การดำริออกจากกามคุณ 5 | |
โยมถามต่ออีกนิดคะ การดำริที่จะออกจากกามคุณ 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในกรณีที่เป็นรูป สมมุติว่าถ้าโยมเห็นว่าเสื้อผ้านี้สวยดี และเห็นแล้วอยากได้และถูกศีลไม่เบียดเบียนใครมีเงินพอที่จะซื้อได้เงินได้มาอย่างถูกต้องทำนองรองธรรม ในกรณี 1. ถ้าโยมซื้อมา แบบนี้ โยมยังติดในรูป 2. ถ้ายังไม่ซื้อแต่แค่ชอบ แบบนี้ โยมยังติดในรูป ทั้ง2กรณีหมายถึงโยมยังออกจากกามคุณ รูปไม่ได้ใช่ไหมคะ แล้วที่ถูกต้องเราไม่ควรที่จะอยากได้อะไรเลยที่ดูแล้วสวยน่ารักใช่ไหมคะ หรือว่าถ้าดูแล้วชอบหรือไม่ชอบยังไม่เป็นไร แต่ถ้าชอบแล้วติดข้องไม่ได้ ในคำว่าติดข้องขอบเขตมันอยู่ตรงไหนคะ
กราบขอบพระคุณล่วงหน้าอย่างสูงคะ
จิราภรณ์ พงษ์ศิริ
| |
ผู้ตั้งกระทู้ จิราภรณ์ พงษ์ศิริ (crytala-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2021-06-23 02:51:59 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (4272124) | |
ความอยากได้ในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ก็เป็นธรรมดาของปุถุชนที่ยังมีความติดข้องอยู่ ผู้ที่จะไม่ติดไม่ข้องในกามคุณทั้ง ๕ นี้เลย คือใจไม่มีความยินดียินร้าย ปล่อยวางตัดขาดจากกามคุณ ๕ ได้เด็ดขาด ต้องเป็นระดับพระอนาคามีขึ้นไป ส่วนพระโสดาบัน กับพระสกทาคามี ก็ยังยินดียินร้ายในกามคุณ ๕ อยู่ เพียงแต่ ท่านยินดีอยู่ในกรอบของศีล ๕ อยู่ในกรอบของสมาธิ และปัญญา คือ ไม่ยินดียินร้ายจนถึงกับทำให้จิตฟุ้งซ่านวุ่นวายใจ และทำให้ใจเกิดความคิดที่จะสั่งสมกิเลสให้หนาขึ้น คือไม่คิดที่จะให้ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม การจะได้มาซึ่งกามคุณ ๕ นั้น เบื้องต้นต้องไม่ผิดศีล ถ้าละเอียดกว่าศีล ก็คือต้องไม่ผิดธรรม คือมีเหตุผล มีความจำเป็น มีความเหมาะความควรในการที่จะได้มาสมควรแก่ฐานะของตน มิใช่เพียงแค่อยากได้อยากสวยก็ไปหามาแม้ไม่ผิดศีล แต่ก็ผิดธรรม คือ ถือเป็นความโลภระดับกลาง ไม่สันโดษยินดีในของที่ตนมีตามควรแก่ฐานะ ไม่มักน้อยคือ แม้มีมากธรรมท่านสอนให้พอใจเอาแต่น้อย เพื่อให้รู้จักเฉลี่ยเจือจานแบ่งปันแก่ผู้ที่ยังไม่ได้ไม่มีบ้าง เรื่องธรรมจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดกว่าศีล ผู้ปฏิบัติต้องพิจารณาเพื่อแก้กิเลสในใจตนเอง จะแก้ได้มากได้น้อยก็อยู่ที่สติปัญญาและความเพียรว่า มีความหนักแน่นเพียงใด มันทำยากสำหรับฆราวาส อย่างเช่น เราเห็นอาหารอร่อย รู้สึกอยากกินมาก ๆ เราจะไปซื้อมากินก็ได้ หรือเราเลือกที่จะไม่กิน แล้วไปกินอาหารที่ไม่อร่อยเพื่อตัดกิเลสความโลภความติดพันในรสอาหารนั้น ก็ย่อมได้ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นในการปฏิบัติของแต่ละคนว่า จะมีกำลังมากหรือน้อยเพียงไหน นั่นแหละ คือการดำริออกจากกาม สำหรับพระที่ท่านปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังความหลุดพ้น ท่านจะไม่ยอมตามใจกิเลส ถ้ามีความอยากอันใดเกิดขึ้นในจิต ท่านก็จะฝืนความอยากนั้นทันที เช่น บังคับให้อดนอน อดอาหาร ให้กินแต่น้อย ให้กินของที่ไม่ชอบ เพื่อทำลายความอยากให้เบาลง จนมันหมดไป อยากกินไม่ให้กิน อยากนั่งไม่ให้นั่ง อยากนอนไม่ให้นอน อยากเดินไม่ให้เดิน ท่านต้องอยู่ในประโยคพยายามที่จะฝืนกิเลสไปตลอด จึงเรียกว่า ดำริออกจากกามด้วยหวังพ้นทุกข์ สำหรับผู้ปฏิบัติทั่วไป ก็แล้วแต่จะทำแบบไหนก็ได้ ใครจะทำได้แค่ไหนไม่มีใครบังคับ ถ้าใครอยากได้ดี ทุกคนต้องบังคับตัวเองด้วยความสมัครใจ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช วันที่ตอบ 2021-06-25 00:41:31 |
ความคิดเห็นที่ 2 (4272166) | |
ขอบพระเป็นอย่างสูงคะ
จิราภรณ์ พงษ์ศิริ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จิราภรณ์ พงษ์ศิริ (crytala-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2021-06-25 02:44:11 |
[1] |