเรื่องทุกข์ขึ้นทำร้ายตนเองได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ด้วยความคิดที่ไม่อยู่ในขอบเขตเหตุผลนั่นเอง

ธรรมท่านสอนให้คิดอยู่ในปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด กำหนดสติตั้งรับกันในปัจจุบัน อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิดมาเถอะ จะดีจะชั่ว จะสุขจะทุกข์ จะรวยจะจน จะเป็นจะตาย เอ้า! ให้มันเกิดมาในปัจจุบัน ให้เห็นกันแบบจะจะ เมื่อมันปรากฏแล้วอย่างไร ก็หาทางแก้ไขกันไปให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น นี่เรียกว่า ตั้งรับอยู่ในปัจจุบัน แก้ไขกันในปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุด หน้าที่ของเรามีเท่านี้

เมื่อทำได้อย่างไรก็ยอมรับตามนั้น  อย่าไปอยากให้มันเป็นอย่างโน้น อย่าไปอยากให้มันเป็นอย่างนั้น โดยที่มันเป็นไปไม่ได้  พอมีความอยากปรากฏ ความทุกข์มันจะเกิดทันที ดังนั้น อย่าไปอยาก ให้อยู่กับความจริง และยอมรับความจริง แก้ไขกันที่เหตุการณ์จริงๆ ความอยากเป็นความปลอม ให้ทำลายเสีย แล้วความทุกข์มันจะหายไปเอง

อดีตมันผ่านไปแล้ว ดับไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไปดับไป อย่าไปเสียดายไขว่คว้าหามาอุ่นกินใหม่อีก มันเป็นของบูดของเน่าไปแล้ว อาหารเราเก็บไว้ค้างคืนยังไม่มีใครกล้าเอามากิน นี่อดีตผ่านไปเป็นเป็นเดือนเป็นปี มันบูดเน่าส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลยิ่งกว่าอาหารเสียอีก ทำไมยังเอามาอุ่นกินได้ มันจะเป็นเหตุตีพิษขึ้นที่ใจให้เป็นทุกข์ไม่รู้จบ หากจะคิดถึงอดีต ก็คิดเฉพาะที่มันเกี่ยวพันกับปัจจุบันเท่านั้น เช่นเอาอดีตมาเป็นบทเรียน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำไม่ดีในปัจจุบัน อย่างนี้เป็นต้น อดีตที่ไม่เกี่ยวกับปัจจุบันเลย คิดไปก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเปล่าๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ รังแต่จะให้ใจเป็นทุกข์เท่านั้น จึงควรระงับยับยั้ง

ส่วนอนาคตยังไม่มาถึง ก็อย่าไปคาดไปหมาย อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากให้ไปเร็วๆ อยากให้มาเร็วๆ เลยหลงลืมปัจจุบันไปเสียสิ้น นี่ก็เป็นเหตุสร้างทุกข์ขึ้นที่ใจได้เช่นกัน มะม่วงมันยังไม่สุก ก็อย่าเป็นบ้าไปยืนอ้าปากรอมันหล่นลงมา รอให้มันสุกเสียก่อน หากจะคิดถึงอนาคต ก็จงคิดเฉพาะ อนาคตที่เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน เช่น ปัจจุบันเรากำลังจะทำอะไร แล้วมันจะเป็นผลดี ผลเสียอย่างไรในอนาคต ดังนี้ ส่วนอนาคตที่ไม่เกี่ยวกับปัจจุบันเลย คิดไปก็เป็นการสร้างวิมานในอากาศ เป็นเรื่องเพ้อฝันลมๆแล้งๆ ก็สมควรระงับเสีย

ถ้าเราฝึกคิดอ่านใคร่ครวญอย่างมีสติมีเหตุมีผล ก็ถือเป็นการฝึกหัดภาวนาได้วิธีหนึ่งเช่นกัน เมื่อจิตเริ่มรู้เหตุรู้ผล รู้จักจัดระเบียบความคิดภายในจิตได้บ้าง จากนั้น จิตจะเริ่มมีช่องว่างปรากฏ ไม่แออัดยัดเยียดเต็มไปด้วยความคิดไร้สาระอย่างแต่ก่อน จึงค่อยเอาคำบริกรรมพุทโธอัดเข้าไป เพื่อเร่งทางด้านสมาธิอย่างเต็มรูปแบบ จิตก็จะได้รับความสงบเร็วขึ้น หากมีเวลา คราวนี้จะพานั่งสมาธิหลับตาบ้างก็ได้ มันหากเป็นของเป็นเอง เมื่อถึงเวลาของมัน

ดังนั้น จงอย่าคิดว่า จะรอให้หมดปัญหาชีวิต จะรอให้หมดหนี้หมดสิ้นเสียก่อน ค่อยมาภาวนา มันจะตายทิ้งเสียเปล่าๆ จงตั้งใจภาวนาให้มากอย่างที่บอกมานี้ ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขไปเองอย่างถูกวิธี  แล้ววันหนึ่งคุณคงจะได้เห็นแสงสว่างในชีวิตทอประกายเจิดจ้าขึ้นอย่างมีความหวังโดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากใครๆเลย  เอวังฯ

ผู้แสดงความคิดเห็น webmaster วันที่ตอบ 2014-11-14 02:16:28


ความคิดเห็นที่ 2 (3015821)

 ดับความคิด ดูต้นเหตุของความคิด กำหนดจะคิดหนอๆๆ ตลอดเวลา แล้วเดี๋ยวชีวิตดีขึ้น

Facebook รู้ทันรวย

ผู้แสดงความคิดเห็น สำนักรู้ทัน วันที่ตอบ 2015-02-18 19:42:17



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล